เสรีภาพทางศาสนา: เสาหลักของสันติภาพ
ดูบทความเต็มของคำปราศรัยนี้ได้ที่ mormonnewsroom.org
เอ็ลเดอร์คริสทอฟเฟอร์สันกล่าวคำปราศรัยนี้ในการประชุมนานาชาติเรื่องศาสนาซึ่งที่เซาเปาลู บราซิลเมื่อวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 2015
ขอให้เราแสวงหาสันติภาพโดยช่วยกันปกป้องคุ้มครองเสรีภาพของคนทั้งปวงในการนับถือและปฏิบัติศาสนกิจตามการเลือกของตน
ข้าพเจ้ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญให้อยู่กับท่านค่ำนี้ในการประชุมนานาชาติเรื่องศาสนาซึ่งมุสลิม ซิกข์ คาทอลิก แอนเวนทิสต์ ยิว อีวานเจลิคัล มอรมอน ผู้นำทางจิตวิญญาณ ผู้ไม่นับถือศาสนา และอีกมากมายล้วนเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้นำในคณะรัฐบาลและวงการธุรกิจ ร่วมอภิปรายและเฉลิมฉลองเสรีภาพทางศาสนา การประชุมกันของเราในสภาวะแวดล้อมที่เป็นหนึ่งเดียวครั้งนี้เป็นสัญลักษณ์อันทรงพลังในตัวมันเอง
ข้าพเจ้ายินดีอย่างยิ่งที่ได้อยู่ที่นี่ในบราซิล ประเทศที่ร่ำรวยด้วยวัฒนธรรมและผู้คนหลากหลาย บราซิลรุ่งเรืองและจะรุ่งเรืองต่อไปเพราะน้อมรับความหลากหลาย รวมไปถึงความหลากหลายทางศาสนา เมื่อเร็วๆ นี้บราซิลได้รับยกย่องว่าเป็นประเทศที่รัฐบาลมีข้อจำกัดน้อยที่สุดในเรื่องศาสนา1 ข้าพเจ้าขอแสดงความยินดีกับบราซิลสำหรับความแตกต่างที่ชัดเจนในเรื่องนี้ เวลานี้บราซิลจึงมีหน้าที่นำการเคลื่อนไหวระดับโลกเพื่อส่งเสริมเสรีภาพดังกล่าว ดังที่พระเยซูคริสต์ตรัสไว้ในพันธสัญญาใหม่
“ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นคร [หรือในกรณีนี้คือประชาชาติ] ซึ่งอยู่บนภูเขาจะถูกปิดบังไว้ไม่ได้ …
“พวกท่านจงส่องสว่างแก่คนทั้งปวงเพื่อว่าเมื่อเขาทั้งหลายได้เห็นความดีที่ท่านทำ พวกเขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์” (มัทธิว 5:14, 16)
มิตรสหายที่น่านับถือทั้งหลาย โลกต้องการให้แสงของบราซิลส่องสว่างนานๆ คืนนี้เราเฉลิมฉลองสิ่งที่จะเกิดจากวิสัยทัศน์เช่นนั้น
ภูมิหลังและหลักธรรมพื้นฐาน
เสรีภาพทางศาสนาเป็นเสาหลักของสันติภาพในโลกที่มีปรัชญาชิงดีชิงเด่นกันมากมาย ให้พื้นที่เราทุกคนกำหนดสิ่งที่เราคิดและเชื่อด้วยตัวเราเอง—ทำตามความจริงที่พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับใจเรา อีกทั้งยอมให้ความเชื่อต่างกันอยู่ร่วมกัน คุ้มครองผู้อ่อนแอ และช่วยเราจัดการแก้ไขความขัดแย้งของเรา ด้วยเหตุนี้ ตามที่ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปตัดสินไว้อย่างหลักแหลมในหลายคดี เสรีภาพทางศาสนาจึงสำคัญยิ่งต่อผู้นับถือศาสนาและ “เป็นสินทรัพย์มีค่าเช่นกันสำหรับผู้เชื่อว่าไม่มีพระเจ้า ผู้ไม่นับถือศาสนา คนช่างสงสัย และคนไม่สนใจศาสนา” ทั้งหมดนี้เพราะ “พหุนิยมที่แยกจากสังคมประชาธิปไตยไม่ได้ ซึ่งประชาชนพยายามอยู่หลายศตวรรษเพื่อให้ได้มายังต้องพึ่งเสรีภาพนั้น”2
เสรีภาพที่เฟื่องฟูไม่เพียงเป็นสิ่งที่นักปรัชญาทางการเมืองพูดถึงเสมือนเป็นเสรีภาพ “เชิงลบ” ที่ต้องไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเท่านั้น แม้จะสำคัญเพียงใดก็ตาม หากแต่เป็นเสรีภาพ “เชิงบวก” ที่มีค่ากว่ามาก—เสรีภาพในการดำเนินชีวิตตามศาสนาหรือความเชื่อของคนๆ นั้นในสภาพแวดล้อมทางกฎหมาย การเมือง และสังคมที่เปิดกว้าง น่านับถือ และรองรับความเชื่อหลากหลาย
เราใช้เสรีภาพในศาสนาและความเชื่อของเราสร้างความเชื่อมั่นของเรา ซึ่งหากปราศจากเสรีภาพดังกล่าวสิทธิมนุษยชนในด้านอื่นทั้งหมดจะไร้ความหมาย เราจะอ้างเสรีภาพในการพูดได้อย่างไรหากไม่สามารถพูดสิ่งที่เราเชื่อจริงๆ ได้ เราจะอ้างเสรีภาพในการชุมนุมได้อย่างไรหากเราไม่สามารถชุมนุมกับผู้มีอุดมการณ์เหมือนเรา เราจะพอใจกับเสรีภาพในการพิมพ์ได้อย่างไรหากเราไม่สามารถตีพิมพ์หรือประกาศต่อสาธารณชนได้ว่าจริงๆ แล้วเราเป็นใคร
ข่าวดีคือมีความก้าวหน้าอย่างเด่นชัดในการกระจายเสรีภาพทางศาสนา ข้าพเจ้าเคยเห็นความก้าวหน้านี้ในช่วงชีวิตของข้าพเจ้าเอง ตัวอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในปี 1948 เมื่อข้าพเจ้าอายุเพียงสามขวบ สมัชชาสหประชาชาติลงมติยอมรับปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ซึ่งเรียกร้องให้ “ทุกคน [มี] สิทธิ์ได้รับเสรีภาพในด้านความคิด มโนธรรม และศาสนา”3
เมื่อข้าพเจ้าอายุ 21 ปี มีการเจรจาเรื่องสนธิสัญญาฉบับหนึ่งเพื่อทำให้ประกาศของสหประชาชาติมีผลผูกมัด สนธิสัญญาดังกล่าว—เรียกว่ากติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง—เสริมความคิดที่ว่าแต่ละบุคคลควรมี “เสรีภาพในการยอมรับนับถือศาสนาหรือความเชื่อตามการเลือกของตน เสรีภาพทั้งรายบุคคลหรือในชุมชนกับผู้อื่นและในที่สาธารณะหรือที่ส่วนตัว ในการปฏิบัติตามศาสนาหรือความเชื่อของตนในการนมัสการ การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา การทำตามหลักศาสนา และการสอน”4 สนธิสัญญาดังกล่าวมีผลบังคับใช้ในอีก 10 ปีต่อมาคือปี 1976
จนถึงปี 2017 มี 169 ประเทศเข้าร่วมสนธิสัญญา—เกือบจะทุกประเทศที่พัฒนาแล้วในโลก5 อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งอเมริกา (ข้อสัญญาเรื่องซานโฮเซ คอสตาริกา) ซึ่งลงมติยอมรับในปี 1969 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 1978 จะคุ้มครองเสรีภาพทางศาสนาในภาษาเดียวกัน6
เหตุผลที่เชื่อถือได้หลายข้อสนับสนุนความก้าวหน้าในเรื่องนี้และควรกระตุ้นให้เราสนับสนุนมากขึ้นเช่นกัน เสรีภาพทางศาสนาเชื่อมสัมพันธ์เหนียวแน่นกับเศรษฐกิจ สาธารณสุข และประโยชน์ของพลเมือง7 โดยทั่วไป บุคคลที่เคร่งศาสนามีชีวิตครอบครัวดีกว่า ชีวิตสมรสมั่นคง การใช้สารเสพติดและอาชญากรรมน้อยกว่า ระดับการศึกษาสูงกว่า เต็มใจทำงานอาสาและบริจาคเพื่อการกุศลมากกว่า นิสัยการทำงานดีกว่า ชีวิตยืนยาวกว่า สุขภาพดีกว่า รายได้มากกว่า ระดับความเป็นอยู่และความสุขสูงกว่า8 เห็นชัดว่าเสรีภาพทางศาสนาและการปฏิบัติของศาสนาทำให้สังคมเป็นปึกแผ่นมากขึ้น
ต้องมีความระแวดระวังและความร่วมมือ
น่าเสียดายที่ระบบการคุ้มครองเสรีภาพทางศาสนาและความเชื่อมักจะอ่อนแอ ไม่ได้รับความเอาใจใส่ และถูกโจมตี แรงกดดันมากมายพยายามเหนี่ยวรั้งเสรีภาพทางศาสนาแม้ในขณะที่เสรีภาพนั้นแผ่ขยาย—รวมทั้งในประเทศที่คุ้มครองเสรีภาพดังกล่าวอย่างแข็งขันที่สุดมาเนิ่นนาน แรงกดดันเหล่านี้มีอิทธิพลเหนือกว่าหรือกำลังได้ที่มั่นในหลายประเทศ ชาวโลกส่วนใหญ่ไม่คิดว่าพวกเขาจะพบงานเฉลิมฉลองแบบที่เราชื่นชอบที่นี่ในบราซิล
น่าแปลกที่ในปี 2013 ประชาชนประมาณ 5.5 พันล้านคน—77 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก—อาศัยอยู่ในประเทศที่มีข้อจำกัดสูงหรือสูงมากในเรื่องเสรีภาพทางศาสนา ขึ้นมาจาก 68 เปอร์เซ็นต์เมื่อหกปีก่อน9
ประชาธิปไตยตะวันตกเกือบทั้งหมดอ้างว่าเชื่อในหลักเสรีภาพทางศาสนา การนำหลักดังกล่าวมาใช้สามารถทำให้เกิดการโต้เถียงอย่างรุนแรงได้ การคุกคามเสรีภาพทางศาสนาเกิดขึ้นเมื่อคนเคร่งศาสนาและสถาบันศาสนาพยายามพูดหรือทำบางสิ่ง—หรือปฏิเสธที่จะพูดหรือทำบางสิ่ง—ขัดกับปรัญชาหรือเป้าหมายของผู้มีอำนาจ รวมทั้งเสียงข้างมากทางการเมือง ศาสนามักสวนกระแสวัฒนธรรมและด้วยเหตุนี้จึงไม่เป็นที่นิยมชมชอบ เพราะเหตุนี้ เสรีภาพทางศาสนาจึงมักจะถูกคัดค้านในทางปฏิบัติ แม้ที่นั่นจะสนับสนุนในหลักการก็ตาม
ในยุโรปและอเมริกาเหนือมีการโต้เถียงอย่างรุนแรงในหลายประเด็น อาทิ นิกายต่างๆ จะตัดสินใจได้อย่างไรว่าจะจ้างใคร (หรือไม่จ้างใคร) เป็นบาทหลวงของพวกเขา แต่ละบุคคลสามารถสวมชุดนักบวชหรือติดสัญลักษณ์บนชิ้นงานหรือที่โรงเรียนได้หรือไม่ นายจ้างต้องจ่ายค่าคุมกำเนิดและค่าทำแท้งให้ลูกจ้างหรือไม่ บุคคลจะจำใจให้บริการที่ขัดกับความเชื่อของตนได้ไหม จะปฏิเสธหรือเพิกถอนการรับรองคุณภาพมหาวิทยาลัยหรือการแต่งตั้งอาจารย์เพราะมาตรฐานทางศีลธรรมหรือความเชื่อได้หรือไม่ และจะเรียกร้องให้องค์กรนักศึกษาศาสนายอมรับนักศึกษาที่มีความเชื่อขัดกันได้หรือไม่
ประเทศที่มีความหลากหลายทางศาสนาอย่างบราซิลประสบปัญหาทำนองเดียวกัน อาทิ การปิดธุรกิจวันอาทิตย์ การสวมชุดนักบวช และการคุ้มครองประเพณีของคนผิวดำที่อาศัยอยู่ในบราซิล เราสำนึกคุณที่เสรีภาพทางศาสนาเอื้อประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหามากมายเหล่านี้ การแก้ปัญหาอย่างถูกต้องเหมาะสมทันท่วงทีในเรื่องการปฏิบัติตามความเชื่อทางศาสนาโดยเสรีจะมีค่าเหลือล้นต่อการเคารพความหลากหลายของบราซิลอย่างต่อเนื่อง การที่บราซิลยอมให้คนเคร่งศาสนาและองค์กรศาสนาดำเนินชีวิตตามความเชื่อของตนอย่างเปิดเผยโดยไม่มีการว่ากล่าวกันส่งผลให้บราซิลยังคงเป็นแบบอย่างที่โชติช่วงและเปี่ยมด้วยหวังต่อโลกในเรื่องเสรีภาพทางศาสนา
ข้าพเจ้ากระตุ้นให้ท่านยึดมั่นเสรีภาพที่ท่านหล่อหลอมไว้ที่บ้าน และกล้าเป็นผู้นำในการส่งเสริมเสรีภาพทางศาสนาบนเวทีโลก การปกป้องคุ้มครองเสรีภาพทางศาสนา—อย่างถูกทำนองคลองธรรมและสมดุลซึ่งจะคุ้มครองสิทธิพื้นฐานของผู้อื่นด้วย—คือความจำเป็นเร่งด่วน
ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายยินดีสนับสนุนท่านและคนอื่นๆ ในการพยายามทำงานอันสำคัญยิ่งนี้ ถึงแม้เราจะมองในแง่ดีว่าความพยายามของเราจะสร้างความแตกต่าง แต่เราต้องทำความพยายามเหล่านี้ร่วมกัน เพราะไม่มีใครในพวกเราชนะการต่อสู้ครั้งนี้เพียงลำพังได้ ข้าพเจ้ากล่าวย้ำสิ่งที่เพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้า เอ็ลเดอร์ดัลลิน เอช. โอ๊คส์ แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองกล่าวเมื่อเร็วๆ นี้ในการประชุมอภิปรายคล้ายกับครั้งนี้ว่า
“พวกเราที่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้าและในความจริงแท้แน่นอนของความถูกผิดจำเป็นต้องสามัคคีกันมากขึ้นเพื่อคุ้มครองเสรีภาพทางศาสนาของเราในการสั่งสอนและปฏิบัติศรัทธาเราในพระผู้เป็นเจ้าและหลักธรรมของความถูกผิดที่พระองค์ทรงสถาปนาไว้ … ข้าพเจ้ากำลังบอกว่าทั้งหมดที่จำเป็นต่อความสามัคคีและความร่วมมือกันคือความเชื่อเหมือนกันว่ามีความถูกผิดในพฤติกรรมมนุษย์ที่พระผู้สูงสุดทรงสถาปนาไว้ ทุกคนที่เชื่อใน [หลักธรรม] พื้นฐานดังกล่าวควรสามัคคีกันมากขึ้นเพื่อปกป้องและเสริมสร้างเสรีภาพในการสนับสนุนและการปฏิบัติตามความเชื่อทางศาสนาของเราไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เราต้องเดินไปด้วยกันบนเส้นทางเดียวกันเพื่อคุ้มกันเสรีภาพของเราในการดำเนินตามวิธีของเราเมื่อถึงคราวจำเป็นตามความเชื่อของเราเอง”10
ภาระหน้าที่ของเราจะยากและเรียกร้องให้ระแวดระวังตลอดเวลา แต่มีความสำคัญสูงสุด
ข้าพเจ้าทิ้งท้ายด้วยข้อความจากพระคัมภีร์หลักคำสอนและพันธสัญญา ข้อความนี้ได้รับการเปิดเผยในปี 1835 ณ เวลาที่แม้จะมีความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแต่บรรพบุรุษของเราก็ยังถูกขับไล่ออกจากบ้านเพราะน้อมรับสิ่งที่ดูเหมือนเป็นความเชื่อใหม่และแตกต่างจากผู้อื่น ข้อความนี้จึงเป็นเครื่องเตือนใจในยุคสมัยของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข้อจำกัดมากมายของปัจจุบันในเรื่องเสรีภาพทางศาสนาเข้ามาในประเทศที่สนับสนุนหลักธรรมแต่บางครั้งไม่นำมาปฏิบัติ
พระคัมภีร์กล่าวว่า “ไม่มีการปกครองใดจะดำรงอยู่ได้อย่างสันติสุข, เว้นแต่จะร่างกฎหมายเช่นนั้นขึ้นและธำรงไว้มิให้ถูกล่วงละเมิดในอันที่จะให้ความเชื่อมั่นแก่ปัจเจกบุคคลถึงการใช้มโนธรรมอย่างเสรี” ฝ่ายปกครองอาจ “หยุดยั้งอาชญากรรม, แต่ไม่บังคับมโนธรรม; [พวกเขา] ควรลงโทษที่ความผิด, แต่ไม่กดขี่เสรีภาพของจิตวิญญาณ” (คพ. 134:2, 4)
ขอให้เราแสวงหาสันติภาพโดยช่วยกันปกป้องคุ้มครองเสรีภาพของคนทั้งปวงในการยึดมั่นและแสดงออกตามการเลือกทางศาสนาหรือการเลือก ไม่ว่ารายบุคคลหรือในชุมชนกับผู้อื่น ที่บ้านหรือต่างแดน ในที่สาธารณะหรือที่ส่วนตัว และในการนมัสการ การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา การทำตามหลักศาสนา และการสอน