2018
ครอบครัว: แหล่งกำเนิดความสุข
March 2018


ครอบครัว: แหล่งกำเนิดความสุข

จากคำปราศรัยให้ข้อคิดทางวิญญาณเรื่อง “ท่านวาดหวังอะไรในชีวิต” ที่มหาวิทยาลัยบริคัม ยังก์วันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 2014 ดูบทความเต็มเป็นภาษาอังกฤษได้ที่ speeches.byu.edu

ไตร่ตรองหลักคำสอนเรื่องครอบครัวนิรันดร์ และรู้ด้วยตัวท่านเองว่าอะไรสำคัญที่สุดจริงๆ

family at dinner table

แนวคิดเรื่องครอบครัวและชีวิตครอบครัวอันเป็นแหล่งที่มาแท้จริงของความสุขเสื่อมลงอย่างมากในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ครอบครัวตามจารีตถูกโจมตีจากหลายแหล่งทั่วโลก (ในหน้า 18 ของฉบับนี้ เอ็ลเดอร์เควนทิน แอล. คุกพูดถึงการโจมตีบางอย่างเหล่านั้น) แต่มีหลุมพรางและความเสี่ยงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องแม้กับพวกเราบางคนผู้รู้เรื่องความสำคัญ ความศักดิ์สิทธิ์ และจุดหมายนิรันดร์ของครอบครัว

โดยได้รับอิทธิพลจากโลกและสิ่งล่อใจของโลก ความมุ่งมาดปรารถนาให้ตนเองประสบความสำเร็จมากขึ้น และแนวโน้มที่ชอบสบายหรือทำอะไรง่ายๆ ส่งผลให้เรานำครอบครัวและความสุขของเรามาอยู่ภายใต้แรงกดดัน บ่อยเหลือเกินที่ความสุขในชีวิตเราถูกกำหนดด้วยคุณภาพของ “หีบห่อไร้กังวลรอบด้าน” ซึ่งเราหวังจะได้มาและเก็บไว้ในรูปแบบ “ลงทุนต่ำ ผลตอบแทนสูง”

แต่ชีวิตไม่ได้เป็นแบบนี้ พระองค์ไม่ทรงมุ่งหมายให้ชีวิตง่าย พระเจ้าตรัสผ่านศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธว่า “เพราะหลังจากความยากลำบากมากมายจึงบังเกิดพร ดังนั้น จึงมีวันที่เราจะสวมมงกุฎเจ้าด้วยรัศมีภาพยิ่ง” (คพ. 58:4)

ได้รับแต่งตั้งจากพระผู้เป็นเจ้า

พระเจ้าทรงเปิดเผยวิธีพัฒนาและรักษาครอบครัวให้เข้มแข็งไว้อย่างชัดเจน เราทุกคนได้รับการเชื้อเชิญให้ศึกษาและประยุกต์ใช้หลักธรรมที่อธิบายไว้ใน “ครอบครัว: ถ้อยแถลงต่อโลก” นอกจากนี้เราต้องยอมรับว่าการได้ความเข้มแข็งส่วนตัวและความสุขจากชีวิตครอบครัวเรียกร้องการเสียสละและศรัทธา

ถ้อยแถลงเรื่องครอบครัวกล่าวว่า “การแต่งงานระหว่างชายและหญิงได้รับแต่งตั้งจากพระผู้เป็นเจ้าและว่าครอบครัวเป็นศูนย์กลางต่อแผนของพระผู้สร้างเพื่อจุดหมายปลายทางนิรันดร์ของบุตรธิดาของพระองค์” ทั้งยังกล่าวอีก “ว่าพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าที่ให้บุตรธิดาของพระองค์ขยายเผ่าพันธุ์และเพิ่มพูนให้เต็มแผ่นดินโลกยังมีผลบังคับ”1

สำหรับคนจำนวนมาก ภาพลักษณ์และจุดประสงค์ของครอบครัวเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว สังคมกำลังเลือกใช้การแต่งงานแบบที่เรียกขานกันว่า “เนื้อคู่” มากขึ้นซึ่งมุ่งเน้นความต้องการและความรู้สึกของผู้ใหญ่ไม่ใช่ของเด็ก ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงแต่งงานตามความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องยาวนานแทนที่จะเดินหน้าตามการผูกสมัครรักใคร่ที่เหมาะสม การหาคู่ที่เข้ากันได้ดี การทดสอบความสัมพันธ์ด้วยการอยู่กินโดยไม่แต่งงาน หรือการมีวิถีชีวิตหรูหราฟุ้งเฟ้อซึ่งจะมีการจดสินทรัพย์ก่อนสมรสเป็นหลักประกันกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติทั่วไปในหมู่คนมากมายก่อนตัดสินใจแต่งงานในท้ายที่สุด

พระคัมภีร์และศาสดาพยากรณ์ยุคสุดท้ายสอนเราอีกแบบ เราสร้างชีวิตสมรสของเราบนรากฐานของความบริสุทธิ์ทางเพศและความภักดี ด้วยเจตนาจะสร้างและเลี้ยงดูครอบครัว ประธานสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์ (1895–1985) สอนว่า “มีคนมากมายพูดและเขียนต่อต้านการแต่งงาน แม้แต่พวกเราบางคนก็เลื่อนการแต่งงานและคัดค้านเรื่องการแต่งงาน … เราขอให้ทุกคนยอมรับว่าการแต่งงาน [ตามจารีต] เป็นพื้นฐานของความสุขที่แท้จริง … ตามหลักแล้วการแต่งงานอาจเป็นการสร้างครอบครัว”2

เมื่อข้าพเจ้ากับคริสเตียนาภรรยาอายุยังน้อย เราวางใจและทำตามคำแนะนำของศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่ เราคุกเข่าอยู่คนละด้านที่แท่นแต่งงานของพระวิหารเบิร์น สวิตเซอร์แลนด์ ตอนนั้นเราอายุ 20 และ 22 ปีตามลำดับ เรามีค่าควรรับพันธสัญญา เราไม่ได้คาดหวังสิ่งใด เราไม่มีประสบการณ์การทำงานหรือยังเรียนไม่จบ และเรายากจนมาก

ทั้งหมดที่เรามีมากมายคือความรักที่เรามีให้กันและความกระตือรือร้นอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่เราเริ่มสร้างโลกของเราด้วยกัน เราไม่เลื่อนการมีบุตร และเราต้องสนับสนุนกันจนกว่าจะเรียนจบ เราเชื่ออย่างแรงกล้าในสัญญาของพระเจ้าว่า “หากท่านรักษาพระบัญญัติของพระองค์ พระองค์ย่อมประทานพรให้ท่านและทรงทำให้ท่านรุ่งเรือง” (โมไซยาห์ 2:22)

และพระองค์ทรงทำเช่นนั้น เมื่อเราแต่งงาน คริสเตียนาเรียนพยาบาล วิสัยทัศน์ของเรารวมถึงการให้เธอจบปริญญา แต่ขณะเดียวกันก็ตัดสินใจว่าเราจะเริ่มสร้างฝันของการมีครอบครัวให้เป็นจริง ด้วยเหตุนี้ ลูกคนแรกของเราจึงเกิดสองอาทิตย์ก่อนคริสเตียนาสอบไล่ได้เป็นพยาบาลวิชาชีพ

เวลานี้ ราว 40 ปีให้หลัง เรารู้สึกปลื้มปีติที่เราได้สร้างครอบครัวด้วยกัน ศรัทธาที่เรามีต่อพระผู้เป็นเจ้าและสัมพันธภาพที่มีต่อกันไม่สั่นคลอนเมื่อเราเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้านำทางเราผ่านกระบวนการสร้างอาณาจักรของเราในความเป็นมรรตัย อาณาจักรนี้จะเติบโตต่อเนื่องไปชั่วกาลนาน

จงเต็มใจเสียสลละ

family walking

สำหรับวิสัยทัศน์เรื่องความสุขของเรา เราทั้งคู่พร้อมและเต็มใจเสียสละ เรายอมรับบทบาทที่พระองค์ทรงกำหนดให้บิดา “นำ” และ “จัดหา” และให้มารดา “เลี้ยงดูบุตรธิดา”3 จูลี บี. เบค อดีตประธานสมาคมสงเคราะห์สามัญกล่าวว่า “บทบาทฐานะปุโรหิตของบิดาคือควบคุมและส่งผ่านศาสนพิธีฐานะปุโรหิตให้คนรุ่นต่อไป บทบาทฐานะปุโรหิตของมารดาคือมีอิทธิพลจูงใจ ทั้งหมดนี้เป็นความรับผิดชอบที่จำเป็น เสริมกัน และเกื้อกูลกัน”4

การช่วยเหลือกันในชีวิตสมรสและครอบครัวในฐานะหุ้นส่วนเท่ากันไม่ได้หมายความว่าเราทำสิ่งเดียวกันเสมอหรือทำทุกอย่างด้วยกันหรือแบ่งทำเท่าๆ กัน เราเข้าใจและยอมรับบทบาทต่างกันตามที่ทรงกำหนดไว้ในถ้อยแถลงเรื่องครอบครัว เราไม่ทำตามสิ่งที่ชาวโลกเรียกกันว่า “ความเป็นอิสระ” ซึ่งทั้งสามีและภรรยาอยู่เพียงเพื่อประโยชน์ส่วนตน เราดำเนินชีวิตตามหลักธรรมของพระกิตติคุณ สามีภรรยาเติมเต็มให้กัน และครอบครัวพยายามบรรลุความเป็นหนึ่งเดียวและความไม่เห็นแก่ตัว

พวกท่านบางคนอาจพูดว่า “สถานการณ์ของเราไม่เหมือนของคุณ โลกทุกวันนี้ไม่สมบูรณ์แบบ จะต้องมีช่องให้ยกเว้นบ้าง” จริง แต่ข้าพเจ้ากำลังพยายามสอนกฎเกณฑ์หรืออุดมการณ์อันสูงส่งและให้ท่านจัดการกับข้อยกเว้นขณะท่านเดินตามวิถีแห่งชีวิต

ในวิสัยทัศน์ที่เรามีต่อครอบครัวเรา เราต้องการให้คริสเตียนาอยู่บ้านเลี้ยงลูก นี่หมายถึงการเสียสละ ไม่นานหลังจากทราบว่าเราจะมีลูก คริสเตียนาเตือนข้าพเจ้าเรื่องการตัดสินใจร่วมกันก่อนวันแต่งงานว่าเธอจะหยุดทำงานนอกบ้านทันทีที่ลูกเกิด ข้าพเจ้าพยายามหลบเลี่ยงสิ่งที่รู้ว่าจะเพิ่มภาระรับผิดชอบให้ตนโดยบอกว่าเธอกำลังหารายได้หนึ่งในสามให้ครอบครัว เธอตอบเพียงว่า “ดิฉันจะดูแลลูก และคุณดูแลเรื่องอาหารบนโต๊ะ”

ข้าพเจ้ารู้ว่าเธอพูดถูก เราคุยกันเรื่องนี้นานแล้ว สิ่งนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเราเรื่องชีวิตครอบครัว สอดคล้องกับถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิต และรู้สึกว่าถูกต้อง เธอจึงทิ้งอาชีพพยาบาลรายได้ดีมาอยู่ใกล้ชิดลูกและดูแลความต้องการประจำวันของพวกเขา ส่วนข้าพเจ้าต้องทำหน้าที่จัดหาอาหารและที่พัก พระเจ้าทรงอวยพรให้เราสามารถทำวิสัยทัศน์ด้านนี้ของเราให้เป็นจริง

เรื่องสำคัญอื่นๆ เช่น การเป็นพ่อแม่ การสอน การให้คำปรึกษา การทำความสะอาด หรือแม้แต่การเปลี่ยนผ้าอ้อม เราทำด้วยกันบ่อยครั้งเท่าที่สภาวการณ์เอื้ออำนวย งานส่วนนี้เกิดขึ้นเพราะนั่นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตครอบครัวที่เราวาดหวังไว้

คริสเตียนากับข้าพเจ้าพบว่าเมื่อเราปฏิบัติด้วยศรัทธาและวางใจพระเจ้า พระองค์ทรงช่วยให้เราทำตามพระประสงค์ของพระองค์ในวิธีของพระองค์และตามจังหวะเวลาของพระองค์ ข้าพเจ้าต้องพูดว่าวิธีของพระองค์ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างออกมาแบบที่เราคิดทันที บางครั้งเราต้องอดทน บางครั้งเราต้องพยายามมากขึ้น และบางครั้งดูเหมือนว่าพระเจ้าทรงกำลังทดสอบความจริงจังของเรา อย่างไรก็ดี วิสัยทัศน์ของเราเป็นแรงใจให้เราเสมอและเป็นรากฐานการตัดสินใจในเรื่องสำคัญที่สุดของเรา

สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้ากับคริสเตียนาวาดหวังไว้เสมอคือได้อยู่กับลูกๆ ในห้องซีเลสเชียลของพระวิหารอันเป็นจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่ปีติและรัศมีภาพนิรันดร์ซึ่งเราหวังว่าจะประสบในวันหน้า ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเราพาลูกคนแล้วคนเล่าไปรับศาสนพิธีพระวิหาร อันเป็นสัญลักษณ์ของการพาพวกเขากลับไปหาพระบิดาบนสวรรค์หลังจากสอนหลักธรรมแห่งความชอบธรรมให้พวกเขา เราอยู่กับลูกสามคนที่แท่นพระวิหารเมื่อพวกเขาแต่งงานกับคนรัก และเราคาดว่าจะมีการแต่งงานในพระวิหารอีก

ไม่มีสิ่งใดให้ความสุขและความพอใจในชีวิตเรามากไปกว่าปีติที่เราพบในกันและในลูกหลานของเรา เมื่อเราเข้าใจว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความก้าวหน้านิรันดร์ของเราและด้วยเหตุนี้จึงเป็นเพียงปีติและความสุขลำดับต้นๆ ของเรา เราจึง—เต็มใจเสียสละทั้งหมดที่เรามีเพื่อดำเนินชีวิตตามหลักคำสอนเรื่องครอบครัวและเห็นวิสัยทัศน์ของเราเป็นจริงโดยครบถ้วน

ข้าพเจ้าเชื้อเชิญให้ท่านไตร่ตรองหลักคำสอนนี้และรู้ด้วยตนเองว่าอะไรสำคัญที่สุดจริงๆ ความสุขแบบนี้เป็นหัวใจของการดำรงอยู่ของเรา และความสุขที่เกิดจากความสัมพันธ์ฉันมิตรท่ามกลางสามี ภรรยา และบุตรธิดาจะเพิ่มขึ้นเสมอ

ปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ของท่าน

family on the swings

หลังจากท่านศึกษาหลักคำสอนเรื่องครอบครัวและกำหนดวิสัยทัศน์สำหรับความสุขของท่านแล้ว ท่านต้องจริงจังกับการปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ของท่าน

การปฏิเสธช่วงแรกๆ ที่ข้าพเจ้าได้รับในการผูกสมัครรักใคร่กับคริสเตียนาทำให้ข้าพเจ้าท้อใจอยู่บ้าง ข้าพเจ้าเพิ่งตัดสินใจเริ่มอาชีพที่มีรายได้ดีแบบหนุ่มโสดในศาสนจักร แต่วันหนึ่งข้าพเจ้ามีความประทับใจพิเศษทางวิญญาณ ข้าพเจ้าเข้าร่วมศาสนพิธีหนึ่งในพระวิหารสวิสเมื่อได้ยินเสียงในใจบอกบางอย่างทำนองนี้ “เอริค ถ้าเจ้าไม่พยายามแต่งงานและเข้าสู่พันธสัญญาใหม่และเป็นนิจอย่างจริงจัง คำสอนทั้งหมดนี้และพรที่สัญญาไว้จะไม่มีผลใดๆ ต่อเจ้าเลย” นั่นเป็นเสียงปลุกที่ข้าพเจ้าได้รับเมื่ออายุ 21 ปี และนับจากวินาทีนั้นข้าพเจ้าพยายามมีค่าควรต่อพรนั้นมากขึ้น

ข้าพเจ้าเชื้อเชิญให้ท่านตั้งเป้าหมายส่วนตัวเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ของท่าน ใน สั่งสอนกิตติคุณของเรา เราอ่านว่า “เป้าหมายสะท้อนความปรารถนาของใจเราและวิสัยทัศน์ของเราเกี่ยวกับสิ่งที่เราจะทำให้สำเร็จ เป้าหมายและแผนจะเปลี่ยนความหวังของเราให้เป็นการกระทำ การตั้งเป้าหมายและวางแผนคือการกระทำที่เกิดจากศรัทธา”5

อย่าล้อเล่นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อท่านถึงวัยที่แต่งงานได้ อย่าออกเดทเพื่อสนุกเท่านั้น อย่าทิ้งสิทธิกำเนิดนิรันดร์ของท่านโดยทำสิ่งที่จะทำให้ท่านหมดสิทธิ์ทำพันธสัญญาสำคัญที่สุดในพระวิหาร เมื่อท่านปฏิบัติต่อคู่เดททุกคนเสมือนคนนั้นอาจจะได้เป็นคู่นิรันดร์ของท่าน ท่านจะไม่ทำสิ่งไม่เหมาะสมซึ่งจะเป็นภัยทางกายหรือทางวิญญาณต่อคู่เดทของท่านหรือย่อหย่อนความมีความค่าควรของท่านและทำให้วิสัยทัศน์ของท่านมัวหมอง เมื่อท่านดำรงตนมีค่าควร การรับรู้ทางวิญญาณของท่านจะไม่เลือนราง และท่านจะมีสิทธิ์ได้รับเสียงกระซิบของพระวิญญาณเสมอ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงกระตุ้นท่านและยืนยันความถูกต้องของการตัดสินใจในเรื่องสำคัญที่สุดเหล่านี้ในชีวิตท่าน แม้บางครั้งท่านอาจจะกลัวแทบตาย

จงชี้แจงต่อพระเจ้าเกี่ยวกับวิสัยทัศน์และเป้าหมายในชีวิตท่าน ถ้ามีสิ่งใดที่ท่านต้องกลับใจ อย่าลังเลแม้แต่วินาทีเดียวที่จะกลับใจ ทั้งชีวิตนี้และชีวิตนิรันดร์สำคัญเกินกว่าจะ “ผัดวันแห่งการกลับใจของท่าน” (แอลมา 13:27; 34:33) จงทำตามคำเชื้อเชิญของศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้าผู้กระตุ้นให้เรา “ทูลขอพระบิดาในพระนามของพระเยซูเพื่อสิ่งใดก็ตามที่ท่านขัดสน อย่าสงสัย, แต่จงเชื่อ, และเริ่มต้นดังในสมัยโบราณ, และมาหาพระเจ้าด้วยสุดใจท่าน, และทำให้ความรอดเกิดขึ้นสำหรับตัวท่านเองด้วยความเกรงกลัวและตัวสั่นต่อพระพักตร์พระองค์” (มอรมอน 9:27)

ข้าพเจ้าทราบดีว่าบางท่านอาจต้องปรับวิสัยทัศน์เรื่องครอบครัวให้เหมาะกับสถานการณ์ส่วนตัวของท่าน แต่ข้าพเจ้าเรียนรู้ว่าพระเจ้าจะทรงช่วยเราเมื่อเราปฏิบัติด้วยศรัทธาและทำตามอุดมการณ์นั้นสุดความสามารถ

หลักธรรมของการทำให้จบ

พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์มีองค์ประกอบที่ทำให้ปลื้มปีติมากที่สุด องค์ประกอบนั้นคือการ ทำให้จบ หรือการทำให้ศรัทธาของเราในพระเจ้าพระเยซูคริสต์ สมบูรณ์ โมโรไนเตือนให้เราอยู่บนทางที่ถูกต้องเสมอ “วางใจแต่ในคุณความดีของพระคริสต์, ซึ่งเป็นพระผู้ทรงลิขิตและพระผู้ทรงประสิทธิ์ศรัทธาของ [พวกเรา]” (โมโรไน 6:4)

เพราะศรัทธาของเราในพระเยซูคริสต์ เราจึงสามารถเดินตามวิถีในชีวิตที่เราพึงดำเนิน แต่ถ้าเราสะดุดเพราะความอ่อนแอหรือโอกาสที่พลาดไป พระองค์จะทรงเอื้อมพระหัตถ์ให้เรา ทรงเติมช่องว่าง และทรงเป็นพระผู้ประสิทธิ์ศรัทธาของเรา พระองค์ตรัสว่า “เพราะเรา, พระเจ้า, จะพิพากษามนุษย์ทั้งปวงตามงานของพวกเขา, ตามความปรารถนาของใจพวกเขา” (คพ. 137:9)

จาก คู่มือเล่ม 2 เราอ่านว่า “สมาชิกที่ซื่อสัตย์ซึ่งสภาวการณ์ไม่เอื้ออำนวยให้ได้รับพรของการแต่งงานนิรันดร์และการเป็นบิดามารดาในชีวิตนี้จะได้รับพรที่สัญญาไว้ทั้งหมดในนิรันดร [เมื่อ] พวกเขารักษาพันธสัญญาที่ทำไว้กับพระผู้เป็นเจ้า”6

ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระเจ้าทรงหมายความตามที่พระองค์ตรัสเมื่อทรงมีพระดำรัสว่า “การที่ชายผู้นี้จะอยู่แต่ลำพังนั้นไม่ดี” (ปฐมกาล 2:18) และความปรารถนาสูงสุดของพระองค์ต่อบุตรธิดาทุกคนของพระองค์คือให้พวกเขาได้รับ “ความสมบูรณ์แห่งปีติ” (โมเสส 7:67) ด้วยเหตุนี้ จงมีวิสัยทัศน์ตรงหน้าท่านเสมอและ “พยายามต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ของการมีชีวิตครอบครัวนิรันดร์ ซึ่งหมายถึงการเตรียมเป็นคู่ครองที่มีค่าควร และเป็นบิดาหรือมารดาที่เปี่ยมด้วยความรัก ในบางกรณี พรเหล่านี้อาจเกิดขึ้นในชีวิตหน้า แต่เป้าหมายสูงสุดสำหรับทุกคนเหมือนกัน”7

ข้าพเจ้ารู้ว่าชีวิตมีสภาวการณ์หลากหลายเท่ากับมีคนหลากหลายในโลก ข้าพเจ้ารู้ว่ามีความต่างทางวัฒนธรรม ประเพณี และความคาดหวัง แต่หลักคำสอนและหลักธรรมเหล่านี้เป็นนิรันดร์และจริง โดยไม่ขึ้นกับสถานการณ์ชีวิตส่วนตัวของเรา ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นทั้งหมดว่าเมื่อท่านไตร่ตรองอย่างจริงจังและพิจารณาหลักคำสอนและหลักธรรมเหล่านี้ร่วมกับการสวดอ้อนวอน ท่านจะสามารถพัฒนาวิสัยทัศน์ส่วนตัวสำหรับชีวิตท่านจนเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าและนำท่านให้มีความสุขมากที่สุด

อ้างอิง

  1. “ครอบครัว: ถ้อยแถลงต่อโลก,” เลียโฮนา, พ.ย. 2010, 165.

  2. สเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์, “Guidelines to Carry Forth the Work of God in Cleanliness,” Ensign, May 1974, 6.

  3. “ครอบครัว: ถ้อยแถลงต่อโลก,” 165.

  4. จูลี บี. เบค ความคิดเห็นระหว่างการอบรมการประชุมใหญ่สามัญ ต.ค. 2009.

  5. สั่งสอนกิตติคุณของเรา: แนวทางการรับใช้งานเผยแผ่ศาสนา (2004), 146.

  6. คู่มือเล่ม 2: การบริหารงานศาสนจักร (2010), 1.3.3.

  7. คู่มือเล่ม 2, 1.3.3.