แยกจากกัน แต่ยังคงเป็นหนึ่งเดียว
ในศาสนจักร แม้ว่าเราจะต่างกัน แต่พระเจ้าทรงคาดหวังให้เราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน!
ในเดือนมิถุนายน 1994 ข้าพเจ้ารีบขับรถกลับบ้านจากที่ทำงานเพื่อดูทีมชาติฟุตบอลของเราแข่งขันบอลโลกในทีวี หลังจากออกเดินทางไม่นาน ข้าพเจ้าเห็นชายคนหนึ่งบนทางเท้าอยู่ไกลๆ กำลังเลื่อนเก้าอี้เข็น ที่ข้าพเจ้าสังเกตว่าตกแต่งด้วยธงชาติบราซิลของเราไปข้างหน้าอย่างเร่งรีบ ข้าพเจ้ารู้เลยว่าเขากำลังจะกลับไปดูการแข่งขันที่บ้านเช่นกัน
เมื่อเราสวนทางและสบตากัน ในเสี้ยววินาทีนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับชายคนนั้นอย่างแรงกล้า เรากำลังไปในทิศทางตรงข้ามกัน เราไม่รู้จักกัน และมีสภาพทางสังคมและร่างกายที่ต่างกันอย่างชัดเจน แต่ความหลงใหลกีฬาฟุตบอลและความรักชาติของเราทำให้เรารู้สึกเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในชั่วขณะนั้น! ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าไม่เห็นชายคนนั้นอีก แต่วันนี้ หลายสิบปีต่อมา ข้าพเจ้ายังมองเห็นดวงตาคู่นั้นและยังรู้สึกถึงสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับชายคนนั้นได้เพราะในที่สุด เราชนะการแข่งขันและครองถ้วยฟุตบอลโลกในปีนั้น!
ในศาสนจักร แม้ว่าเราจะต่างกัน แต่พระเจ้าทรงคาดหวังให้เราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน! พระองค์ตรัสในหลักคำสอนและพันธสัญญาว่า “จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน; และหากเจ้าไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเจ้าก็มิใช่ของเรา”1
เมื่อเราทุกคนเข้าไปที่อาคารประชุมเพื่อนมัสการเป็นกลุ่ม เราควรละทิ้งความแตกต่างของเราอันได้แก่ เชื้อชาติ สถานะทางสังคม ความเห็นต่างทางการเมือง และความสำเร็จในด้านวิชาการและงานอาชีพ เราควรจดจ่ออยู่กับวัตถุประสงค์ทางวิญญาณที่เรามีเหมือนกัน เราร้องเพลงสวดร่วมกัน ไตร่ตรองพันธสัญญาเดียวกันระหว่างศีลระลึก และพูดออกเสียง “เอเมน” พร้อมกันหลังจบคำพูด บทเรียน และคำสวดอ้อนวอน—นี่หมายความว่าเราเห็นพ้องต้องกันกับสิ่งที่มีผู้แบ่งปัน
สิ่งเหล่านี้ที่เราทำเป็นกลุ่มช่วยสร้างความรู้สึกเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างมากในที่ประชุม
แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่กำหนด สิ่งที่ทำให้เป็นปึกแผ่น หรือทำลายความเป็นหนึ่งเดียวกันคือการกระทำของเราเมื่อเราแยกจากสมาชิกศาสนจักรของเรา ดังที่เราทุกคนทราบว่าสุดท้ายแล้วก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้และเป็นเรื่องปกติที่เราจะพูดถึงกัน
โดยขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราเลือกจะพูดถึงกัน ถ้าคำพูดของเราไม่ทำให้เรา “มีใจของ [เรา] ผูกพันกันไว้ในความเป็นหนึ่งเดียว,”2 ดังที่แอลมาสอนคนที่ท่านให้บัพติศมาที่แม่น้ำแห่งมอรมอน สิ่งเหล่านั้นจะกัดกร่อนความรัก ความไว้วางใจ และไมตรีจิตที่ควรมีอยู่ท่ามกลางเรา
มีคำพูดต่างๆ ที่ทำลายความเป็นหนึ่งเดียวกัน เช่น “ใช่ เขาเป็นอธิการที่ดี แต่คุณน่าจะได้เห็นเขาสมัยหนุ่มๆ นะ!”
หากจะพูดให้สร้างสรรค์กว่านี้อาจจะพูดว่า “อธิการเป็นคนดีมาก เขาโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ฉลาดขึ้นมากด้วยตลอดหลายปีมานี้”
บ่อยครั้งเราตราหน้าผู้คนอย่างถาวรด้วยคำพูดทำนองนี้ “เราไปเปลี่ยนความคิดประธานสมาคมสงเคราะห์ของเราไม่ได้หรอก เธอดื้อมาก” ในทางตรงกันข้าม เราอาจพูดว่า “ช่วงนี้ประธานสมาคมสงเคราะห์เข้มงวดไปหน่อยนะ บางทีเธออาจจะกำลังมีปัญหา เราน่าจะช่วยเธอและสนับสนุนเธอนะ!”
พี่น้องทั้งหลาย เราไม่มีสิทธิ์พาดพิงใครแล้วบอกว่าเขาจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป รวมทั้งในแวดวงศาสนจักรของเรา แทนที่จะเป็นเช่นนั้น คำพูดของเราเกี่ยวกับเพื่อนมนุษย์ของเราควรแสดงออกถึงความเชื่อของเราในพระเยซูคริสต์และการชดใช้ของพระองค์และว่าในพระองค์และผ่านทางพระองค์ เราเปลี่ยนเป็นคนที่ดีขึ้นได้เสมอ
บางคนเริ่มวิพากษ์วิจารณ์และแตกแยกจากผู้นำและสมาชิกศาสนจักรในเรื่องเล็กน้อยมาก
เช่นในกรณีของชายคนหนึ่งที่ชื่อไซมอนด์ ไรเดอร์ เขาเป็นสมาชิกศาสนจักรในปี 1831 หลังจากอ่านการเปิดเผยที่เกี่ยวข้องกับเขา เขาขุ่นเคืองที่เห็นว่าผู้นำสะกดนามสกุลของเขาผิด คำว่า ไรเดอร์ ที่ต้องเป็นตัว y แต่กลับเป็นตัว i แทน ปฏิกิริยาที่เขามีต่อเรื่องนี้นำไปสู่ความสงสัยในตัวศาสดาพยากรณ์และท้ายที่สุดนำเขาไปสู่การข่มเหงโจเซฟและตกไปจากศาสนจักร3
มีความเป็นไปได้เช่นกันว่าเราทุกคนเคยถูกผู้นำในศาสนจักรของเราตำหนิ ซึ่งจะเป็นการทดสอบว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพวกเขาเพียงใด
ข้าพเจ้าอายุเพียง 11 ปี แต่จำได้ว่าเมื่อ 44 ปีที่แล้ว อาคารประชุมซึ่งครอบครัวของข้าพเจ้าเข้าโบสถ์มีการปรับปรุงครั้งใหญ่ ก่อนการปรับปรุงนั้นจะเริ่มขึ้น ผู้นำภาคและผู้นำในท้องที่ประชุมหารือกันว่าสมาชิกจะมีส่วนช่วยทำงานนั้นอย่างไร คุณพ่อข้าพเจ้า ซึ่งควบคุมดูแลหน่วยนั้นมาหลายปีได้แสดงความคิดเห็นอย่างหนักแน่นว่าควรให้ผู้รับเหมาทำงานนี้ไม่ใช่มือสมัครเล่น
ความคิดเห็นของท่านไม่เพียงถูกปฏิเสธเท่านั้น แต่เราได้ยินว่าท่านถูกตำหนิอย่างแรงต่อหน้าคนอื่นในขณะนั้น ท่านเป็นผู้ที่อุทิศตนต่อศาสนจักรอย่างมากและเคยเป็นทหารในสงครามโลกครั้งที่สองที่ยุโรปด้วย ท่านเคยชินกับการยืนหยัดและต่อสู้เพื่อสิ่งที่ท่านเชื่อ! มีคนสงสัยว่าท่านจะมีปฏิกิริยาอย่างไรหลังจากเหตุการณ์นี้ ท่านจะยืนกรานกับความคิดเห็นของท่านและยังคงต่อต้านการตัดสินใจที่ทุกคนเห็นชอบแล้วหรือไม่
เราเคยเห็นหลายครอบครัวในวอร์ดของเรากลับอ่อนแอในพระกิตติคุณและเลิกมาการประชุมเนื่องจากพวกเขาไม่สามารถเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับคนที่กำลังนำพวกเขา ตัวข้าพเจ้าเองได้เห็นเพื่อนหลายคนจากปฐมวัยเช่นกันที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อไปเมื่อเป็นเยาวชน เพราะพ่อแม่ของพวกเขาจับผิดคนที่อยู่ในศาสนจักรเสมอ
แต่คุณพ่อข้าพเจ้าตัดสินใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับเพื่อนวิสุทธิชนต่อไป หลายวันต่อมา เมื่อสมาชิกวอร์ดรวมตัวกันไปช่วยงานก่อสร้าง ท่าน “เชื้อเชิญ” ครอบครัวของเราให้ตามท่านไปที่อาคารประชุมเผื่อเราจะช่วยอะไรได้บ้าง
ข้าพเจ้าโกรธมาก ข้าพเจ้ารู้สึกอยากถามท่านว่า “พ่อครับ ทำไมเราจะต้องไปช่วยงานก่อสร้างถ้าพ่อไม่เห็นด้วยกับการให้สมาชิกทำ” แต่สีหน้าของท่านทำให้ข้าพเจ้าไม่อยากพูดเช่นนั้น ข้าพเจ้ายังอยากอยู่เป็นปกติดีเพื่อรอการอุทิศซ้ำโชคดีที่ข้าพเจ้าตัดสินใจปิดปากเงียบ และแค่ไปช่วยงานก่อสร้าง!
คุณพ่อไม่ได้เห็นโบสถ์ใหม่ ท่านถึงแก่กรรมไปก่อนที่งานจะเสร็จสมบูรณ์ แต่เราทุกคนในครอบครัว ซึ่งนำโดยคุณแม่ ยังคงทำส่วนของเราต่อไปจนงานเสร็จ และนั่นทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณพ่อข้าพเจ้า กับสมาชิกศาสนจักร กับผู้นำของเรา และที่สำคัญที่สุดกับพระเจ้า!
ชั่วขณะก่อนที่พระเยซูจะทรงประสบความทุกข์ทรมานแสนสาหัสในเกทเสมนี เมื่อพระองค์กำลังสวดอ้อนวอนพระบิดาให้อัครสาวกของพระองค์และเราทุกคน วิสุทธิชนทั้งหลาย พระองค์ตรัสว่า “เพื่อพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังเช่นพระองค์ผู้เป็นพระบิดาสถิตในข้าพระองค์และข้าพระองค์ในพระองค์”4
พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าเมื่อเราตัดสินใจเป็นหนึ่งเดียวกันกับสมาชิกและผู้นำของศาสนจักร—ทั้งในยามที่เราอยู่ด้วยกัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราแยกจากกัน—เราจะรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์มากขึ้นกับพระบิดาบนสวรรค์และพระผู้ช่วยให้รอดของเราด้วย ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน