การเดินทางของผม ในฐานะผู้บุกเบิกจากอินเดีย
ผู้เขียนมาจากติลันกะนะ อินเดีย
ผมนึกถึงการเดินทางของผมจากการเป็น “เด็กบ้านป่า” ในเขตชนบทของอินเดียมาอยู่ที่นี่ที่ผมอยู่ในปัจจุบัน ผมรู้ว่าชีวิตและศาสนาของผมเป็นปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง
ผมเกิดที่หมู่บ้านเล็กๆ ในป่าซึ่งโอบล้อมด้วยเทือกเขากาตตะวันออกในอินเดีย เมื่อผมอายุ 18 เดือน เราย้ายไปอยู่หมู่บ้านดังกราปาลลิริมฝั่งแม่น้ำโคลับ พ่อแม่อุ้มผมใส่ตะกร้าพาผมไปไหนมาไหนด้วยขณะที่พวกท่านเดิน หมู่บ้านนั้นมีครอบครัวประมาณ 20–25 ครอบครัว อาศัยอยู่ในกระท่อมเล็กๆ ที่ไม่มีไฟฟ้า เราไม่มีโรงเรียน โรงพยาบาล หรือสถานีรถโดยสาร เราขุดหลุมในร่องน้ำเพื่อให้มีน้ำดื่ม ผมใช้วัยเด็กเล่นในป่าและท้องทุ่ง ใช้ไม้ต่อขาเดินในหนองน้ำ และว่ายน้ำในแม่น้ำ
บรรพบุรุษของผมเป็นพระประจำวัดฮินดูอยู่ในความปกครองของมหาราชา (กษัตริย์) บาสตาร์แห่งจักดาลปุระ แต่การไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองในเวลานั้นเริ่มเป็นอันตราย คุณตาผมกับครอบครัวท่านจึงหนีไปอยู่โกตะปาดะ พวกท่านได้ที่ลี้ภัยในเขตเผยแผ่ศาสนาเยอรมันลูเธอรัน คุณตาทำงานเป็นภารโรงและแพทย์อายุรเวท (แพทย์แผนโบราณ) ของที่นั่น ที่นี่เองที่คุณตาเลือกเปลี่ยนใจเลื่อมใสศาสนาคริสต์
คุณพ่อของผมยังคงนับถือศาสนาคริสตฺ์โดยเลือกเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐและเป็นกูรู (ครู) เมื่อผมเกิด พ่อแม่ตั้งชื่อให้ผมว่า มังกาล ดาน ดิปตี (หมายถึง “ความดี” “ของขวัญ” และ “แสงสว่าง”) ตามประเพณีของศาสนาคริสต์
สมัยผมเป็นเด็กผมเข้าโบสถ์เยอรมันลูเธอรันเป็นประจำ เราจะไปสวดอ้อนวอนที่ภูเขาด้วยกันบ่อยๆ วันฝนตกวันหนึ่ง ทุกคนในกลุ่มสวดอ้อนวอนตัวเปียกโชก และนักเทศน์คนหนึ่งกล่าวคำสวดอ้อนวอนด้วยศรัทธาแรงกล้าทูลขอพระเจ้าให้ทรงห้ามฝน ยังความประหลาดใจแก่พวกเรา ฝนหยุดตก นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของศรัทธาที่ผมมีต่อพระผู้เป็นเจ้าและการสวดอ้อนวอน
ความเชื่อแบบชาวมอรมอนเป็นชาวคริสต์ไหม
หลังจากเรียนมัธยมปีที่สอง ผมเลิกเรียนหนังสือเพื่อเข้าเรียนศาสนาสามปีที่โกตะปาดะ และได้รับแต่งตั้งเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐเช่นเดียวกับคุณพ่อ หลังจากดำเนินการประชุมในเมืองและรอบเมืองโกตะปาดะอยู่สามสี่ปี ผมย้ายไปอยู่ทางภาคเหนือของอินเดีย ที่นั่นผมเริ่มขายหนังสือจากสมาคมวรรณกรรมคริสตศาสนิกชนอีแวนเจลิคอล ผมบังเอิญเห็นหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า ความเชื่อแบบชาวมอรมอนเป็นชาวคริสต์ไหม บางอย่างเกี่ยวกับหนังสือทำให้ผมเกิดความสนใจ และตัดสินใจอ่านหนังสือเล่มนั้น
หนังสือมีบทวิพากษ์วิจารณ์มากมายเกี่ยวกับชาวมอรมอนและความเชื่อของพวกเขา แม้กระนั้นหลายส่วนของหนังสือก็ทำให้ผมเกิดความสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดของพวกเขาเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์ องค์ประกอบการนมัสการของพวกเขา และประวัติเกี่ยวกับการแต่งภรรยาหลายคน แต่สิ่งที่ทำให้ผมสนใจมากที่สุดคือศาสนจักรของพวกเขาตั้งชื่อตามพระเยซูคริสต์ ผมอยากรู้มากขึ้น
วันหนึ่งขณะสวดอ้อนวอน ผมรู้สึกว่าต้องค้นหาความจริงของนิกายมอรมอน ผมทราบว่าซอทล์เลคซิตี้ ยูทาห์เป็นสำนักงานใหญ่ของศาสนจักร ผมตัดสินใจเขียนจดหมายและจ่าหน้าถึง “ผู้รับผิดชอบดูแลศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ซอลท์เลคซิตี้ ยูทาห์ สหรัฐอเมริกา”
เรียนรู้จากอัครสาวก
คริสต์ศักราช 1959 เพื่อตอบจดหมายของผม บราเดอร์ลามาร์ วิลเลียมส์จากแผนกผู้สอนศาสนาของศาสนจักรส่งประจักษ์พยานของโจเซฟ สมิธ หลักแห่งความเชื่อ และพระคัมภีร์มอรมอนมาให้ผม ผมศึกษาทั้งหมดและเชื่อมั่นในความจริงของหนังสือเหล่านี้ แต่ไม่มีผู้สอนศาสนาหรือสมาชิกสอนผมในอินเดีย
จากนั้นในเดือนมกราคม ค.ศ. 1961 เอ็ลเดอร์สเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์ (1895–1985) แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองมาเยือนเดลี ผมใช้เวลาสามวันเดินทางไปทัชมาฮาลที่เมืองอักราและไปเมืองธรรมศาลากับท่าน ผมเป็นเหมือนฟองน้ำที่ดูดซับบทเรียนพระกิตติคุณทั้งหมดที่ท่านสอน วันสุดท้ายที่ท่านมาเยือน ผมพร้อมรับบัพติศมา วันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1961 ผมรับบัพติศมาโดยเอ็ลเดอร์คิมบัลล์ในแม่น้ำยามุนา ซิสเตอร์คิมบัลล์เป็นพยานอย่างเป็นทางการ แม้จะมีคนเฝ้าดูด้วยความสนใจใคร่รู้มากมายหลายคน ผมได้รับการยืนยันในเย็นวันนั้น
สามวันนั้นเมื่ออัครสาวกของพระเจ้าสอนผมโดยไม่มีการขัดจังหวะใดๆ ถือเป็นช่วงวันเวลาที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิตผม การจากกันทำให้ผมเศร้าใจเพราะท่านเป็นเพื่อนชาวมอรมอนคนพิเศษของผม
โหยหาวิสุทธิชน
หลังจากเอ็ลเดอร์คิมบัลล์จากไปแล้ว ผมแบ่งปันประสบการณ์การเปลี่ยนใจเลื่อมใสของผมกับเพื่อนๆ พวกเขาหัวเราะเยาะผม แต่ผมรู้ว่าพระกิตติคุณเป็นความจริงและไม่อาจปฏิเสธได้ ผมจึงตัดสินใจหาอาชีพใหม่ ผมเริ่มธุรกิจเสื้อผ้าเหมือนคุณพ่อ ผมตระหนักทีละนิดว่าผมจะก้าวหน้าไม่ได้เว้นแต่ผมจะมีการศึกษามากขึ้น ผมอายุ 25 ปี และหวั่นใจเมื่อคิดเรื่องกลับไปเรียนแต่ก็ใช้เวลาเก้าปีต่อจากนั้นเรียนหนังสือ ผมทำธุรกิจของผมในช่วงเช้าและเรียนในช่วงเย็น ผมใช้เงินทั้งหมดที่หาได้ไปกับการศึกษา ผมตั้งใจแน่วแน่และสวดอ้อนวอนทูลขอความช่วยเหลือ ผมได้รับปริญญาตรีสาขาจิตวิทยา สังคมวิทยา และศิลปศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอักรา ในที่สุด ผมเข้าเรียนนิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยมีรัต
ช่วงแรกๆ ของเก้าปีนั้น มีครอบครัววิสุทธิชนยุคสุดท้ายครอบครัวหนึ่งในเดลี คือครอบครัวชอร์ทเลฟท์ พวกเขาทำงานในสถานทูตอเมริกัน ผมเดินทางไปร่วมการประชุมศีลระลึกที่บ้านของพวกเขาในเดลี คริสต์ศักราช 1962 เอ็ลเดอร์ริชาร์ด แอล. อีแวนส์ (1906–1971) แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองมาเยี่ยมเรา และคริสต์ศักราช 1964 เอ็ลเดอร์กอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์ (1910–2008) แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองมา ผมจำได้ว่าสวมพวงมาลัยให้เอ็ลเดอร์ฮิงค์ลีย์และยื่นกระปุกเงินส่วนสิบซึ่งผมสะสมมาหลายปีให้ท่าน
น่าเสียดายที่ช่วงเวลาเหล่านั้นของการผูกมิตร—แม้จะเป็นประโยชน์—แต่ก็เกิดขึ้นไม่บ่อย และขณะอยู่ในอินเดียผมขาดการผูกมิตรต่อเนื่องจากวิสุทธิชนคนอื่นๆ เรื่องนี้ทำให้ผมกังวลใจมาก หลายปีผ่านไป ความอ้างว้างเริ่มส่งผลเสียต่อผม และผมไม่เห็นอนาคตสำหรับผมในอินเดีย ผมอยากมีฐานะปุโรหิต และอยู่ท่ามกลางวิสุทธิชน
เป็นผู้บุกเบิก
เมื่อผมรู้สึกว่าถึงเวลาต้องใกล้ชิดกับวิสุทธิชน ผมจึงเลิกเรียนกฎหมายและอพยพไปแคนาดา เมื่อผมลงเครื่องที่เมืองเอดมันตัน รัฐแอลเบอร์ตา ผมไปวอร์ดที่อยู่ใกล้ที่สุด ผมพบอธิการแฮร์รีย์ สมิธและรู้สึกถึงความสนิทสนมและความเป็นมิตรในวอร์ดนั้นทันที ผมไปเยือนพระวิหารคาร์ดสตัน แอลเบอร์ตา แม้จะยังรับเอ็นดาวเม้นท์ไม่ได้
ผมต้องการไปเยือนซอลท์เลคซิตี้และทำให้เอ็ลเดอร์คิมบัลล์และบราเดอร์ลามาร์ วิลเลียมส์เพื่อนที่แสนดีของผมประหลาดใจ ในที่สุด ฤดูใบไม้ผลิปี 1969 แปดปีหลังจากรับบัพติศมา ผมไปเยือนซอลท์เลคซิตี้และพบกับเอ็ลเดอร์คิมบัลล์ ท่านดีใจและใช้เวลาที่เหลือของวันนั้นกับผม
ขณะอยู่ในซอลท์เลคซิตี้ ผมไปตัดผมที่ร้าน ผมแบ่งปันประจักษ์พยานกับช่างตัดผมที่เป็นผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใส สุภาพบุรุษคนหนึ่งรอคิวตัดผม และบังเอิญได้ยินสิ่งที่ผมพูด เขาบอกผมว่าเขาเดินทางไปอินเดียหลายครั้ง เขาจ่ายค่าตัดผมให้ผม ชวนผมไปรับประทานอาหารเย็น และขับรถพาผมไปมหาวิทยาลัยบริคัม ยังก์ ผมประทับใจมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ผมบอกว่าผมอยากเรียนต่อที่นี่แต่ไม่มีเงิน ชายคนนั้นจ่ายค่าเรียนให้ผม 1,000 เหรียญ ผมประหลาดใจและสำนึกคุณอย่างมาก
ผมเข้าร่วมโปรแกรมงานสังคมที่บีวายยู คริสต์ศักราช 1972 หลังจากเรียนจบบีวายยู ผมย้ายไปอยู่ซอลท์เลคซิตี้เพื่อศึกษาปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยแห่งยูทาห์ ต่อมาผมย้ายไปอยู่แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกาเพื่อเรียนปริญญาเอกสาขาจิตวิทยาคลีนิก สอนหลักสูตรเกี่ยวกับวิธีหยุดความรุนแรงในครอบครัว และเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง เวลานี้ผมเกษียณแล้วและอยู่กับเวนดีภรรยาของผมในรัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา
มีเวลาที่ผมต้องต่อสู้ดิ้นรนด้วยตนเอง ประสบปัญหาท้าทาย และความยากลำบาก แต่การจดจ่อกับพระกิตติคุณและพรของพระวิหารช่วยให้ผมเอาชนะปัญหาท้าทายมากมายของชีวิต
แผนของพระองค์น่าพิศวง
ผมมักจะนึกถึงการเดินทางของผมจากการเป็น “เด็กบ้านป่า” ในเขตชนบทของอินเดียมาอยู่ที่นี่ที่ผมอยู่ในปัจจุบัน ผมรู้ว่าชีวิตและศาสนาของผมเป็นปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง พระเจ้าทรงร้อยเรียงชีวิตผมได้สวยงามกว่าที่ผมคาดไว้ นับเป็นเรื่องวิเศษยิ่งที่มีสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์ศาสดาพยากรณ์ที่ได้รับการเจิมของพระเจ้าสั่งสอนผมและเดินกับผมในช่วงเวลาสำคัญๆ ในการเดินทางของชีวิตผม
ผมมักจะนึกถึงเวลาที่ผมอยู่กับประธานคิมบัลล์ ท่านจะชวนผมไปเที่ยวพักแรม ปิกนิก รับประทานอาหารเย็นวันขอบคุณพระเจ้าและวันคริสต์มาสกับครอบครัวท่าน ผมรู้ตั้งแต่ตอนนั้นว่าท่านเป็นอัครสาวกและศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้าพระเยซูคริสต์จริงๆ
ผมพบประธานคิมบัลล์ครั้งสุดท้ายเมื่อท่านป่วยหนัก แต่ท่านยังยิ้มให้ผมและกอดผม ท่านเป็นแอลดีเอสคนแรกที่ติดต่อผม และผมรู้ว่าท่านจะไม่มีวันปล่อยผมแน่นอน
ผมขอบพระทัยพระผู้เป็นเจ้าสำหรับศาสดาพยากรณ์ของเราและพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟู ศาสนจักรของเราเป็นต้นแบบที่โลกต้องการในปัจจุบัน เพราะศาสนจักรผมจึงได้รับการศึกษาและเติบโต ผมรู้สึกซาบซึ้งใจในวันนั้นที่ผมรู้ว่าการสวดอ้อนวอนเป็นจริงและผมเต็มใจฟังสุรเสียงสงบแผ่วเบาและค้นหาความจริงของศาสนจักร ผมปลาบปลื้มยินดีที่ผมยอมให้พระเจ้าหล่อหลอมชีวิตผม ผมรู้ว่าถ้าเราแสวงหาอาณาจักรของพระองค์ พระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงให้เรา (ดู มัทธิว 6:33)