เอ็ลเดอร์อูลิส์เสส ซวาเรส: บุรุษผู้ไม่มีมารยา
ในการปฏิบัติศาสนกิจช่วงแรกขณะพระเยซูทรงเลือกอัครสาวกสิบสอง พระองค์ทรงเห็นนาธานาเอลมาหาพระองค์ พระองค์ทรงมองเห็นความดีงามของนาธานาเอลทันที โดยทรงประกาศว่า “นี่แหละ ชาวอิสราเอลแท้ในตัวเขาไม่มีมารยา”1
พระเยซูทรงรู้ว่านาธานาเอลเป็นผู้มีใจบริสุทธิ์ เจตนาซื่อสัตย์ ปราศจากความหน้าซื่อใจคดหรือความหลอกลวง พระเจ้าทรงรักคุณสมบัตินี้ของความสุจริตชอบธรรม และทรงเรียกนาธานาเอลเป็นอัครสาวก2
อูลิส์เสส ซวาเรสเป็นเหมือนนาธานาเอลสมัยก่อน และพระผู้ช่วยให้รอดทรงเรียกท่านเช่นกัน
“แสงสว่างของบิดามารดา”
อูลิส์เสสเป็นบุตรคนเล็กในจำนวนพี่น้องชายสี่คน ท่านเกิดในเมืองเซาเปาลู บราซิลเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 1958 ท่านมาจากจุดเริ่มต้นอันต่ำต้อย แต่อัปปาเรซีโดกับเมอร์เซเดส กาเรโช ซวาเรสบิดามารดาของท่านเป็นคนน่าเคารพนับถือและขยันขันแข็งผู้ตั้งใจฟังผู้สอนศาสนา ทั้งสองเข้าร่วมศาสนจักรในปี ค.ศ. 1965 เมื่ออูลิส์เสสอายุหกขวบ
“ผมไม่เคยเห็นบราเดอร์อัปปาเรซีโดขาดการประชุม” โอซิริส กาบราลผู้รับใช้เป็นประธานสเตคเมื่ออูลิส์เสสเป็นเยาวชนชายกล่าว “เมอร์เซเดสซื่อสัตย์มากเช่นกัน อูลิส์เสสสืบทอดการอุทิศตนของพ่อแม่”
จิตใจดีตามธรรมชาติของอูลิส์เสสเบ่งบานเมื่อท่านเรียนรู้ทางของพระเจ้า “ข้าพเจ้าเติบโตในศาสนจักรตามแสงสว่างของบิดามารดา” เอ็ลเดอร์ซวาเรสกล่าว ขณะเดินตามแสงสว่างนั้น ประจักษ์พยานของท่านเข้มแข็งขึ้นแม้มีการต่อต้าน
“ข้าพเจ้าเป็นสมาชิกศาสนจักรเพียงคนเดียวในโรงเรียน และเด็กผู้ชายคนอื่นๆ พยายามลากข้าพเจ้าลงต่ำและผลักดันข้าพเจ้าให้ทำสิ่งผิดเสมอ” ท่านกล่าว “ข้าพเจ้าต้องฝึกป้องกันตนเองในความท้าทายเหล่านี้ แต่ข้าพเจ้าวางใจในพระเจ้าสุดหัวใจเสมอว่าจะทรงช่วยให้ข้าพเจ้าประสบความสำเร็จ ข้าพเจ้าเรียนรู้สมัยเป็นเยาวชนชายว่าถ้าเราทำส่วนของเรา พระเจ้าจะทรงทำส่วนของพระองค์ แต่ท่านต้องจับพระหัตถ์ของพระองค์และพระกิตติคุณของพระองค์ให้แน่น”
เมื่ออูลิส์เสสอายุ 15 ปี อธิการขอให้ท่านสอนชั้นเรียนเยาวชนโรงเรียนวันอาทิตย์ บทเรียนหนึ่งที่ท่านสอนเน้นเรื่องการมีประจักษ์พยานในพระกิตติคุณ อูลิส์เสสศึกษาพระคัมภีร์มอรมอนมาแล้ว รู้สึกเสมอว่าศาสนจักรจริง และเชื่อในพระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์
ขณะเตรียมบทเรียน ท่านต้องการเป็นพยานอย่างหนักแน่นต่อชั้นเรียนถึงความจริงของพระกิตติคุณ “ข้าพเจ้าศึกษาและสวดอ้อนวอนอย่างจริงจัง” เอ็ลเดอร์ซวาเรสจำได้ “หลังจากคุกเข่า มีความรู้สึกที่อ่อนโยนมากเข้ามาในใจข้าพเจ้า เสียงเล็กๆ ที่ยืนยันกับข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง ความรู้สึกนั้นแรงกล้าจนข้าพเจ้าไม่สามารถพูดได้ว่าข้าพเจ้าไม่รู้”
เมื่ออูลิส์เสสเป็นผู้ใหญ่ ท่านเรียนรู้ว่าถ้าท่านจะทำมากกว่าที่คาดหวังหรือขอให้ทำ พระเจ้าจะอวยพรท่านอย่างเผื่อแผ่ บทเรียนเช่นนั้นครั้งหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อท่านเตรียมเป็นผู้สอนศาสนา ระหว่างสัมภาษณ์อูลิส์เสส อธิการเน้นความสำคัญของการเชื่อฟังพระบัญญัติและการดำเนินชีวิตอย่างมีค่าควร เขาเน้นเรื่องการเตรียมพร้อมด้านการเงินด้วย
ทุกวันนี้ผู้สอนศาสนาทุกคนจากบราซิลออกเงินค่างานเผยแผ่ของตน โดยมีหลายครอบครัวออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด เมื่ออูลิส์เสสใกล้ถึงวัยเป็นผู้สอนศาสนา ท่านตั้งใจว่าจะหาเงินทั้งหมดที่ต้องใช้สำหรับงานเผยแผ่ของท่าน เพราะได้เปรียบเรื่องจรรยาบรรณที่ดีในการทำงานซึ่งมาจากการเรียนรู้ขณะทำงานในธุรกิจขนาดเล็กของบิดาและมีความสามารถในการพิมพ์เร็ว อูลิส์เสสจึงได้งานกลางวันช่วยบริษัทหนึ่งเตรียมบัญชีเงินเดือน
หลังจากสอบผ่านเข้าไปได้ ท่านเริ่มศึกษาวิชาบัญชีที่โรงเรียนช่างช่วงเย็น แต่ละเดือน หลังจากจ่ายส่วนสิบ ท่านจะออมเงินไว้สำหรับงานเผยแผ่ของท่าน หลังจากนั้นหนึ่งปี ท่านย้ายไปแผนกบัญชีของบริษัท
“นั่นเป็นวิธีที่ข้าพเจ้าออมเงินสำหรับงานเผยแผ่ของข้าพเจ้า” เอ็ลเดอร์ซวาเรสกล่าว “และแต่ละเดือนในช่วงสามเดือนก่อนไป ข้าพเจ้าจะซื้อสิ่งของจำเป็นบางอย่าง—เสื้อเชิ้ต กางเกงขายาว ถุงเท้า เน็กไท และกระเป๋าเดินทาง” ท่านยังต้องการและได้รับความรักและการสนับสนุนอย่างมากจากบิดามารดาและผู้นำในท้องที่เช่นกัน
อูลิส์เสสได้รับเรียกให้ไปคณะเผยแผ่บราซิล รีอูดีจาเนรู ท่านรับใช้งานเผยแผ่ช่วงแรกภายใต้ประธานเฮลิโอ ดาโรชา กามาร์โกผู้ซึ่งต่อมากลายเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่คนแรกจากบราซิล อูลิส์เสสเริ่มงานเผยแผ่ต้น ค.ศ. 1978 พระวิหารแห่งแรกในละตินอเมริกาได้รับการอุทิศปลายปีนั้นในเซาเปาลูโดยประธานสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์ (1895–1985)
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1980 อูลิส์เสสกับคู่ที่ยังไม่ได้รับเอ็นดาวเมนท์เช่นกัน นั่งรถโดยสารในรีอูเดจาเนรูแปดชั่วโมงไปพระวิหารเซาเปาลู บราซิล บิดามารดาและพี่น้องของอูลิส์เสสพบท่านที่นั่น และครอบครัวซวาเรสได้รับการผนึกเพื่อกาลเวลาและนิรันดร อูลิส์เสสไม่เคยลืมห้าชั่วโมงนั้นที่ได้อยู่ด้วยกันในพระวิหารเซาเปาลู ค่ำวันนั้นท่านกับคู่กลับไปสนามเผยแผ่
ให้พระผู้เป็นเจ้ามาเป็นอันดับแรก
อูลิส์เสสสนุกกับงานเผยแผ่ที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งทำให้ประจักษ์พยานของท่านเข้มแข็งมากขึ้น เมื่อท่านกลับบ้าน ท่านได้งานและเริ่มศึกษาวิชาบัญชีและเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยท้องถิ่น
ท่านอยู่บ้านได้ราวเจ็ดเดือนตอนท่านพบ “ซิสเตอร์มอร์กาโด” ที่งานเต้นรำพหุสเตค อูลิส์เสสเคยรับใช้เป็นหัวหน้าโซนของเธอช่วงหนึ่ง และทั้งสองพบกันค่ำนั้นและเล่าสู่กันฟังเรื่องงานเผยแผ่ สามสัปดาห์ต่อมา พวกท่านเริ่มออกเดท
โรซานา เฟอร์นันเดซ มอร์กาโดอายุแปดขวบตอนมาร์กาเร็ธพี่สาวของเธอเริ่มพาเธอมาโบสถ์ ในที่สุด ผู้สนใจวัยเด็กที่ซื่อสัตย์ทั้งสองก็ได้รับอนุญาตจากบิดาให้รับบัพติศมา แต่ต้องรอจนกว่าจะอายุครบ 17 ปี โรซานาไปโบสถ์เก้าปีก่อนได้รับอนุญาตให้รับบัพติศมา
อูลิส์เสสอาศัยอยู่ทางภาคเหนือของเซาเปาลู ส่วนโรซานาอาศัยอยู่กับบิดามารดาทางตอนใต้ของเมือง การเดินทางข้ามเมืองที่ใหญ่มากต้องใช้เวลาสองถึงสามชั่วโมงด้วยรถประจำทางและรถไฟใต้ดิน โชคดีที่มาร์กาเร็ธกับคลอดิโอสามีของเธออาศัยอยู่ใกล้บ้านบิดามารดาของเธอ
“เมื่ออูลิส์เสสมาออกเดทกับโรซานาในวันหยุดสุดสัปดาห์ มันลำบากมากที่เขาจะกลับบ้านตอนกลางคืน” เอ็ลเดอร์คลอดิโอ อาร์. เอ็ม. คอสตา สาวกเจ็ดสิบเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่กล่าวถึงน้องเขยในอนาคต เขากับมาร์กาเร็ธจึงชวนอุลิส์เสสมานอนที่บ้านหลังออกเดท “เราดูแลเขาช่วงหนึ่ง” เอ็ลเดอร์คอสตาเสริม
“เขาจะนอนบนโซฟาในห้องรับแขก” ซิสเตอร์คอสตากล่าว “เราเพิ่งแต่งงาน ก็เลยไม่มีผ้าห่มเผื่อเขา แต่เขาจะเอาผ้าม่านเก่าๆ ที่เรามีมาห่มแทน เขามีความสุขเพราะได้เจอโรซานาอีกครั้งวันรุ่งขึ้น เขาดีต่อน้องสาวของดิฉัน และพ่อแม่ชอบเขามาก”
อูลิส์เสสกับโรซานาแต่งงานกันในพระวิหารเซาเปาลู บราซิลวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 1982
ถ้าท่านใช้เวลาสักสองสามนาทีกับเอ็ลเดอร์และซิสเตอร์ซวาเรส ท่านจะเห็นอย่างรวดเร็วว่าทั้งสองมีความรัก ความชื่นชม และความเคารพกัน สำหรับเอ็ลเดอร์ซวาเรส โรซานา “เป็นแบบอย่างของความดีงาม ความรัก และความภักดีต่อพระเจ้าสำหรับข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้า”3 สำหรับซิสเตอร์ซวาเรส อูลิส์เสสเป็น “ของขวัญจากสวรรค์”
ซิสเตอร์ซวาเรสเสริมว่า “ท่านมีความรับผิดชอบอย่างมากและเป็นคนชอบธรรมเสมอ ท่านดูแลครอบครัวของเราดีมาตลอด และปฏิบัติต่อดิฉันดีมากเสมอ ในการเรียกทั้งหมดของท่านในศาสนจักร ท่านทำสุดความสามารถ ท่านไปและท่านทำ ท่านให้เรื่องของพระผู้เป็นเจ้ามาเป็นอันดับแรกในชีวิตท่าน ดิฉันตกหลุมรักท่านครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะรู้ว่าถ้าท่านให้เรื่องของพระผู้เป็นเจ้ามาเป็นอันดับแรก ท่านจะให้ดิฉันมาเป็นอันดับแรกเช่นกัน”
เอ็ลเดอร์ซวาเรสกล่าวถึงภรรยาว่า “เธอเป็นวีรสตรีตัวจริงและเป็นแรงบันดาลใจในครอบครัวเรา เธอเปี่ยมด้วยความรัก มีน้ำใจ และอดทนกับทุกคน เธอทำให้ครอบครัวเราเป็นหนึ่งเดียวกัน และเธอมองเห็นความดีในทุกคน เธอมีส่วนอย่างมากต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตข้าพเจ้า เกี่ยวกับการเรียกข้าพเจ้าสู่โควรัมอัครสาวกสิบสอง ข้าพเจ้าพูดติดตลกกับเธอว่า ‘ผมโทษคุณเรื่องนี้เพราะคุณทำให้พลังของพระกิตติคุณเพิ่มขึ้นอย่างมากในชีวิตผม’”
ความใจกว้าง
กุสตาโว บุตรคนโตของครอบครัวซวาเรสจำคืนหนึ่งได้เมื่อตอนเป็นเด็กเขาไม่เชื่อฟังพ่อแม่และแอบหนีไปร่วมงานฉลองประจำปีในละแวกเซาเปาลูเรียกว่าเฟสตาจูนินา
“ผมอยู่ท่ามกลางคนกลุ่มใหญ่ กำลังสนุกสนานเฮฮาเมื่อได้ยินผู้ประกาศคนหนึ่งเรียกผมมาข้างหน้า” เขากล่าว “ตอนนั้นเองที่ผมเห็นคุณพ่อ”
พ่อแม่ของเขาเป็นห่วงมาก แทนที่จะดุกุสตาโว พวกท่านกลับกอดเขาแน่น
“เรามีการสนทนาที่จริงจังเกี่ยวกับการหายตัวไปของผม แต่พ่อแม่ปฏิบัติต่อผมด้วยความเคารพ” กุสตาโวจำได้ “ผมรู้สึกได้รับความคุ้มครอง และรู้ว่าพวกท่านรักผมจริงๆ”
อูลิส์เสสภักดีต่อครอบครัวของท่าน แม้จะมีงานยุ่งและต้องเดินทางเยอะมากตลอดหลายปี แต่ท่านจัดสรรเวลาสร้างความสัมพันธ์กับลูกๆ
เมื่อเอ็ลเดอร์ซวาเรสได้รับการสนับสนุนเข้าสู่โควรัมอัครสาวกสิบสองวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 2018 อาจไม่มีใครประหลาดใจเท่ากุสตาโวและเลทิเซีย การาเวลโล กับนาธาเลีย ซวาเรส อวิลาน้องสาวทั้งสองของเขา แต่พวกเขาพูดว่าถ้าความรัก ความขยันขันแข็ง ความเห็นอกเห็นใจ และความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคุณสมบัติที่ทำให้บุคคลนั้นได้เป็นอัครสาวก พวกเขาเข้าใจได้ว่าเหตุใดพระเจ้าทรงเรียกบิดาของพวกเขา
“เมื่อพระเยซูทรงเรียกอัครสาวกของพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทรงเลือกพวกฟาริสีที่ความรู้มากที่สุด แต่พระองค์ทรงเลือกชาวประมง” เลทิเซียกล่าว “คุณพ่อคุณแม่ของดิฉันเป็นแบบนั้น พวกท่านวางใจพระเจ้าอย่างหมดใจ และพระองค์ทรงใช้พวกท่านทำงานของพระองค์เพราะทรงรู้ว่าพวกท่านไม่คิดถึงตนเอง เต็มใจทำงานหนัก และอ่อนน้อมถ่อมตนมากพอจะยอมรับการแก้ไขให้ถูกต้อง”
ความ “ใจกว้าง” ของบิดาพวกเขาจะช่วยท่านขณะท่านเป็นพยานพิเศษคนหนึ่งของพระผู้ช่วยให้รอด นาธาเลียเสริม “ท่านมีใจให้งานนี้” เธอกล่าว “ท่านรู้สึกถึงอิทธิพลของสวรรค์ ท่านรักทุกคนและต้องการทำสิ่งถูกต้อง”
“ทุกอย่างจะราบรื่น”
เมื่อเอ็ลเดอร์ซวาเรสรับใช้เป็นประธานคณะเผยแผ่โปรตุเกส โปร์ตู ตั้งแต่ ค.ศ. 2000 ถึง ค.ศ. 2003 คนรู้กันทั่วไปว่าท่านชอบใช้วลีโปรตุเกสที่ว่า “Tudo vai dar certo”—ทุกอย่างจะราบรื่น
“ท่านสอนพวกเราแบบนั้น” ทาย เบนเนตต์ผู้สอนศาสนาคนหนึ่งของท่านจำได้ “ท่านดำเนินชีวิตด้วยศรัทธาและการมองโลกในแง่ดีว่าถ้าเราทำสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการให้เราทำ ทุกอย่างจะราบรื่น”
ท่านสอนผู้สอนศาสนาไม่ให้ใช้คำว่า ยาก หรือ เป็นไปไม่ได้ เช่นกัน ริชาร์ด ชีลด์ส ผู้สอนศาสนาอีกคนหนึ่งของท่านกล่าว “เราเรียกสถานการณ์ต่างๆ ว่าเป็น ‘ความท้าทาย’ คำแนะนำนั้นช่วยหล่อหลอมชีวิตผมเมื่อผมมองสถานการณ์เป็น ‘ความท้าทาย’ ให้เอาชนะแทนที่จะมองว่า ‘ยาก’ หรือ ‘เป็นไปไม่ได้’”
ศรัทธาและการมองโลกในแง่ดีเช่นนั้นไม่ได้มาจากชีวิตที่สะดวกสบาย เอ็ลเดอร์และซิสเตอร์ซวาเรสทราบดีถึงความผิดหวังของการไม่มี ความอ่อนล้าของการทำงานและศึกษานานหลายวัน ความท้าทายของสุขภาพที่ย่ำแย่ และความปวดร้าวใจของการแท้งบุตร ทารกตายในครรภ์ การสูญเสียพี่น้องและบิดามารดา
แต่ตลอดการเดินทางของชีวิต พวกท่านมีศรัทธาในพระคัมภีร์ข้อโปรดของเอ็ลเดอร์ซวาเรสที่กล่าวว่า “เจ้าจงอ่อนน้อมถ่อมตน; และพระเจ้า พระผู้เป็นเจ้าของเจ้าจะทรงจูงมือนำเจ้าไป, และให้คำตอบคำสวดอ้อนวอนของเจ้าแก่เจ้า”4
“ความท้าทายเป็นส่วนหนึ่งของความก้าวหน้าของเรา” เอ็ลเดอร์ซวาเรสกล่าว “แต่เมื่อเราอดทนในความทุกข์ทรมาน เมื่อเราเรียนรู้ที่จะมีชีวิตรอดจากความท้าทาย เมื่อเรายังคงมีศรัทธา พระเจ้าจะทรงนับถือเรามากและอวยพรเราให้ได้รับพรที่ทรงสัญญาไว้”
และเมื่อเราจับราวเหล็กให้แน่น ท่านเสริม พระเจ้าจะไม่ทรงปล่อยเราไว้ตามลำพัง
“ความเสมอต้นเสมอปลายในการยึดพระบัญญัติ พระกิตติคุณ พระคัมภีร์ และพระเจ้าพระเยซูคริสต์ไว้ให้มั่นจะช่วยให้เราเอาชนะความท้าทายของชีวิต” เอ็ลเดอร์ซวาเรสเป็นพยาน “เมื่อเราคุกเข่าสวดอ้อนวอน พระองค์จะทรงอยู่กับเราและจะทรงนำทางเรา จะทรงดลใจเราให้รู้ว่าจะไปที่ใดและทำอะไร เมื่อเราเชื่อฟังและอ่อนน้อมถ่อมตน พระเจ้าจะทรงตอบคำสวดอ้อนวอนของเรา”
สานุศิษย์ที่อุทิศตน
อูลิส์เสส ซวาเรสเป็นบุรุษผู้มีความสามารถและความพร้อม การศึกษาของท่าน รวมถึงปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจ เตรียมท่านให้พร้อมทำงานเป็นนักบัญชีและนักตรวจสอบบัญชีให้บริษัทข้ามชาติในบราซิล ประสบการณ์นั้นเตรียมท่านให้พร้อมทำงานในแผนกการเงินของศาสนจักร ซึ่งเตรียมท่านตอนอายุ 31 ปีให้พร้อมเป็นผู้อำนวยการบริหารระดับภาคที่อายุน้อยสุดของศาสนจักร การเตรียมนั้นช่วยท่านอย่างดีในฐานะประธานคณะเผยแผ่และในการเรียกเป็นสาวกเจ็ดสิบเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่วันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 2005
ก่อนได้รับเรียกให้อยู่ในฝ่ายประธานโควรัมสาวกเจ็ดสิบเมื่อวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2013 เอ็ลเดอร์ซวาเรสรับใช้เป็นที่ปรึกษา จากนั้นเป็นประธานภาคบราซิล และเป็นที่ปรึกษาในภาคแอฟริกาตะวันออกเฉียงใต้ ที่นั่น ท่านรับใช้เป็นที่ปรึกษาของเอ็ลเดอร์เดล จี. เรนลันด์ ผู้ซึ่งต่อจากนั้นเป็นสาวกเจ็ดสิบเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ เอ็ลเดอร์เรนลันด์ ซึ่งเวลานี้เป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองชื่นชอบเวลาที่พวกท่านได้อยู่ด้วยกัน
“เอ็ลเดอร์ซวาเรสเป็นสานุศิษย์ที่ร่าเริง มุ่งมั่น และภักดีของพระเยซูคริสต์” เอ็ลเดอร์เรนลันด์กล่าว “ข้าพเจ้าไม่รู้จักใครที่รู้สึกอยากทำธุระของพระเจ้ามากไปกว่าท่าน ถ้าขอให้ท่านทำสิ่งใด ท่านจะทำสุดพละกำลังของท่าน”
เอ็ลเดอร์เรนลันด์กล่าวว่า เอ็ลเดอร์ซวาเรส “ตกหลุมรัก” วิสุทธิชนในแอฟริกาอย่างรวดเร็ว งานมอบหมายแรกๆ งานหนึ่งของท่านในภาคนั้นคือเป็นประธานควบคุมการประชุมใหญ่สเตคในเมืองกานังกา สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก “เมื่อกลับมา ท่านพูดถึงความดีงามและความภักดีของคนที่ท่านพบไม่หยุด” เอ็ลเดอร์เรนลันด์กล่าว
เอ็ลเดอร์แอล. วิทนีย์ เคลย์ตันผู้รับใช้กับเอ็ลเดอร์ซวาเรสเป็นเวลาห้าปีครึ่งในฝ่ายประธานโควรัมสาวกเจ็ดสิบเรียกเอ็ลเดอร์ซวาเรสว่าผู้สร้างมติมหาชน “ท่านฟังและประเมินความคิดของท่าน ท่านระมัดระวังเรื่องการวางตัวในที่ประชุมต่างๆ เพื่อเสียงของท่านจะเป็นเสียงประสาน ไม่ใช่เสียงนักร้องเดี่ยวที่แข่งกัน”
เอ็ลเดอร์ซวาเรสถ่อมตัวที่ท่านสามารถสื่อสารเป็นภาษาโปรตุเกส อังกฤษ สเปน และฝรั่งเศสได้ แต่ของประทานดังกล่าว ซึ่งเรียกร้องให้เอาใจใส่เสมอ เป็นพรแก่ศาสนจักร เอ็ลเดอร์เคลย์ตันกล่าว เอ็ลเดอร์ซวาเรสสามารถพูดกับสมาชิกศาสนจักรส่วนใหญ่ในภาษาของพวกเขาเอง
“อูลิส์เสสเป็นผู้นำตั้งแต่เด็ก” เอ็ลเดอร์คลอดิโอ คอสตาพี่เขยของท่านตั้งข้อสังเกต “ท่านฉลาดมากและมีความสามารถมาก และท่านรู้สึกว่าตนมีหน้าที่ให้ส่วนดีที่สุดเสมอ ท่านรักคนง่าย ท่านมีหัวใจของสานุศิษย์ที่แท้จริงของพระผู้ช่วยให้รอด และท่านเป็นพยานที่เชื่อมั่นว่าพระเยซูคือพระคริสต์ ข้าพเจ้ารักท่านและยินดีสนับสนุนท่านในฐานะอัครสาวกของพระเจ้า”
และเมื่อพูดแทนโควรัมอัครสาวกสิบสอง เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์เสริมว่า “เอ็ลเดอร์ซวาเรสเป็นสานุศิษย์ที่บริสุทธิ์ ไม่มีมารยา และใสซื่อของพระผู้ช่วยให้รอด โดยผ่านแสงสว่างในสีหน้าของท่าน รอยยิ้มที่อบอุ่นของท่าน และความมีมารยาทของท่าน บุคคลนับไม่ถ้วนและครอบครัวล้วนเคยได้รับ ยังคงได้รับ และจะได้รับแรงบันดาลใจให้ปรารถนาจะติดตามพระผู้ช่วยให้รอดและดำเนินชีวิตตามกฎเกณฑ์ของพระกิตติคุณมากขึ้น”
ในสมัยการประทานของเรา พระเจ้าตรัสถึงเอดเวิร์ด พาร์ทริจว่า “ใจเขาพิศุทธิ์ต่อเรา, เพราะเขาเป็นเหมือนกับนาธานาเอลในสมัยโบราณ, ซึ่งในตัวเขาไม่มีมารยา”5 พระเจ้าตรัสถึงไฮรัม สมิธว่า “เรา, พระเจ้า, รักเขาเนื่องจากความสุจริตใจของเขา, และเพราะเขารักสิ่งซึ่งถูกต้องต่อหน้าเรา”6
พระเจ้าจะตรัสถึงอูลิส์เสส ซวาเรสในทำนองเดียวกัน