การประชุมใหญ่สามัญ
กรอบการเปิดเผยส่วนตัว
การประชุมใหญ่สามัญเดือนตุลาคม 2022


12:41

กรอบการเปิดเผยส่วนตัว

เราต้องเข้าใจกรอบการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อเราทำงานภายในกรอบนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงปล่อยความเข้าใจเชิงลึกอันน่าตื่นตะลึงมาให้

เหมือนหลายๆ ท่าน ข้าพเจ้าได้รับอิทธิพลอย่างมากจากเอ็ลเดอร์ดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟมาตลอดหลายปี นั่นก็อธิบายสิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังจะพูดไม่มากก็น้อย1 ต้องขออภัยเอ็ลเดอร์อุคท์ดอร์ฟด้วยนะครับ …

นักบินที่ฝึกมาดีจะบินตามสมรรถนะของอากาศยานและทำตามคำสั่งจากหอควบคุมการจราจรทางอากาศเกี่ยวกับการใช้รันเวย์และเส้นทางการบิน พูดง่ายๆ คือนักบินทำงานภายในกรอบ ไม่ว่านักบินจะปราดเปรื่องและมีพรสวรรค์เพียงใด พวกเขาจะปล่อยศักยภาพมหาศาลของเครื่องบินเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์อันน่าอัศจรรย์ของมันได้อย่างปลอดภัยโดยการบินภายในกรอบนี้เท่านั้น

ในทำนองเดียวกัน เราก็ได้รับการเปิดเผยส่วนตัวภายในกรอบอย่างหนึ่ง หลังบัพติศมา เราได้รับของประทานอันสูงส่งแต่ใช้ได้จริง นั่นคือ ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์2 เมื่อเราพากเพียรอยู่บนเส้นทางพันธสัญญา3 “พระวิญญาณบริสุทธิ์ [นั่นเองที่] … จะทรงแสดงแก่ [เรา] ถึงสิ่งทั้งปวง [ที่เรา] ควรทำ”4 เมื่อเราไม่มั่นใจหรือไม่สบายใจ เราทูลขอความช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้าได้5 สัญญาของพระผู้เป็นเจ้าไม่อาจชัดเจนไปกว่านี้: “จงขอแล้วจะได้ … เพราะว่าทุกคนที่ขอก็ได้”6 ด้วยความช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราสามารถเปลี่ยนธรรมชาติอันสูงส่งของเรามาเป็นจุดหมายนิรันดร์ของเราได้7

สัญญาเรื่องการเปิดเผยส่วนตัวผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์น่าอัศจรรย์ใจเหมือนเครื่องบินกำลังบิน และดังเช่นนักบิน เราต้องเข้าใจกรอบการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการมอบการเปิดเผยส่วนตัว เมื่อเราทำงานภายในกรอบนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงปล่อยความเข้าใจเชิงลึก การนำทาง และการปลอบโยนอันน่าตื่นตะลึงมาให้ หากนอกกรอบนั้น ไม่ว่าเราจะปราดเปรื่องหรือมีพรสวรรค์เพียงใด เราอาจถูกหลอกจนเครื่องตกลงมามอดไหม้

พระคัมภีร์สร้างองค์ประกอบแรกของกรอบนี้สำหรับการเปิดเผยส่วนตัว8 การดื่มด่ำพระวจนะของพระคริสต์ที่พบในพระคัมภีร์กระตุ้นการเปิดเผยส่วนตัว เอ็ลเดอร์โรเบิร์ต ดี. เฮลส์กล่าวว่า: “เมื่อเราต้องการพูดกับพระผู้เป็นเจ้า เราสวดอ้อนวอน และเมื่อเราต้องการให้พระองค์ตรัสกับเรา เราค้นคว้าพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์”9

พระคัมภีร์สอนเราให้รู้วิธีรับการเปิดเผยส่วนตัวเช่นกัน10 และเราขอสิ่งที่ถูกต้องและดี11ไม่ใช่สิ่งที่ขัดกับพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า12 เราไม่ “ขอแบบผิดๆ” ด้วยเจตนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมวาระส่วนตัวหรือเติมเต็มความพึงพอใจส่วนตัว13 เหนือสิ่งอื่นใด เราต้องทูลขอพระบิดาบนสวรรค์ในพระนามของพระเยซูคริสต์14โดยเชื่อว่าเราจะได้รับ15

องค์ประกอบที่สองของกรอบนั้นคือเราได้รับการเปิดเผยส่วนตัวภายในขอบเขตของเราเท่านั้น ไม่ใช่ภายในเอกสิทธิ์ของผู้อื่น อีกนัยหนึ่งคือ เราลงจอดในรันเวย์ที่กำหนดให้ เราเรียนรู้ในประวัติศาสตร์ช่วงแรกของการฟื้นฟูถึงความสำคัญของรันเวย์ที่จำกัดขอบเขตไว้ชัดเจน ไฮรัม เพจ หนึ่งในพยานแปดคนของพระคัมภีร์มอรมอนอ้างว่าได้รับการเปิดเผยสำหรับทั้งศาสนจักร สมาชิกหลายคนถูกหลอกและถูกชักจูงให้หลงผิด

ในเรื่องนี้พระเจ้าทรงเปิดเผยว่า “จะไม่กำหนดให้ใครรับบัญญัติและการเปิดเผยในศาสนจักรนี้เว้นแต่ผู้รับใช้ของเรา โจเซฟ สมิธ … จนกว่าเราจะกำหนดคนอื่น … แทนที่เขา”16 หลักคำสอน พระบัญญัติ และการเปิดเผยสำหรับศาสนจักรเป็นเอกสิทธิ์ของศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่ผู้ได้รับการเปิดเผยจากพระเจ้าพระเยซูคริสต์17 นั่นคือรันเวย์ของศาสดาพยากรณ์

หลายปีก่อนข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์จากบุคคลหนึ่งที่ถูกจับฐานบุกรุก เขาบอกว่าเขาได้รับการเปิดเผยว่ามีพระคัมภีร์อีกส่วนหนึ่งฝังอยู่ใต้ชั้นล่างของตึกหลังที่เขาพยายามจะเข้าไป เขาอ้างว่าเมื่อได้พระคัมภีร์ส่วนนั้นมา เขารู้ว่าเขาจะได้รับของประทานแห่งการแปล ผลิตพระคัมภีร์เล่มใหม่ แล้วปรับหลักคำสอนและทิศทางของศาสนจักรให้เข้ารูปเข้ารอย ข้าพเจ้าบอกเขาว่าเขาเข้าใจผิด และเขาขอร้องให้ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนเรื่องนี้ ข้าพเจ้าบอกว่าจะไม่ทำ เขาเปลี่ยนเป็นพูดจาจาบจ้วงและวางสายโทรศัพท์ไป18

ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องสวดอ้อนวอนเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะเหตุผลหนึ่งข้อที่เรียบง่ายทว่าลึกซึ้ง นั่นคือ เฉพาะศาสดาพยากรณ์เท่านั้นที่ได้รับการเปิดเผย สำหรับศาสนจักร มันจะ “ขัดกับระบบของพระผู้เป็นเจ้า”19ถ้าคนอื่นได้รับการเปิดเผยดังกล่าวซึ่งอยู่บนรันเวย์ของศาสดาพยากรณ์

การเปิดเผย ส่วนตัว เป็นของบุคคลอย่างถูกต้องตามสิทธิ์ ท่านสามารถได้รับการเปิดเผย เช่น จะอาศัยอยู่ที่ไหน จะประกอบอาชีพอะไร หรือจะแต่งงานกับใคร20 ผู้นำศาสนจักรจะสอนหลักคำสอนและให้คำแนะนำที่ได้รับการดลใจ แต่ความรับผิดชอบในการตัดสินใจเหล่านี้ตกอยู่กับท่าน นั่นคือการเปิดเผยที่ท่านจะได้รับ นั่นคือรันเวย์ของท่าน

องค์ประกอบที่สามของกรอบนั้นคือการเปิดเผยส่วนตัวจะต้องสอดคล้องกับพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าและพันธสัญญาที่เราทำไว้กับพระองค์ ลองพิจารณาคำสวดอ้อนวอนทำนองนี้: “พระบิดาบนสวรรค์ พิธีของศาสนจักรน่าเบื่อ ขอนมัสการพระองค์ในวันสะบาโตบนภูเขาหรือบนชายหาดได้ไหม? ขอไม่ไปโบสถ์ ไม่รับส่วนศีลระลึก แต่ยังมีพรที่สัญญาไว้ของการรักษาวันสะบาโตให้ศักดิ์สิทธิ์ได้หรือเปล่า?”21 เราคาดหวังได้เลยว่าพระผู้เป็นเจ้าจะทรงตอบคำสวดอ้อนวอนเช่นนั้นว่า: “ลูกเอ๋ย พ่อเปิดเผยความประสงค์ของพ่อเกี่ยวกับวันสะบาโตไปแล้ว”

เมื่อเราขอการเปิดเผยเกี่ยวกับบางเรื่องที่พระผู้เป็นเจ้าประทานคำแนะนำไว้ชัดเจนแล้ว แสดงว่าเราเปิดช่องให้ตัวเองแปลความรู้สึกของเราผิดไปและได้ยินสิ่งที่เราอยากได้ยิน ชายคนหนึ่งเคยเล่าให้ฟังถึงความลำบากในการประคองสถานการณ์การเงินของครอบครัว เขาเคยคิดจะยักยอกเงินเพื่อแก้ปัญหา เขาสวดอ้อนวอน และรู้สึกว่าเขาได้รับการเปิดเผยยืนยันให้ทำเช่นนั้น ข้าพเจ้ารู้ว่าเขาถูกหลอกเพราะเขาแสวงหาการเปิดเผยที่ขัดกับพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธเตือนว่า “ไม่มีสิ่งใดทำร้ายลูกหลานมนุษย์มากไปกว่าการอยู่ใต้อิทธิพลของวิญญาณเท็จขณะคิดว่าตนมีพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า”22

บางคนอาจจะหยิบยกเรื่องที่นีไฟฝ่าฝืนพระบัญญัติเมื่อเขาฆ่าเลบัน แต่ข้อยกเว้นนี้ไม่ได้ลบล้างกฎข้อที่ว่าการเปิดเผยส่วนตัวจะต้องสอดคล้องกับพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า ไม่มีคำอธิบายเรียบง่ายของเรื่องนี้ที่น่าพอใจไปทั้งหมด แต่ข้าพเจ้าขอเน้นบางด้าน เหตุการณ์ไม่ได้เริ่มจากการที่นีไฟถามว่าเขาจะฆ่าเลบันได้หรือเปล่า เขาไม่ได้ต้องการทำอย่างนั้น การฆ่าเลบันไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของนีไฟ แต่เพื่อให้ชนชาติในอนาคตและผู้คนแห่งพันธสัญญามีพระคัมภีร์ และนีไฟมั่นใจว่านั่นคือการเปิดเผย—อันที่จริง กรณีนี้คือพระบัญชาจากพระผู้เป็นเจ้า23

องค์ประกอบที่สี่ของกรอบนั้นคือยอมรับสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเคยเปิดเผยต่อท่านเป็นส่วนตัวมาแล้วขณะเปิดรับการเปิดเผยเพิ่มเติมจากพระองค์ ถ้าพระผู้เป็นเจ้าทรงตอบคำถามแล้วและสภาวการณ์ไม่ได้เปลี่ยนไป ทำไมเราจึงคาดหวังคำตอบต่างจากเดิมเล่า? โจเซฟ สมิธพลาดพลั้งในสถานการณ์ที่เป็นปัญหาในปี 1828 ท่านแปลส่วนแรกของพระคัมภีร์มอรมอนเสร็จแล้วตอนที่มาร์ติน แฮร์ริสซึ่งเป็นผู้มีพระคุณและผู้จดคนแรกๆ มาขออนุญาตนำหน้าที่แปลแล้วไปให้ภรรยาดู โจเซฟไม่ทราบจะทำอย่างไร จึงสวดอ้อนวอนขอการนำทาง พระเจ้าทรงบอกท่านไม่ให้มาร์ตินเอาหน้าเหล่านั้นไป

มาร์ตินขอให้โจเซฟทูลถามพระผู้เป็นเจ้าอีกครั้ง โจเซฟทำตาม และไม่น่าแปลกใจที่คำตอบเหมือนเดิม แต่มาร์ตินขอร้องโจเซฟให้ทูลถามครั้งที่สามและโจเซฟทำตาม คราวนี้พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงตอบว่าไม่ แต่ประหนึ่งพระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “โจเซฟ เจ้ารู้ว่าเรารู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้ แต่เจ้ามีสิทธิ์เสรีในการเลือก” โจเซฟรู้สึกคลายความอึดอัดใจ และตัดสินใจให้มาร์ตินเอาต้นฉบับ 116 หน้าไปให้บางคนในครอบครัวดู หน้าที่แปลแล้วเหล่านั้นหายไปและไม่เคยได้คืน พระเจ้าทรงตำหนิโจเซฟอย่างรุนแรง24

โจเซฟเรียนรู้ตามที่เจคอบศาสดาพยากรณ์ในพระคัมภีร์มอรมอนสอนว่า: “จง​อย่า​พยายาม​ให้​คำปรึกษา​พระเจ้า, แต่​จง​รับคำ​ปรึกษา​จาก​พระ​หัตถ์​ของ​พระองค์ เพราะ … พระองค์ทรงให้คำปรึกษาด้วยพระปรีชาญาณ”25 เจคอบเตือนว่าเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นเมื่อเราขอสิ่งที่เราไม่ควรขอ ท่านทำนายว่าคนในเยรูซาเล็มจะแสวงหา “สิ่งที่พวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้” มอง “ข้ามเป้าหมาย” และเมินพระผู้ช่วยให้รอดของโลกอย่างสิ้นเชิง26 พวกเขาพลาดพลั้งเพราะขอสิ่งที่พวกเขาจะไม่เข้าใจและไม่อาจเข้าใจ

ถ้าเราได้รับการเปิดเผยส่วนตัวสำหรับสถานการณ์ของเราและสภาวการณ์ยังไม่เปลี่ยนไป แสดงว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงตอบคำถามของเราแล้ว27 ตัวอย่างเช่น บางครั้งเราทูลขอการยืนยันซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าเราได้รับการอภัยแล้วใช่ไหม ถ้าเรากลับใจ เต็มไปด้วยปีติและสันติสุขในใจ และได้รับการปลดบาปของเรา เราไม่จำเป็นต้องทูลถามอีกแต่สามารถวางใจในคำตอบที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้แล้ว28

แม้ขณะเราวางใจในคำตอบก่อนหน้านี้ของพระผู้เป็นเจ้า เรายังจำเป็นต้องเปิดรับการเปิดเผยส่วนตัวเพิ่มเติม ในที่สุดแล้ว จุดหมายของชีวิตไม่กี่อย่างไปถึงได้โดยเที่ยวบินที่ไม่หยุดพัก เราควรรับรู้ว่าเราอาจได้รับการเปิดเผยส่วนตัวแบบ “บรรทัดมาเติมบรรทัด” และ “กฎเกณฑ์มาเติมกฎเกณฑ์”29 รับรู้ว่าคำแนะนำที่เคยเปิดเผยมาแล้วสามารถเพิ่มขึ้นได้และบ่อยครั้งจะเป็นเช่นนั้น30

องค์ประกอบของกรอบการเปิดเผยส่วนตัวทับซ้อนและส่งเสริมกัน แต่ภายในกรอบนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสามารถเปิดเผยและจะทรงเปิดเผยทุกสิ่งที่จำเป็นต่อเราในการทะยานขึ้นไปและรักษาแรงขับเคลื่อนบนเส้นทางพันธสัญญา ฉะนั้นเราจะได้รับพรโดยอำนาจของพระเยซูคริสต์ที่จะกลายเป็นคนที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงต้องการให้เราเป็น ข้าพเจ้าขอให้ท่านมีความมั่นใจในการอ้างสิทธิ์รับการเปิดเผยสำหรับตนเอง โดยเข้าใจสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยมาแล้ว สอดคล้องกับพระคัมภีร์และพระบัญญัติที่ประทานผ่านศาสดาพยากรณ์ที่ทรงแต่งตั้ง และอยู่ในขอบเขตและสิทธิ์เสรีของท่านเอง ข้าพเจ้ารู้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสามารถแสดงและจะทรงแสดงทุกสิ่งที่ท่านควรทำ31 ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. เอ็ลเดอร์ดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟใช้การเปรียบเทียบเกี่ยวกับอากาศยานได้อย่างมีประสิทธิภาพมาโดยตลอดเพื่อสอนหลักธรรมสำคัญๆ ของพระกิตติคุณ ตัวอย่างเช่น เมื่อเร็วๆ นี้ท่านเชื่อมโยงรายการตรวจสอบก่อนบินของนักบินกับการสอนเหมือนพระผู้ช่วยให้รอดใน “รายการตรวจสอบของครู” ([การถ่ายทอดสำหรับครู, 12 มิถุนายน 2022], broadcasts.ChurchofJesusChrist.org)

  2. พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นสมาชิกองค์ที่สามในพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์ บ่อยครั้งจะเรียกพระองค์ว่าพระวิญญาณหรือพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า และทรงมีบทบาทสำคัญในแผนแห่งความรอด พระองค์ทรงเป็นพยานถึงพระบิดาและพระบุตร ทรงเปิดเผยความจริงของทุกสิ่ง และทรงชำระผู้ที่กลับใจและรับบัพติศมาให้บริสุทธิ์ และทรงเป็นพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งคำสัญญา (ดู คู่มือพระคัมภีร์ “พระวิญญาณบริสุทธิ์,” scriptures.ChurchofJesusChrist.org)

  3. ดู 2 นีไฟ 31:19–21; โมไซยาห์ 4:8 ไม่มีทางอื่นใดซึ่งโดยทางนั้นเรา “จะได้รับการช่วยให้รอดในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า” ต่อให้อยากได้ทางอื่นก็ไม่มีทางนั้น

  4. 2 นีไฟ 32:5; ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 84:43–44 ด้วย

  5. ดู 2 นีไฟ 32:4; รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน, “การเปิดเผยสำหรับศาสนจักร การเปิดเผยสำหรับชีวิตเรา,” เลียโฮนา, พ.ค. 2018, 93–96.

  6. มัทธิว 7:7–8

  7. ดู “ครอบครัว: ถ้อยแถลงต่อโลก”; “สาระสำคัญเยาวชนหญิง”; คู่มือทั่วไป: การรับใช้ในศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย, 27.0; 27.2, ChurchofJesusChrist.org.

  8. ดู 2 นีไฟ 32:3

  9. โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์: อำนาจของพระผู้เป็นเจ้าอันไปสู่ความรอดของเรา,” เลียโฮนา, พ.ย. 2006, 32.

  10. พระคัมภีร์สอนว่าสุรเสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์นุ่มนวลแผ่วเบาเหมือนเสียงกระซิบ—ไม่ใช่เสียงดังหนวกหู; แต่เรียบง่าย เงียบ และชัดเจน; ทะลุทะลวงและเผาไหม้; ส่งผลต่อความคิดและจิตใจ; ทำให้เกิดสันติ ปีติ และความหวัง;—ไม่ใช่ความกลัว ความวิตก และความกังวล; ชักชวนให้เราทำดี—ไม่ใช่ทำชั่ว; ทำให้เกิดปัญญาและสุขใจ—ไม่ลึกลับ ดู 1 พงศ์กษัตริย์ 19:11–12; ออมไน 1:25; แอลมา 32:28; ฮีลามัน 5:30–33; 3 นีไฟ 11:3; โมโรไน 7:16–17; หลักคำสอนและพันธสัญญา 6:22–24; 8:2–3; 9:8–9; 11:12–14; 85:6; Boyd K. Packer, “The Candle of the Lord,” Ensign Jan. 1983, 51–56; รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน, “ฟังพระองค์,” เลียโฮนา, พ.ค. 2020, 88–92; รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน, “น้อมรับอนาคตด้วยศรัทธา,” เลียโฮนา, พ.ย. 2020, 73–76; รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน, “การเปิดเผยสำหรับศาสนจักร การเปิดเผยสำหรับชีวิตเราเอง,” 93–96.

  11. ดู 3 นีไฟ 18:20; โมโรไน 7:26; หลักคำสอนและพันธสัญญา 88:64–65

  12. ดู ฮีลามัน 10:5; หลักคำสอนและพันธสัญญา 46:30

  13. ยากอบ 4:3; ดู James 4:3, New International Version; 2 นีไฟ 4:35; หลักคำสอนและพันธสัญญา 8:10; 46:7; 88:64–65

  14. ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 88:64–65; คู่มือพระคัมภีร์, “เอลียาห์,” scriptures.ChurchofJesusChrist.org.

  15. ดู 3 นีไฟ 18:20; โมโรไน 7:26

  16. หลักคำสอนและพันธสัญญา 28:2, 7

  17. ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 21:4–5

  18. โชคดีที่มีคนจัดการให้เขาได้รับความช่วยเหลือและการบำบัดที่จำเป็น

  19. คำสอนของประธานศาสนาจักร: โจเซฟ สมิธ (2007), 212.

  20. ดู Thomas S. Monson, “Whom Shall I Marry?,” New Era, Oct. 2004, 4.

  21. ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 59:9–16

  22. Joseph Smith, ใน Times and Seasons, Apr. 1, 1842, 744, josephsmithpapers.org.

  23. พระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือมีข้อยกเว้นให้กับพระบัญญัติที่ทรงเปิดเผยแล้วอยู่บ่อยครั้ง แต่จะทรงทำเช่นนี้ผ่านการเปิดเผยผ่าน การพยากรณ์ ไม่ใช่การเปิดเผย ส่วนตัว การเปิดเผยแบบ การพยากรณ์ ผ่านมาทางศาสดาพยากรณ์ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงแต่งตั้งตามพระปรีชาญาณและความเข้าพระทัยของพระองค์ ข้อยกเว้นเหล่านี้รวมถึงการเปิดเผยของพระเจ้าต่อโมเสสและโยชูวาให้ฆ่าผู้อยู่อาศัยในแผ่นดินคานาอันแม้จะมีพระบัญญัติ “ห้ามฆ่าคน” ก็ตาม (อพยพ 20:13) พระเจ้าทรงสามารถแก้ไขและจะทรงแก้ไขพระบัญญัติ ของพระองค์ ผ่านศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ เพื่อจุดประสงค์ ของพระองค์ แต่โดยผ่านการเปิดเผย ส่วนตัว เราไม่มีอิสระที่จะปรับเปลี่ยนหรือละเลยพระบัญญัติที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยต่อศาสนจักรผ่านศาสดาพยากรณ์

    ดู 1 นีไฟ 4:12–18; ดูการสนทนาครบถ้วนมากขึ้นใน Joseph Spencer, 1st Nephi: A Brief Theological Introduction (2020) 66–80.

  24. อ่านเรื่องต้นฉบับ 116 หน้าทั้งเรื่องได้จาก วิสุทธิชน: เรื่องราวของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ในยุคสุดท้าย, เล่ม 1 มาตรฐานแห่งความจริง 1815–1846 (2018), 44–53; ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 3:5–15; 10:1–5 ด้วย

  25. เจคอบ 4:10

  26. ดู เจคอบ 4:14–16

  27. โจเซฟ สมิธสอนว่า, “เราไม่เคยทูลขอจากพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าสำหรับการเปิดเผยพิเศษ นอกจากในกรณีที่ไม่มีการเปิดเผยก่อนหน้านี้เหมาะสมกับกรณีดังกล่าว” (ใน History, 1838–1856 [Manuscript History of the Church], volume A-1, 286–87, josephsmithpapers.org)

  28. ดู โมไซยาห์ 4:3 เมื่อเรายังคงรู้สึกผิดและเสียใจหลังจากกลับใจอย่างจริงใจด้วยความตั้งใจ ปกติแล้วนั่นเป็นเพราะการขาดศรัทธาในพระเยซูคริสต์และในความสามารถของพระองค์ที่จะให้อภัยและรักษาเราอย่างสมบูรณ์ บางครั้งเราเชื่อว่าการให้อภัยมีเพื่อผู้อื่นแต่ใช้ไม่ได้กับเราในทุกๆ เรื่อง นั่นเป็นเพียงการขาดศรัทธาในสิ่งที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงสามารถทำให้สำเร็จได้เนื่องจากการชดใช้อันไม่มีขอบเขตของพระองค์

  29. ดู อิสยาห์ 28:10; 2 นีไฟ 28:30; David A. Bednar, “Line upon Line, Precept upon Precept,” New Era, Sept. 2010, 3–7.

  30. แต่ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ประทานการเปิดเผยแก่ท่าน จงทูลขอต่อไป ตามที่เอ็ลเดอร์ริชาร์ด จี. สก็อตต์สอน: “จงดำเนินต่อไปด้วยความวางใจ … เมื่อท่านดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรมและปฏิบัติด้วยความวางใจ พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงปล่อยให้ท่านทำเลยเถิดโดยไม่เตือนท่านให้รู้สึกถ้าท่านตัดสินใจผิด” (ดู “การใช้ของประทานอันสูงส่งแห่งการสวดอ้อนวอน,” เลียโฮนา, พ.ค. 2007, 12)

  31. ดู 2 นีไฟ 32:5