การบำรุงเลี้ยงและการแสดงประจักษ์พยานของท่าน
ข้าพเจ้าเชื้อเชิญให้ท่านแสวงหาโอกาสแสดงประจักษ์พยานในคำพูดและในการกระทำ
คำเกริ่นนำ
ช่วงเวลาที่กำหนดความเป็นไปในชีวิตเกิดขึ้นบ่อยครั้งอย่างคาดไม่ถึง แม้ตอนที่ท่านอายุยังน้อย ข้าพเจ้าขอเล่าเรื่องนักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่งชื่อเควิน เขาได้รับเลือกให้เดินทางออกนอกรัฐไปร่วมงานผู้นำนักเรียนงานหนึ่ง เขาเล่าว่า
“เมื่อแถวมาถึงคิวผม พนักงานลงทะเบียนหน้าตาขึงขังถามชื่อ เธอมองดูรายชื่อและพูดว่า ‘คุณเป็นเด็กหนุ่มจากยูทาห์สินะ’
“‘มีผมคนเดียวหรือครับ?’ ผมถาม
“‘ใช่ คุณคนเดียว’ เธอยื่นป้ายชื่อมาให้ ป้ายนั้นมีคำว่า ‘ยูทาห์’ พิมพ์อยู่ใต้ชื่อผม ขณะหนีบป้ายชื่อ ผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกหมายหัว
“ผมเบียดเข้าไปในลิฟต์โรงแรมพร้อมกับนักเรียนมัธยมปลายอีกห้าคนที่มีป้ายชื่อเหมือนผม ‘เฮ้ คุณมาจากยูทาห์นี่ เป็นมอรมอนเหรอ?” นักเรียนคนหนึ่งถาม
“ผมรู้สึกเป็นส่วนเกินของผู้นำนักเรียนเหล่านี้จากทั่วประเทศ ‘ใช่’ ผมยอมรับอย่างลังเล
“‘คุณเป็นพวกที่เชื่อในโจเซฟ สมิธคนที่บอกว่าเห็นเทพนี่นา คุณไม่ได้เชื่ออย่างนั้นจริงๆ ใช่ไหม?
“ผมไม่ทราบจะตอบอย่างไรดี นักเรียนในลิฟต์มองผมเป็นตาเดียว ผมเพิ่งมาถึง และทุกคนก็คิดว่าผมแตกต่างเสียแล้ว ผมรู้สึกอยากโต้กลับเล็กน้อยแต่ก็บอกไปว่า ‘ผมรู้ว่าโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า’
“‘คำพูดนั้นมาจากไหน?’ ผมสงสัย ผมไม่รู้ว่าผมจะกล้าพูดไปแบบนั้น แต่รู้สึกว่าคำพูดนั้นเป็นความจริง
“‘เหรอ มีคนบอกว่าพวกคุณเป็นแค่พวกคลั่งศาสนา’ เขาพูด
“จบคำพูดนี้ ความเงียบชวนอึดอัดก็เกิดขึ้นขณะประตูลิฟต์เปิด ระหว่างที่เราไปรับกระเป๋าเดินทาง เขาเดินหัวเราะไปตามโถงทางเดิน
“แล้วก็มีเสียงถามมาจากข้างหลังผมว่า ‘นี่ พวกมอรมอนไม่ได้มีไบเบิลอีกเล่มใช่ไหม?’
“ไม่นะ อีกแล้วเหรอ ผมเหลียวมองมาเห็นนักเรียนอีกคนที่อยู่ในลิฟต์กับผมเมื่อครู่ เขาคือคริสโตเฟอร์
“‘เราเรียกว่าพระคัมภีร์มอรมอน’ ผมตอบ และอยากเลิกพูดเรื่องนี้ ผมรับกระเป๋ามาและเริ่มเดินไปตามโถงทางเดิน
“‘เป็นหนังสือที่โจเซฟ สมิธแปลใช่หรือเปล่า?’ เขาถาม
“‘ใช่แล้ว’ ผมตอบ ผมเดินต่อไปเรื่อยๆ หวังจะเลี่ยงความอาย
“‘คุณรู้ไหมว่าผมจะเอาหนังสือนั้นได้จากที่ไหน?’
“จู่ๆ พระคัมภีร์ข้อหนึ่งที่เรียนในเซมินารีก็แวบเข้ามา ‘ข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐ [เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์]’ 1 เมื่อข้อนี้เข้ามาในความคิด ผมรู้สึกละอายใจที่ผมอาย
“พระคัมภีร์ข้อนั้นไม่ยอมออกจากความคิดผมตลอดสัปดาห์ ผมตอบคำถามเกี่ยวกับศาสนจักรเท่าที่จะตอบได้ และผูกมิตรกับเพื่อนหลายคน
“ผมค้นพบว่าผมภูมิใจในศาสนาของผม
“ผมมอบพระคัมภีร์มอรมอนให้คริสโตเฟอร์ ภายหลังเขาเขียนมาบอกว่าเขาได้เชิญผู้สอนศาสนามาที่บ้าน
“ผมเรียนรู้ที่จะไม่อายในการแบ่งปันประจักษ์พยาน”2
ข้าพเจ้าได้แรงบันดาลใจจากความกล้าหาญของเควินในการแบ่งปันประจักษ์พยาน นี่เป็นความกล้าหาญที่สมาชิกผู้ซื่อสัตย์ทั่วโลกของศาสนจักรแสดงออกมาทุกๆ วัน ขณะข้าพเจ้าแบ่งปันข้อคิด ขอให้ท่านใคร่ครวญคำถามสี่ข้อนี้:
-
ฉันรู้และเข้าใจหรือไม่ว่าประจักษ์พยานคืออะไร?
-
ฉันรู้วิธีแสดงประจักษ์พยานไหม?
-
อุปสรรคในการแบ่งปันประจักษ์พยานของฉันมีอะไรบ้าง?
-
ฉันจะรักษาประจักษ์พยานอย่างไร?
ฉันรู้และเข้าใจหรือไม่ว่าประจักษ์พยานคืออะไร?
ประจักษ์พยานของท่านเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุด ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับความรู้สึกลึกซึ้งทางวิญญาณ ความรู้สึกเหล่านี้ปกติจะสื่อสารอย่างเงียบๆ และเรียกว่า “เสียงสงบแผ่วเบา”3 เป็นความเชื่อหรือความรู้ของท่านเรื่องความจริง ซึ่งประทานมาเพื่อเป็นพยานทางวิญญาณผ่านอิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ การได้พยานนั้นมาจะเปลี่ยนสิ่งที่ท่านพูดและวิธีที่ท่านปฏิบัติ องค์ประกอบสำคัญของประจักษ์พยานของท่านซึ่งยืนยันโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้แก่:
-
พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระบิดาบนสวรรค์ของท่าน ท่านเป็นลูกของพระองค์ พระองค์ทรงรักท่าน
-
พระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์ ทรงเป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์ พระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่ของท่าน
-
โจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งได้รับเรียกให้ฟื้นฟูศาสนจักรของพระเยซูคริสต์
-
ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายคือศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟูบนแผ่นดินโลก
-
ศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเยซูคริสต์นำโดยศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน
ฉันรู้วิธีแสดงประจักษ์พยานไหม?
ท่านแสดงประจักษ์พยานเมื่อท่านแบ่งปันความรู้สึกทางวิญญาณกับผู้อื่น ในฐานะสมาชิกศาสนจักร ท่านมีโอกาสพูดแสดงประจักษ์พยานในการประชุมที่เป็นทางการของศาสนจักร หรือในการสนทนาส่วนตัวที่เป็นทางการน้อยลงกับครอบครัว เพื่อนฝูง และคนอื่นๆ
อีกวิธีในการแบ่งปันประจักษ์พยานของท่านคือผ่านทางพฤติกรรมอันชอบธรรม ประจักษ์พยานของท่านในพระเยซูคริสต์ไม่ใช่เพียงสิ่งที่ท่านพูด—แต่เป็นตัวตนของท่าน
ทุกครั้งที่กล่าวคำพยานหรือแสดงให้เห็นผ่านการกระทำว่าท่านมุ่งมั่นทำตามพระเยซูคริสต์ ท่านกำลังเชื้อเชิญให้ผู้อื่น “มาหาพระคริสต์”4
สมาชิกศาสนจักรยืนเป็นพยานเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ในทุกสิ่ง และในทุกแห่ง5 โอกาสทำเช่นนี้ในจักรวาลดิจิทัลมีไม่สิ้นสุดด้วยการใช้เนื้อหาสร้างแรงบันดาลใจของท่านเองหรือแชร์เนื้อหาเชิดชูจิตวิญญาณที่คนอื่นทำขึ้นมา เราเป็นพยานเมื่อเรารัก แบ่งปัน และเชื้อเชิญแม้ทางออนไลน์ บรรดาทวีต ข้อความส่วนตัว และโพสต์ของท่านจะมีจุดประสงค์ที่สูงขึ้นและศักดิ์สิทธิ์ขึ้นเมื่อท่านใช้โซเชียลมีเดียเพื่อแสดงให้เห็นว่าพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ขัดเกลาชีวิตท่านอย่างไร
อุปสรรคในการแบ่งปันประจักษ์พยานของฉันมีอะไรบ้าง?
อุปสรรคขัดขวางการแสดงประจักษ์พยานของท่านอาจรวมถึงความไม่แน่ใจว่าจะพูดอะไร แมทธิว คาวลีย์ อัครสาวกรุ่นแรกๆ เล่าประสบการณ์นี้ขณะจากไปทำงานเผยแผ่ห้าปีที่นิวซีแลนด์ตอนอายุ 17 ปี:
“ข้าพเจ้าจะไม่มีวันลืมคำสวดอ้อนวอนของคุณพ่อในวันที่ข้าพเจ้าออกจากบ้าน ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินพรที่ไพเราะมากเท่านี้มาก่อนตลอดทั้งชีวิต แล้วคำพูดสุดท้ายที่ท่านพูดด้วยที่สถานีรถไฟคือ ‘ลูกพ่อ ลูกจะออกไปทำงานเผยแผ่ ลูกจะศึกษา ลูกจะพยายามเตรียมคำเทศนาของลูก และบางครั้งเมื่อลูกถูกเรียกให้พูด ลูกจะคิดว่าลูกเตรียมมาดีมากแล้ว แต่พอลูกลุกขึ้นยืน ลูกจะลืมหมดทุกอย่าง’ ข้าพเจ้ามีประสบการณ์นั้นมากกว่าหนึ่งครั้ง
“ข้าพเจ้าถามว่า ‘แล้วจะทำอย่างไรถ้าลืมหมดทุกอย่าง?’
“ท่านตอบว่า ‘ลูกก็ยืนอยู่ตรงนั้นและเป็นพยานสุดพลังจิตวิญญาณของลูกว่าโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ความคิดจะหลั่งไหลเข้ามาในจิตใจลูกและคำพูดจะหลั่งไหลมาที่ปากลูก … เข้าถึงใจของทุกคนที่ฟัง’ ดังนั้นการที่ข้าพเจ้าลืมไปหมดเกือบทุกครั้งระหว่าง … งานเผยแผ่ … จึงเปิดโอกาสให้ข้าพเจ้าได้แสดงประจักษ์พยานถึงเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลกนับตั้งแต่การตรึงกางเขนพระอาจารย์ ลองทำดู ชายหนุ่มหญิงสาวทั้งหลาย ถ้าท่านไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว ให้เป็นพยานว่าโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า และประวัติศาสตร์ทั้งหมดของศาสนจักรจะหลั่งไหลเข้ามาในความคิดท่าน”6
ประธานดัลลิน เอช. โอ๊คส์แบ่งปันในทำนองเดียวกันว่า “ประจักษ์พยานบางอย่างเราได้รับขณะยืนแสดงประจักษ์พยานมากกว่าตอนคุกเข่าสวดอ้อนวอนขอ”7 พระวิญญาณทรงเป็นพยานต่อผู้พูดและผู้ฟังเหมือนๆ กัน
อุปสรรคอีกอย่างคือ ความกลัว ตามที่เน้นให้เห็นในเรื่องของเควิน ดังที่เปาโลเขียนถึงทิโมธีว่า:
“พระเจ้าไม่ได้ประทานใจที่ขลาดกลัวแก่เรา แต่ประทานใจที่ประกอบด้วยฤทธานุภาพ และความรัก …
“เพราะฉะนั้นอย่าอับอายที่เป็นพยานขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”8
ความรู้สึกกลัวไม่ได้มาจากพระเจ้าแต่ส่วนมากมักมาจากปฏิปักษ์ การมีศรัทธาเหมือนเควินจะช่วยให้ท่านเอาชนะความรู้สึกเหล่านี้และแบ่งปันสิ่งที่อยู่ในใจท่านได้อย่างอิสระ
ฉันจะรักษาประจักษ์พยานอย่างไร?
ข้าพเจ้าเชื่อว่าประจักษ์พยานอยู่ในตัวเราแต่กำเนิด แต่เพื่อรักษาและพัฒนาให้สมบูรณ์มากขึ้น แอลมาสอนว่าเราต้องบำรุงเลี้ยงประจักษ์พยานของเราด้วยความเอาใจใส่ให้มาก9 เมื่อทำเช่นนั้น “มันจะแตกราก, และเติบโตขึ้น, และออกผล”10 หากไม่ทำ “มันย่อมเหี่ยวแห้งไป”11
สมาชิกในฝ่ายประธานสูงสุดแต่ละคนที่เรารักเคยแนะนำวิธีรักษาประจักษ์พยานให้เราแล้ว
ประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์สอนเราด้วยความรักว่า “การดื่มด่ำพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า การสวดอ้อนวอนด้วยความจริงใจ และการเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้า ต้องนำมาประยุกต์ใช้อย่างสม่ำเสมอเป็นประจำเพื่อให้ประจักษ์พยานของท่านเจริญงอกงาม”12
ประธานดัลลิน เอช. โอ๊คส์เตือนเราว่าหากจะรักษาประจักษ์พยานของเราให้คงอยู่ “เราต้องรับส่วนศีลระลึกทุกสัปดาห์ (ดู คพ. 59:9) เพื่อให้มีคุณสมบัติคู่ควรรับสัญญาอันล้ำค่าที่ว่าเราจะ ‘มีพระวิญญาณของพระองค์อยู่กับ [เรา] ตลอดเวลา’ (คพ. 20:77)”13
และประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันให้คำแนะนำเราเมื่อไม่นานมานี้ว่า:
“ป้อนความจริงให้ [ประจักษ์พยานของท่าน] …
“… บำรุงเลี้ยงตัวท่านด้วยถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์ในอดีตและปัจจุบัน ทูลขอพระเจ้าให้ทรงสอนวิธีฟังพระองค์ได้ดีขึ้น ใช้เวลามากขึ้นในพระวิหารและในงานประวัติครอบครัว
“… ให้ประจักษ์พยานของท่านมีความสำคัญสูงสุด”14
สรุป
พี่น้องที่รัก ข้าพเจ้าสัญญาว่าเมื่อท่านเข้าใจถ่องแท้มากขึ้นว่าประจักษ์พยานคืออะไร และเมื่อท่านแบ่งปัน ท่านจะเอาชนะอุปสรรคของความไม่แน่ใจและความกลัว ทำให้ท่านสามารถบำรุงเลี้ยงและรักษาสมบัติล้ำค่าที่สุดนี้ไว้ได้ สมบัตินั้นคือประจักษ์พยานของท่าน
เราได้รับพรให้มีตัวอย่างนับไม่ถ้วนของศาสดาพยากรณ์ยุคโบราณและยุคปัจจุบันผู้แสดงประจักษ์พยานอย่างอาจหาญ
หลังจากพระคริสต์สิ้นพระชนม์ เปโตรยืนเป็นพยานว่า:
“ก็ให้ท่านทั้งหลาย … ทราบเถิดว่าโดยพระนามของพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธที่พวกท่านตรึงไว้ที่กางเขน ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงให้เป็นขึ้นจากตาย … ชายคนนี้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าพวกท่าน …
“เพราะว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้นั้น ไม่โปรดให้มีท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า”15
อมิวเล็คกล่าวอย่างทรงพลังหลังจากคำเทศนาของแอลมาเรื่องศรัทธาว่า: “ข้าพเจ้าจะเป็นพยานแก่ท่านด้วยตนเองว่าสิ่งเหล่านี้จริง. ดูเถิด, ข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่าน, ว่าข้าพเจ้ารู้ว่าพระคริสต์จะเสด็จมาในบรรดาลูกหลานมนุษย์, … และว่าพระองค์จะทรงชดใช้บาปของโลก; เพราะพระเจ้าพระผู้เป็นเจ้ารับสั่งไว้”16
โจเซฟ สมิธและซิดนีย์ ริกดันเห็นนิมิตอันรุ่งโรจน์ของพระผู้ช่วยให้รอดผู้ฟื้นคืนพระชนม์และเป็นพยานว่า:
“และบัดนี้, หลังจากประจักษ์พยานจำนวนมากที่ให้ไว้ถึงพระองค์, นี่คือประจักษ์พยาน, สุดท้ายของทั้งหมด, ซึ่งเราให้ไว้ถึงพระองค์: ว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่!
“เพราะเราเห็นพระองค์, แม้ทางพระหัตถ์ขวาของพระผู้เป็นเจ้า; และเราได้ยินเสียงรับสั่งคำพยานว่าพระองค์ทรงเป็นพระองค์เดียวที่ถือกำเนิดจากพระบิดา”17
พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าเชื้อเชิญให้ท่านแสวงหาโอกาสแสดงประจักษ์พยานในคำพูดและในการกระทำ โอกาสเช่นนั้นเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าเมื่อเร็วๆ นี้ตอนสิ้นสุดการประชุมกับนายกเทศมนตรีของเมืองหลวงในอเมริกาใต้ในห้องประชุมพร้อมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงจำนวนหนึ่ง เมื่อเราจบการพบปะด้วยความรู้สึกฉันมิตรแล้ว ข้าพเจ้าคิดอย่างลังเลว่าควรแบ่งปันประจักษ์พยาน ข้าพเจ้าเป็นพยานตามการกระตุ้นเตือนว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์และพระผู้ช่วยให้รอดของโลก ทุกอย่างเปลี่ยนไปทันที ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีพระวิญญาณอยู่ในห้องนั้น ดูเหมือนทุกคนได้รับผลจากอิทธิพลนั้น “พระผู้ปลอบโยน … รับสั่งคำพยานถึงพระบิดาและถึงพระบุตร”18 ข้าพเจ้าสำนึกคุณอย่างยิ่งที่ได้รวบรวมความกล้าเพื่อแสดงประจักษ์พยาน
เมื่อช่วงเวลาแบบนั้นเข้ามา จงคว้าไว้และน้อมรับ ท่านจะรู้สึกถึงความอบอุ่นของพระผู้ปลอบโยนในตัวท่านเมื่อทำเช่นนั้น
ข้าพเจ้าขอแบ่งปันประจักษ์พยานและเป็นพยานต่อท่านว่าพระผู้เป็นเจ้าคือพระบิดาบนสวรรค์ของเรา พระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์ และศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายคือศาสนจักรของพระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดินโลกทุกวันนี้ซึ่งนำโดยศาสดาพยากรณ์ที่รักของเรา ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน