การประชุมใหญ่สามัญ
โฮซันนาแด่พระผู้เป็นเจ้าสูงสุด
การประชุมใหญ่สามัญเดือนเมษายน 2023


13:18

โฮซันนาแด่พระผู้เป็นเจ้าสูงสุด

การเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มของพระเยซูคริสต์อย่างผู้พิชิตและเหตุการณ์ของสัปดาห์ต่อมาเป็นแบบอย่างของหลักคำสอนที่เรานำมาใช้ได้ในชีวิตปัจจุบัน

ดังที่กล่าวกันมา วันนี้เราร่วมกับชาวคริสต์ทั่วโลกถวายพระเกียรติพระเยซูคริสต์ในวันอาทิตย์ใบลานนี้ ราว 2,000 ปีที่แล้ว วันอาทิตย์ใบลานเป็นวันเริ่มต้นสัปดาห์สุดท้ายของการปฏิบัติศาสนกิจในความเป็นมรรตัยของพระเยซูคริสต์ เป็นสัปดาห์สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์

ซึ่งเริ่มต้นด้วยการแซ่ซ้องสรรเสริญพระเยซูว่าเป็นพระเมสสิยาห์ที่สัญญาไว้ในขณะพระองค์เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต จบลงด้วยการตรึงกางเขนและการฟื้นคืนพระชนม์1 ตามแบบแผนอันศักดิ์สิทธิ์ การพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ปิดฉากการปฏิบัติศาสนกิจในความเป็นมรรตัยของพระองค์ ทำให้การได้อยู่กับพระบิดาบนสวรรค์ชั่วนิรันดร์เป็นไปได้สำหรับเรา

พระคัมภีร์บอกเราว่าสัปดาห์นั้นเริ่มต้นด้วยฝูงชนยืนอยู่ที่ประตูเมืองเพื่อดู “เยซูผู้เผยพระวจนะที่มาจากนาซาเร็ธแคว้นกาลิลี”2 พวก‍เขา “ถือทางอินท‌ผลัมพากันออกไปต้อน‍รับพระ‍องค์พลางร้องว่า: โฮ‌ซัน‌นา ขอให้พระ‍องค์ผู้เสด็จมาในพระ‍นามขององค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า คือพระ‍มหา‍กษัตริย์แห่งอิสรา‌เอลทรง‍พระ‍เจริญ”3

เรื่องราวในไบเบิลเมื่อนานมาแล้วนั้นทำให้ข้าพเจ้านึกถึงตอนทำงานมอบหมายของศาสนจักรในทาโกราดี กานา นับว่าพิเศษมากที่ข้าพเจ้าได้อยู่ที่นั่นในวันอาทิตย์ใบลาน

กลุ่มนมัสการในทาโกราดี กานา

ข้าพเจ้าต้องแบ่งสเตคทาโกราดี กานา เพื่อก่อตั้งสเตคอึมปินซิน กานา ปัจจุบัน มีสมาชิกศาสนจักรในกานาเกิน 100,000 คน4 (เราขอต้อนรับสมเด็จพระราชาธิบดีนี แทคกี เทโก ซูรูที่สอง แห่งอักกรา กานา ที่อยู่กับเราวันนี้) ขณะประชุมกับวิสุทธิชนเหล่านี้ ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความรักความภักดีอันลึกซึ้งที่พวกเขามีต่อพระเจ้า ข้าพเจ้าแสดงความรักมากมายต่อพวกเขา และบอกว่าประธานศาสนจักรรักพวกเขา ข้าพเจ้าอ้างพระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอดที่ยอห์นบันทึกไว้ว่า: “ให้พวก‍ท่านรักกันและกันเหมือนอย่างที่เรารักท่าน”5 พวกเขาถือว่านั่นเป็น “การประชุมใหญ่แห่งการบอกรัก”6

เอ็ลเดอร์ราสแบนด์จับมือสมาชิกในทาโกราดี กานา

ขณะกวาดตามองไปตามแถวที่พี่น้องที่รักเหล่านั้นกับครอบครัวนั่งอยู่ในห้องนมัสการ ข้าพเจ้าเห็นใบหน้าพวกเขาเปล่งปลั่งด้วยประจักษ์พยานและศรัทธาในพระเยซูคริสต์ รู้สึกว่าพวกเขาอยากถูกนับเป็นส่วนหนึ่งในศาสนจักรที่กำลังแผ่ขยายไปทั่วของพระองค์ และเมื่อคณะนักร้องร้องเพลง พวกเขาขับร้องราวกับทูตสวรรค์

คณะนักร้องประสานเสียงในทาโกราดี กานา
เอ็ลเดอร์ราสแบนด์กับสมาชิกในกานา

เช่นเดียวกับวันอาทิตย์ใบลานสมัยก่อน คนเหล่านี้คือสานุศิษย์ของพระเยซูคริสต์ที่มาร่วมสรรเสริญพระองค์เหมือนคนที่ประตูเมืองเยรูซาเล็มผู้โบกใบลานร้องว่า “โฮซันนา … ขอให้ท่านผู้ที่เสด็จมาในพระ‍นามขององค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้าทรง‍พระ‍เจริญ”7

ใบลานโบกพัดในกานา

แม้แต่ลูกวัดในโบสถ์ใกล้เคียงก็ยังให้เกียรติวันอาทิตย์ใบลาน ขณะพูดจากแท่นพูด ข้าพเจ้าสังเกตเห็นนอกหน้าต่างว่าพวกเขากำลังเดินโบกใบลานไปตามถนนอย่างร่าเริงเบิกบานเหมือนกลุ่มคนในรูปนี้มาก เป็นภาพที่ข้าพเจ้าจะไม่มีวันลืม—เราทุกคนวันนั้นกำลังนมัสการพระมหากษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย

ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันเตือนเราให้ทำวันอาทิตย์ใบลาน “ให้ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ โดยระลึกถึง—ไม่ใช่แค่ใบลานที่เราโบกต้อนรับการเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มของพระเยซูเท่านั้น—แต่โดยระลึกถึงฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์ด้วย” จากนั้นประธานเนลสันอ้างอิสยาห์ ผู้ “พูดถึงการสัญญาของพระผู้ช่วยให้รอดว่า ‘เราก็จะไม่ลืมเจ้า’” โดยตรัสว่า: “ดูเถิด, เราจารึกเจ้าไว้บนฝ่ามือของเรา”8

พระเจ้าทรงทราบจากประสบการณ์ตรงว่าความเป็นมรรตัยนั้นยาก บาดแผลของพระองค์ย้ำเตือนเราว่าพระองค์ทรง “ลงต่ำกว่า … ทั้งหมด”9 เพื่อจะทรงช่วยเราได้เมื่อเราทนทุกข์ และเป็นแบบอย่างให้เรา “ยึดมั่นวิถีทางของเจ้า”10 วิถีทางของพระองค์ เพื่อที่ “พระผู้เป็นเจ้าจะทรงอยู่กับ [เรา] ตลอดกาลและตลอดไป”11

วันอาทิตย์ใบลานไม่ใช่แค่เหตุการณ์หนึ่ง แต่เป็นอีกหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ระบุวันเวลาและสถานที่ การเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มของพระเยซูคริสต์อย่างผู้พิชิตและเหตุการณ์ของสัปดาห์ต่อมาเป็นแบบอย่างของหลักคำสอนที่เรานำมาใช้ได้ในชีวิตปัจจุบัน

ขอให้เราพิจารณาหลักคำสอนนิรันดร์บางอย่างที่ร้อยเรียงอยู่ในการปฏิบัติศาสนกิจของพระองค์ที่จบลงในเยรูซาเล็ม

หนึ่ง คำพยากรณ์ ตัวอย่างเช่น เศคาริยาห์ศาสดาพยากรณ์ในพันธสัญญาเดิมพยากรณ์ถึงการเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิตของพระเยซูคริสต์ ถึงขนาดอธิบายว่าพระองค์จะทรงลา12 พระเยซูตรัสล่วงหน้าเรื่องการฟื้นคืนพระชนม์ขณะทรงเตรียมเสด็จเข้ากรุงว่า:

“ฟังนะ พวกเราจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และบุตรมนุษย์จะถูกมอบไว้กับพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ และพวกเขาจะลงโทษท่านถึงตาย

“ทั้งจะมอบตัวท่านไว้กับพวกต่าง‍ชาติ เพื่อให้เยาะ‍เย้ย เฆี่ยน‍ตี และตรึงไว้ที่กาง‌เขน และวัน‍ที่สามจะเป็นขึ้นมาใหม่”13

สอง ความเป็นเพื่อนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ โจเซฟ สมิธสอนว่า “ไม่มีใครรู้ได้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า นอกจากโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์”14 พระผู้ช่วยให้รอดทรงสัญญากับเหล่าสาวกของพระองค์15ที่พระกระยาหารมื้อสุดท้าย16ในห้องชั้นบนว่า17 “เราจะไม่ละทิ้งพวกท่านไว้ให้เป็นลูกกำพร้า”18 พวกเขาจะไม่แบกความจริงของพระกิตติคุณไปข้างหน้าตามลำพัง แต่จะมีของประทานอันล้ำเลิศแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์คอยนำทาง “เรามอบสันติสุขไว้กับพวกท่าน สันติสุขของเราที่ให้กับท่านนั้น” พระองค์ทรงสัญญา “เราไม่ได้ให้อย่างที่โลกให้”19 ด้วยของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ เรามีคำรับรองเดียวกัน—ว่าเรา “จะมีพระวิญญาณของพระองค์อยู่กับ [เรา] ตลอดเวลา”20 และ “โดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ [เรา] จะรู้ความจริงของทุกเรื่อง”21

สาม การเป็นสานุศิษย์ การเป็นสานุศิษย์ที่แท้จริงคือการให้คำมั่นสัญญาอย่างมั่นคง การเชื่อฟังกฎนิรันดร์ และการรักพระผู้เป็นเจ้าเป็นอันดับแรก โดยไม่หวั่นไหว ฝูงชนที่มาสรรเสริญด้วยการโบกใบลานยกย่องพระองค์เป็นพระเมสสิยาห์ พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์จริงๆ พวกเขาถูกดึงดูดมาหาพระองค์ ปาฏิหาริย์ของพระองค์ และคำสอนของพระองค์ แต่หลายคนยกย่องสรรเสริญพระองค์ไม่นาน บางคนที่เคยโห่ร้อง “โฮซันนา”22 ไม่นานก็หันมาร้อง “ตรึงเขาที่กางเขน”23

สี่ การชดใช้ของพระเยซูคริสต์24 ในวันท้ายๆ ของพระองค์หลังจากวันอาทิตย์ใบลาน ทรงบรรลุการชดใช้อันน่าทึ่ง ตั้งแต่ความปวดร้าวของเกทเสมนีไปจนถึงความไร้สาระของการพิจารณาคดีพระองค์ ความทรมานบนกางเขน และการฝังพระองค์ในอุโมงค์ที่ยืมมา แต่ไม่ได้หยุดแค่ตรงนั้น ด้วยพระบารมีแห่งการเรียกของพระองค์ในฐานะพระผู้ไถ่ของลูกๆ ทุกคนของพระบิดาบนสวรรค์ สามวันต่อมาพระองค์จึงเสด็จออกจากอุโมงค์นั้น ฟื้นคืนพระชนม์25ตามที่ทรงพยากรณ์ไว้

เราสำนึกคุณอยู่เสมอหรือไม่ต่อการชดใช้อันหาที่เปรียบมิได้ของพระเยซูคริสต์? ตอนนี้เรารู้สึกถึงอำนาจการทำให้บริสุทธิ์ของการชดใช้หรือไม่? นั่นคือสาเหตุที่พระเยซูคริสต์ พระผู้ลิขิตและพระผู้ประสิทธิ์ความรอดของเรา เสด็จไปเยรูซาเล็มเพื่อช่วยให้เราทุกคนรอด ถ้อยคำเหล่านี้ในแอลมาโดนใจหรือไม่: “หากท่านประสบกับการเปลี่ยนแปลงในใจแล้ว, และหากท่านรู้สึกอยากร้องเพลงสดุดีความรักที่ไถ่, ข้าพเจ้าจะถาม, ท่านรู้สึกเช่นนั้นขณะนี้ได้หรือไม่?”26 ข้าพเจ้าพูดได้เต็มปากว่าคณะนักร้องในทาโกราดีในวันอาทิตย์ใบลานนั้นร้อง “เพลงสดุดีความรักที่ไถ่”

สัปดาห์ชี้ชะตาสัปดาห์สุดท้ายของการปฏิบัติศาสนกิจในความเป็นมรรตัย พระเยซูคริสต์ทรงสอนอุปมาเรื่องหญิงพรหมจารีสิบคน27 ทรงสอนเรื่องการเสด็จกลับมาหาคนที่พร้อมรับพระองค์ ไม่ใช่ด้วยใบลานในมือแต่ด้วยความสว่างของพระกิตติคุณภายในพวกเขา พระองค์ทรงใช้ภาพตะเกียงที่ไฟลุกโชนกับน้ำมันสำรองเพื่อเติมเชื้อไฟมาอธิบายความเต็มใจที่จะดำเนินชีวิตตามทางของพระองค์ น้อมรับความจริงของพระองค์ และแบ่งปันความสว่างของพระองค์

ท่านรู้จักเรื่องนี้ หญิงพรหมจารีสิบคนหมายถึงสมาชิกศาสนจักร และเจ้าบ่าวหมายถึงพระเยซูคริสต์

หญิงพรหมจารีสิบคนถือตะเกียง “ออกไปรับเจ้า‍บ่าว”28 ห้าคนฉลาด เตรียมน้ำมันในตะเกียงและสำรองไว้บางส่วน อีกห้าคนโง่ ตะเกียงดับโดยไม่มีน้ำมันสำรอง เมื่อมีเสียงร้องว่า “เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด”29 ห้าคนที่ “ฉลาดและรับความจริง, และรับพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้นำทางของพวกเธอ [แล้ว]”30 ย่อมพร้อมรับ “กษัตริย์ของพวกเธอและผู้ให้กฎของพวกเธอ”31 เพื่อ “รัศมีภาพของพระองค์จะอยู่กับพวกเธอ”32 อีกห้าคนพยายามหาน้ำมันกันวุ่นวาย แต่ก็สายเกินไป ขบวนเจ้าบ่าวไปต่อโดยไม่มีพวกเธอ เมื่อพวกเธอเคาะประตูและขอเข้าไป พระเจ้าตรัสตอบว่า “เราไม่รู้จักท่าน”33

เราจะรู้สึกอย่างไรถ้าพระองค์ตรัสกับเราว่า “เราไม่รู้จักท่าน!”

เรามีตะเกียงเหมือนหญิงพรหมจารีสิบคน แต่เรามีน้ำมันหรือเปล่า? ข้าพเจ้าเกรงว่าบางคนมีน้ำมันเล็กน้อยแค่พอใช้แก้ขัด ยุ่งกับแรงกดดันทางโลกเกินกว่าจะเตรียมตัวให้พร้อม น้ำมันมาจากการเชื่อและทำตามคำพยากรณ์และถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะประธานเนลสัน ที่ปรึกษาของท่าน และอัครสาวกสิบสอง น้ำมันเติมจิตวิญญาณเราเมื่อเราฟังและรู้สึกถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์และทำตามการนำทางอันศักดิ์สิทธิ์นั้น น้ำมันเทลงในใจเราเมื่อการเลือกของเราแสดงให้เห็นว่าเรารักพระเจ้าและรักสิ่งที่พระองค์ทรงรัก น้ำมันมาจากการกลับใจและทูลขอการเยียวยาจากการชดใช้ของพระเยซูคริสต์

ถ้าท่านบางคนกำลังคิดจะเติม “สิ่งที่อยากทำก่อนตาย” นี่เลยครับ: เติมน้ำมันในรูปของน้ำธำรงชีวิตของพระเยซูคริสต์34ซึ่งเป็นเครื่องหมายแทนพระชนม์ชีพและคำสอนของพระองค์ ในทางตรงกันข้าม การได้ไปที่ไกลๆ หรือร่วมเหตุการณ์น่าประทับใจจะไม่มีวันทำให้จิตวิญญาณท่านพอใจหรืออิ่มใจ แต่การดำเนินชีวิตตามหลักคำสอนของพระเยซูคริสต์จะทำให้เป็นเช่นนั้น ซึ่งข้าพเจ้ากล่าวตัวอย่างไว้แล้วข้างต้นคือ: น้อมรับคำพยากรณ์และคำสอนของศาสดาพยากรณ์ ทำตามการกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นสานุศิษย์ที่แท้จริง และทูลขอพลังเยียวยาจากการชดใช้ของพระเจ้า สิ่งเหล่านั้นจะพาท่านไปถึงจุดที่ท่านต้องการไป—นั่นคือกลับไปหาพระบิดาในสวรรค์ของท่าน

วันอาทิตย์ใบลานวันนั้นในทาโกราดีเป็นประสบการณ์พิเศษมากสำหรับข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้ามีประสบการณ์ร่วมกับกลุ่มพี่น้องที่ซื่อสัตย์ เหมือนกับที่เคยมีในหลายทวีปและหลายหมู่เกาะทั่วโลก ใจและจิตวิญญาณข้าพเจ้าปรารถนาจะโห่ร้องเช่นเดียวกับท่าน: “โฮซันนาแด่พระผู้เป็นเจ้าสูงสุด”35

แม้เราไม่ได้ยืนโบกใบลานอยู่ที่ประตูเมืองเยรูซาเล็มวันนี้ แต่เวลาจะมาถึงตามที่มีพยากรณ์ไว้ในวิวรณ์เมื่อ “มหา‍ชนที่ไม่‍มีใครนับจำ‌นวนได้ ที่มาจากทุกประ‌ชา‍ชาติ ทุกเผ่า ทุกชน‍ชาติและทุกภาษา [จะ] ยืนอยู่หน้าพระ‍ที่‍นั่งและเฉพาะ‍พระ‍พักตร์พระ‍เมษ‌โป‌ดก พวก‍เขาสวมเสื้อ‍ผ้าสี‍ขาว และถือใบ‍ตาลอยู่ในมือ”36

ข้าพเจ้าฝากพรในฐานะอัครสาวกของพระเยซูคริสต์ไว้กับท่าน ขอให้ท่านพากเพียรดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรมและอยู่ในบรรดาคนถือใบลานผู้จะแซ่ซ้องสรรเสริญพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้ไถ่ที่ยิ่งใหญ่ของเราทุกคน ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. หนังสือกิตติคุณทั้งสี่ มัทธิว 21–28, มาระโก 11–16, ลูกา 19–24, และ ยอห์น 12–21 พูดถึงวันท้ายๆ ของการปฏิบัติศาสนกิจในความเป็นมรรตัยของพระเยซูคริสต์ซึ่งทรงออกแบบไว้เพื่อทำให้พรแห่งความรอดและความสูงส่งมีผลต่อลูกทุกคนของพระผู้เป็นเจ้า บางครั้งผู้เขียนรวมเรื่องไว้ในนั้นต่างกันแต่คำสอนและพระราชกิจของพระผู้ช่วยให้รอดไม่ต่างกัน

  2. ดู มัทธิว 21:10–11

  3. ยอห์น 12:13

  4. ตามบันทึกสมาชิกภาพและบันทึกสถิติ มีสมาชิก 102,592 คนในกานา

  5. ยอห์น 15:12

  6. ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าพูดกับสมาชิก พวกเขาจะบอกข้าพเจ้าว่า “เอ็ลเดอร์ราสแบนด์ อัครสาวกที่รักของเรา เรารักคุณ” ผู้คนเหล่านี้เปี่ยมด้วยพระวิญญาณและความรักของพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาจึงแบ่งปันความรักนั้นโดยง่าย

  7. มัทธิว 21:9

  8. ดู Russell M. Nelson, “The Peace and Hope of Easter” (วิดีโอ), Apr. 2021, ChurchofJesusChrist.org/media; อิสยาห์ 49:16

  9. หลักคำสอนและพันธสัญญา 122:8 ในเดือนธันวาคมปี 1838 ศาสดาพยากรณ์โจเซฟและผู้นำศาสนจักรจำนวนหนึ่งถูกคุมขังอย่างไม่เป็นธรรมในคุกลิเบอร์ตี้ ซึ่งมีสภาพน่ากลัวมาก หลังจากอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายนานหลายเดือน ท่านเขียนถึงสมาชิกในเดือนมีนาคมปี 1839 โดยมีคำสวดอ้อนวอนที่ท่านวิงวอนพระเจ้าให้ทรงเมตตาสงสารสถานการณ์ของท่านและ “วิสุทธิชนที่ทนทุกข์” รวมไว้ด้วย ท่านแบ่งปันพระดำรัสตอบคำสวดอ้อนวอนเหล่านั้นด้วย ตามที่บันทึกไว้ใน หลักคำสอนและพันธสัญญาภาค 121–123

  10. หลักคำสอนและพันธสัญญา 122:9 กำลังใจที่พระเจ้าทรงมอบให้โจเซฟ สมิธในคุกลิเบอร์ตี้ทำให้ท่านเกิดความสบายใจและความเข้าใจทางวิญญาณว่าความทุกข์ยากและการทดลองต่างๆ จะทำให้เราเข้มแข็งขึ้น สอนความอดทนและส่งเสริมการเป็นนายตนเอง พระเจ้าทรงขอให้ท่าน “ยึดมั่นวิถีทางของเจ้า” ซึ่งเป็นวิถีทางของพระเจ้า โดยอดทนต่อการปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรมเฉกเช่น “พระบุตรของ [พระผู้เป็นเจ้า] เคยลดพระฐานะลงต่ำกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด เจ้ายิ่งใหญ่กว่าพระองค์หรือ?” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 122:8)

  11. หลักคำสอนและพันธสัญญา 122:9 คำสัญญาว่าพระผู้เป็นเจ้า “จะทรงอยู่กับเจ้า” เป็นสัญญาแน่นอนสำหรับคนที่ยึดมั่นศรัทธาและความไว้วางใจในพระเจ้า

  12. ดู เศคาริยาห์ 9:9

  13. มัทธิว 20:18–19 เจมส์ อี. ทาลเมจเขียนใน Jesus the Christ: “ข้อเท็จจริงที่น่าประหลาดใจคืออัครสาวกสิบสองไม่เข้าใจความหมายของพระองค์ … สำหรับพวกเขามีความไม่สอดคล้องที่น่ากลัวบางอย่าง ความไม่สอดคล้องต้องกันอย่างยิ่งหรือความขัดแย้งที่เข้าใจยากบางอย่างในพระดำรัสของพระอาจารย์ที่พวกเขารัก พวกเขารู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์ แต่พระองค์จะทรงต้องโทษประหารได้อย่างไร?” ([1916], 502–503)

  14. โจเซฟ สมิธประกาศเช่นนี้ต่อสมาคมสตรีสงเคราะห์แห่งนอวู ในวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 1842 ตามที่อ้างไว้ใน “History of Joseph Smith,” Deseret News, Sept. 19, 1855, 218. เมื่ออ้าง 1 โครินธ์บทที่สิบสอง ท่านอธิบาย ข้อสาม “ไม่มีใครสามารถ พูด ว่า ‘พระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า’ นอกจากจะพูดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์” โดยแก้ไขเป็น “ไม่มีใครสามารถ รู้ ว่า ‘พระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า’ นอกจากจะรู้โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์” (ดู The First Fifty Years of Relief Society: Key Documents in Latter-day Saint Women’s History [2016], 2.2, churchhistorianspress.org)

  15. พระเยซูคริสต์เสวยพระกระยาหารมื้อสุดท้ายกับเหล่าสาวกของพระองค์ (ดู มาระโก 14:12–18) อัครสาวกสิบสองได้แก่ เปโตร อันดรูว์ ยากอบ ยอห์น มัทธิว ฟีลิป โธมัส บารโธโลมิว ยากอบ (บุตรอัลเฟอัส) ยูดาสอิสคาริโอท ยูดาส (บุตรของยากอบ) และซีโมน (ดู ลูกา 6:13–16)

  16. พระเยซูทรงจัดตั้งศีลระลึกกับสานุศิษย์ของพระองค์ที่พระกระยาหารมื้อสุดท้าย (ดู มัทธิว 26:26–29; มาระโก 14:22–25; ลูกา 22:19–20)

  17. วัน/คืนที่แน่นอนซึ่งพระเยซูทรงจัดตั้งศีลระลึกใน “ห้องชั้นบน” เป็นเรื่องถกเถียงกันจริงๆ เพราะดูเหมือนจะมีความคลาดเคลื่อนระหว่างมัทธิว มาระโก ลูกา กับยอห์น มัทธิว มาระโก และลูกาบอกว่าพระกระยาหารมื้อสุดท้ายเกิดขึ้น “ในวันแรกของเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ” หรือมื้อปัสกา (ดู มัทธิว 26:17; มาระโก 14:12; ลูกา 22:1, 7) แต่ยอห์นบอกว่าพระเยซูทรงถูกจับกุมก่อนมื้อปัสกา (ดู ยอห์น 18:28) หมายความว่าพระกระยาหารมื้อสุดท้ายจะเกิดขึ้นหนึ่งวันก่อนมื้อปัสกา เนื้อหาหลักสูตรของศาสนจักรและนักวิชาการวิสุทธิชนยุคสุดท้ายดูเหมือนจะเห็นพ้องกันว่าพระเยซูทรงจัดพระกระยาหารมื้อสุดท้ายกับเหล่าสาวกในห้องชั้นบนตอนเย็นก่อนพระองค์ทรงถูกตรึงกางเขน ชาวคริสต์ที่ฉลองสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์รับรู้ว่าวันพฤหัสเป็นวันพระกระยาหารมื้อสุดท้าย วันศุกร์เป็นวันตรึงกางเขน และวันอาทิตย์เป็นวันฟื้นคืนพระชนม์—ตามปฏิทินเกรกอเรียน

  18. ยอห์น 14:18

  19. ยอห์น 14:27

  20. หลักคำสอนและพันธสัญญา 20:77

  21. โมโรไน 10:5

  22. Bible Dictionary อธิบาย โฮซันนา ว่าหมายถึง “ช่วยให้รอดเถิด” คำนี้มาจาก สดุดี 118:25 “บทสวดของสดุดีนี้ถูกเชื่อมโยงที่เทศกาลอยู่เพิงกับการโบกใบลาน ฝูงชนที่มารอต้อนรับการเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มของพระเจ้าอย่างผู้พิชิตจึงใช้คำนี้” (Bible Dictionary, “Hosanna”) ดู มัทธิว 21:9, 15; มาระโก 11:9–10, ยอห์น 12:13

  23. มาระโก 15:14; ลูกา 23:21

  24. ใจกลางสำคัญของแผนแห่งความรอดของพระบิดาบนสวรรค์คือการชดใช้อันไม่มีขอบเขตซึ่งจะรับรองชีวิตนิรันดร์ให้ลูกทุกคนของพระองค์และความสูงส่งสำหรับคนที่มีค่าควรได้รับพรนั้น เมื่อพระบิดาตรัส “เราจะส่งใครไปเล่า?” พระเยซูคริสต์ทรงก้าวออกมาข้างหน้า: “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่, ขอทรงส่งข้าพระองค์ไปเถิด” (อับราฮัม 3:27) ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันสอนว่า “พระพันธกิจของ [พระเยซูคริสต์] คือการชดใช้ พระพันธกิจนั้นเป็นของพระองค์โดยเฉพาะ พระองค์ประสูติจากมารดามรรตัยและพระบิดาอมตะ ด้วยเหตุนี้จึงทรงเป็นองค์เดียวผู้สามารถพลีพระชนม์ชีพโดยสมัครใจและรับคืนอีก (ดู ยอห์น 10:14–18) ผลอันรุ่งโรจน์ของการชดใช้ไม่มีขอบเขตและเป็นนิรันดร์ พระองค์ทรงนำความเจ็บแปลบออกจากความตายและทรงทำให้ความโศกเศร้าของหลุมศพเป็นเพียงชั่วคราว (ดู 1 โครินธ์ 15:54–55) ความรับผิดชอบของพระองค์ต่อการชดใช้เป็นที่รู้กันแม้ก่อนการสร้างและการตก การชดใช้ไม่เพียงให้การฟื้นคืนชีวิตและความเป็นอมตะแก่มวลมนุษย์เท่านั้น แต่ยังทำให้เราสามารถได้รับการอภัยบาป—ตามเงื่อนไขที่ทรงกำหนดไว้ด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ การชดใช้ของพระองค์จึงเปิดทางให้เราได้อยู่ร่วมกับพระองค์และกับครอบครัวเราชั่วนิรันดร์” (ดู “พระพันธกิจและศาสนกิจของพระเยซูคริสต์,” เลียโฮนา, เม.ย. 2013, 20)

  25. การฟื้นคืนชีวิตประกอบด้วยการรวมกันของร่างกายกับวิญญาณในสภาพอมตะ ร่างกายกับวิญญาณจะไม่แยกจากกันและจะไม่ประสบโรคภัยไข้เจ็บของความเป็นมรรตัยหรือความตายอีกต่อไป (ดู แอลมา 11:45; 40:23)

  26. แอลมา 5:26; ดู แอลมา 5:14 ด้วย

  27. อุปมาเรื่องหญิงพรหมจารีสิบคนอยู่ใน มัทธิว 25:1–12; หลักคำสอนและพันธสัญญา 45:56–59 บทแวดล้อม มัทธิว 25 บอกว่าพระเยซูทรงสอนอุปมาเรื่องนี้ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของพระองค์ หลังเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มใน มัทธิว 21 และก่อนพระกระยาหารมื้อสุดท้ายและการจับกุมพระองค์ใน มัทธิว 26 นอกจากอุปมาเรื่องหญิงพรหมจารีที่ทรงสอนในสัปดาห์สุดท้ายนั้นแล้ว พระเยซูทรงสอนอุปมาเรื่องต้นมะเดื่อ (ดู มัทธิว 21:17–21; 24:32–33) อุปมาเรื่องบุตรชายสองคน (ดู มัทธิว 21:28–32); และอุปมาเรื่องคนเช่าสวนชั่ว (ดู มัทธิว 21:33–46) ด้วย

  28. มัทธิว 25:1

  29. มัทธิว 25:6

  30. ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 45:57

  31. ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 45:59

  32. ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 45:59

  33. มัทธิว 25:12 ในคำเทศนาบนภูเขา พระเจ้าทรงกล่าวถึงคนที่คิดว่าตนได้ทำ “การแห่งฤทธานุภาพมากมาย” โดยตรัสดังที่มีเล่าไว้ในเรื่องหญิงพรหมจารีโง่ห้าคนว่า “เราไม่รู้จักท่าน” (ดู มัทธิว 7:22–23)

  34. เช่นเดียวกับที่น้ำสำคัญอย่างยิ่งต่อชีวิตมรรตัย พระเยซูคริสต์และคำสอนของพระองค์ (น้ำธำรงชีวิต) ก็สำคัญอย่างยิ่งสำหรับชีวิตนิรันดร์ (ดู คู่มือพระคัมภีร์, “น้ำธำรงชีวิต,” scriptures.ChurchofJesusChrist.org; ดู อิสยาห์ 12:3; เยเรมีย์ 2:13; ยอห์น 4:6–15; 7:37; 1 นีไฟ 11:25; หลักคำสอนและพันธสัญญา 10:66; 63:23 ด้วย)

  35. 3 นีไฟ 4:32

  36. วิวรณ์ 7:9