บทบาทสำคัญของฐานะปุโรหิต ในการฟื้นฟู
หากไม่นำฐานะปุโรหิตกลับมาแผ่นดินโลก การฟื้นฟูคงเกิดขึ้นไม่ได้
เมื่อถึงเดือนเมษายนปี 1829 โจเซฟ สมิธได้รับการเยือนจากสวรรค์มาแล้วเกือบหนึ่งทศวรรษ พระบิดาและพระบุตรทรงปรากฏต่อท่านในปี 1820 ในป่าใกล้บ้านเมื่อท่านอายุ 14 ปี (ดู โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:5–17)1 การเยือนครั้งแรกของเทพโมโรไนเกิดขึ้นในปี 1823 ตามด้วยการเยือนปีละครั้งซึ่งระหว่างนั้นโมโรไนสอนและแนะนำโจเซฟจนถึงปี 1827 เมื่อท่านได้รับบันทึกโบราณที่เขียนไว้บนแผ่นจารึกซึ่งจะกลายเป็นพระคัมภีร์มอรมอน (ดู โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:30–54)
อย่างไรก็ตาม เป็นเวลา 18 เดือนหลังจากได้รับแผ่นจารึก โจเซฟแปลบันทึกลำบากมากเพราะการก่อกวนจากคนในท้องที่ การเปลี่ยนคนจดคำแปลหลายครั้ง และการสูญเสียต้นฉบับบางส่วน ช่วงนั้นโจเซฟท้อแท้และเจ็บปวด (ดู โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:58–62; หลักคำสอนและพันธสัญญา 3)
แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปในเดือนเมษายนปี 1829 เมื่อครูสอนหนังสือชื่อออลิเวอร์ คาวเดอรีมาเป็นคนจดคำแปลเต็มเวลาให้โจเซฟ ส่งผลให้การแปลพระคัมภีร์มอรมอนต่อจากนั้นเร็วขึ้นมาก
หลังจากใช้เวลาไปมากในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 1828 ทำฟาร์มของท่านในฮาร์โมนีย์ เพนซิลเวเนียเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว โจเซฟหันกลับมาเอาใจใส่เต็มที่ต่อการแปลพระคัมภีร์มอรมอนในปี 1829 เอ็มมา ภรรยาของโจเซฟกับแซมิวเอลน้องชายของท่านทำหน้าที่เป็นคนจดคำแปลในช่วงสั้นๆ ระหว่างนั้นออลิเวอร์ คาวเดอรีพักอยู่ที่บ้านบิดามารดาของโจเซฟ สมิธในนิวยอร์ก
พอทราบเรื่องแผ่นจารึกและการแปล ออลิเวอร์เกิดความสนใจและปรารถนาจะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้มาจากพระผู้เป็นเจ้าหรือไม่ “คืนหนึ่งหลังจากเข้านอนเขาทูลถามพระเจ้าเพื่อรู้ว่าสิ่งเหล่านี้จริงหรือไม่” โจเซฟบันทึก “และพระเจ้าทรงแสดงให้ประจักษ์ต่อเขาว่าจริง”2
ออลิเวอร์เดินทาง 140 ไมล์ (225 กิโลเมตร) มาพบโจเซฟที่ฮาร์โมนีย์ทันที ออลิเวอร์เป็นคำตอบการสวดอ้อนวอนของโจเซฟ สองวันหลังจากพบกันในเดือนเมษายน การแปลพระคัมภีร์มอรมอนดำเนินต่อไปอย่างรวดเร็วจนเกือบเสร็จสมบูรณ์อย่างน่าประหลาดในวันทำงานประมาณ 60 ถึง 65 วัน การแปลทั้งหมดเสร็จสมบูรณ์ราววันที่ 30 มิถุนายน
ศาสดาพยากรณ์โจเซฟอาจเห็นว่างานทั้งหมดของท่านใกล้เสร็จสมบูรณ์โดยทำตามคำสั่งของทูตสวรรค์ให้แปลและจัดพิมพ์บันทึกโบราณ เวลานั้นท่านศาสดาพยากรณ์ไม่รู้ว่าท่านยังทำงานไม่เสร็จแต่เพิ่งเริ่มบทบาทพื้นฐานของท่านในการฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์
มีเพียงไม่กี่เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์สำคัญเทียบเท่าสิ่งที่เกิดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิปี 1829 ออลิเวอร์พูดถึงช่วงเวลาอันน่าทึ่งนี้ของการฟื้นฟูว่าเขา “จะไม่มีวันลืมเวลาเหล่านั้นเลย” (โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:71 หมายเหตุ) นอกจากปาฏิหาริย์ของการแปลพระคัมภีร์มอรมอนแล้ว ไม่นานนักเหล่าเทพมาปรากฏและประสาทสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตให้โจเซฟกับออลิเวอร์ ช่วงการเปิดเผยนี้ของการแปลและการฟื้นฟูเปลี่ยนทิศทางและขยายทัศนะของโจเซฟและปูทางให้จัดตั้งศาสนจักรอย่างเป็นทางการในอีกหนึ่งปีต่อมา
การฟื้นฟูฐานะปุโรหิตแห่งอาโรน
ขณะแปลพระคัมภีร์มอรมอน โจเซฟและออลิเวอร์พบข้อความหลายข้อเกี่ยวกับบัพติศมาและสิทธิอำนาจ โจเซฟทราบมาก่อนแล้วว่า “พระเจ้า [จะ] ทรงมอบฐานะปุโรหิตศักดิ์สิทธิ์ให้บางคน”3 วันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 1829 โจเซฟกับออลิเวอร์ปลีกตัวเข้าไปในที่เงียบสงัดในสวนเมเปิลใกล้บ้านเพื่อ “สวดอ้อนวอนทูลถามพระเจ้าเกี่ยวกับพระประสงค์ที่ทรงมีต่อข้าพเจ้า”4
ขณะสวดอ้อนวอน สุรเสียงของพระผู้ไถ่รับสั่งปลอบประโลมท่านทั้งสอง “ขณะที่ม่านเปิดและเทพของพระผู้เป็นเจ้า, ห่อหุ้มด้วยรัศมีภาพลงมา, และมอบข่าวสารที่รอคอยด้วยใจจดจ่อ, และกุญแจทั้งหลายของพระกิตติคุณแห่งการกลับใจ” (โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:71 หมายเหตุ) เทพแนะนำตัวท่านว่าคือยอห์น “คนเดียวกับที่เรียกว่ายอห์นผู้ถวายบัพติศมาในภาคพันธสัญญาใหม่, และว่าท่านกระทำภายใต้การนำของเปโตร, ยากอบ และยอห์น” (โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:72)
โจเซฟกับออลิเวอร์คุกเข่าขณะยอห์นผู้ฟื้นคืนชีวิตแล้ววางมือบนศีรษะท่านทั้งสองและประสาทฐานะปุโรหิตแห่งอาโรน “ซึ่งถือกุญแจทั้งหลายแห่งการปฏิบัติของเหล่าเทพ, และของพระกิตติคุณแห่งการกลับใจ, และของบัพติศมาโดยลงไปในน้ำทั้งตัวเพื่อการปลดบาป” (โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:69; ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 13:1 ด้วย) ท่านทั้งสองได้รับสัญญาว่าจะประสาทสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตให้พวกท่านเพิ่มเติม “ในเวลาที่ถูกต้อง” โจเซฟถูกกำหนดให้เป็น “เอ็ลเดอร์คนแรกของศาสนจักร, และ เขา (ออลิเวอร์ คาวเดอรี) คนที่สอง” (โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:72) ยอห์นบอกท่านทั้งสองให้บัพติศมากัน—โจเซฟให้บัพติศมาออลิเวอร์ก่อน จากนั้นออลิเวอร์ให้บัพติศมาโจเซฟ
วันนั้นทั้งสอง “ไปที่น้ำ” ริมฝั่งแม่น้ำซัสเควฮันนาเพื่อรับบัพติศมา และ “ถูกบังคับให้เก็บความลับเรื่องการที่ [พวกท่าน] ได้รับฐานะปุโรหิตและรับบัพติศมา, เนื่องจากวิญญาณของการข่มเหงซึ่งแสดงตนให้ประจักษ์แล้วในละแวกนั้น” (โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:74) แม่น้ำสายนั้นเป็นเส้นทางหลักสำหรับการพาณิชย์และการคมนาคมในช่วงน้ำขึ้นเมื่อฤดูใบไม้ผลิที่มีเรือสัญจรไปมาไม่ขาดสาย เป็นไปได้ว่าโจเซฟกับออลิเวอร์รอจนหลังจากตะวันตกดินหรือฉวยโอกาสขณะกระแสน้ำขึ้นและพบสถานที่เงียบสงบบนที่ราบซึ่งน้ำท่วมถึง5
หลังจากให้บัพติศมากัน โจเซฟแต่งตั้งออลิเวอร์สู่ฐานะปุโรหิตแห่งอาโรน ต่อจากนั้นออลิเวอร์แต่งตั้งโจเซฟตามที่เทพบัญชา ประธานโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธสอนว่าจำเป็นต้องยืนยันการแต่งตั้งครั้งแรกที่ได้รับภายใต้มือยอห์นผู้ถวายบัพติศมาอีกครั้งหลังทั้งสองรับบัพติศมาเพื่อ “ผนึก พรเหล่านั้นอีกครั้งตามลำดับที่ถูกต้อง”6
การฟื้นฟูฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดค
เรามีรายละเอียดน้อยกว่าเกี่ยวกับการเยือนของเปโตร ยากอบ และยอห์นต่อโจเซฟและออลิเวอร์เพื่อฟื้นฟูฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดค การตีความไปต่างๆ นานาตามเรื่องราวจากความทรงจำทำให้คิดว่าเหตุการณ์น่าจะเกิดในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 1829 น่าจะปลายเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายนจนถึงอีกหลายเดือนหลังจากนั้น7 โจเซฟและออลิเวอร์ไม่เคยระบุวันที่เปโตร ยากอบ และยอห์นมาปรากฏเหมือนระบุวันที่ยอห์นผู้ถวายบัพติศมาฟื้นฟูฐานะปุโรหิตแห่งอาโรน เป็นเพราะตอนแรกๆ พวกท่านอาจไม่เข้าใจถ่องแท้ถึงลักษณะแท้จริงของฐานะปุโรหิตหรือการแบ่งฐานะปุโรหิต ความเข้าใจของโจเซฟเรื่องฐานะปุโรหิตเพิ่มขึ้นทีละเล็กละน้อย
ตั้งแต่ปี 1830 ถึงปี 1835 ท่านได้รับความกระจ่างเรื่องตำแหน่งฐานะปุโรหิต และมีการจัดตั้งโควรัม สภา ฝ่ายประธาน และฝ่ายอธิการ แม้แต่คำว่า ฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดค ก็ไม่ใช้เป็นชื่อสำหรับ “ฐานะปุโรหิตระดับสูง” หรือ “ฐานะปุโรหิตที่เหนือกว่า” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 107:9; 84:19) จนถึงปี 1835 (ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 107:2–4)
แต่โจเซฟให้รายละเอียดคร่าวๆ เกี่ยวกับสถานที่ ในปี 1842 ท่านจำได้ว่าได้ยิน “เสียงของเปโตร, ยากอบ, และยอห์นในแดนทุรกันดารระหว่างฮาร์โมนีย์ … กับโคลสวิลล์ … บนฝั่งแม่น้ำซัสเควฮันนา, โดยประกาศตนว่าครอบครองกุญแจของอาณาจักร” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 128:20)
นี่บอกเป็นนัยว่าการฟื้นฟูฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเคดเกิดขึ้นที่ใดที่หนึ่งในระยะ 28 ไมล์ (45 กิโลเมตร) ของถนนระหว่างบ้านสมิธในฮาร์โมนีย์ เพนซิลเวเนียกับเมืองโคลสวิลล์ นิวยอร์กที่ครอบครัวโจเซฟ ไนท์อาศัยอยู่ ครอบครัวไนท์เป็นสมาชิกศาสนจักรรุ่นแรกๆ และเป็นเพื่อนที่ภักดีต่อโจเซฟ สมิธ พวกเขาจัดหากระดาษและสิ่งจำเป็นอื่นๆ ให้ในช่วงแปลพระคัมภีร์มอรมอนและต่อมาเป็นแกนหลักของสาขาโคลสวิลล์ของศาสนจักร
นอกจากรับฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดคจากเปโตร ยากอบ และยอห์นแล้ว โจเซฟกับออลิเวอร์ยังได้รับแต่งตั้ง “เป็นอัครสาวก, และพยานพิเศษ” ของพระเจ้า (หลักคำสอนและพันธสัญญา 27:12) และได้รับกุญแจที่จำเป็นต่อการเริ่มต้นสมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลา บัดนี้ทั้งสองมีสิทธิอำนาจในการประกอบศาสนพิธีฐานะปุโรหิตทั้งหมด รวมถึงการมอบของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์
อีกทั้งได้รับ “กุญแจทั้งหลายของพรทางวิญญาณทั้งปวงของศาสนจักร” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 107:18) ซึ่งจำเป็นต่อการจัดตั้งศาสนจักรในเดือนเมษายนปี 1830 และได้รับการเปิดเผยให้ฟื้นฟูสิ่งทั้งปวงตามลำดับที่ถูกต้อง พรทางวิญญาณประจักษ์ชัดผ่านปาฏิหาริย์ การเยียวยา และศาสนพิธีที่ประกอบโดยผู้มีสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิต ในปี 1836 ทูตสวรรค์มามอบกุญแจฐานะปุโรหิตเกี่ยวกับการรวบรวมอิสราเอลและงานพระวิหาร (ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 110)
นัยของการฟื้นฟูฐานะปุโรหิต
ประธานเดวิด โอ. แมคเคย์ (1873–1970) สอนว่าลักษณะเด่นที่สุดของศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟูของพระผู้ช่วยให้รอดคือ “สิทธิอำนาจจากสวรรค์ด้วยการเปิดเผยโดยตรง”8 หากไม่นำฐานะปุโรหิตกลับมาแผ่นดินโลก การฟื้นฟูคงเกิดขึ้นไม่ได้ ฐานะปุโรหิตให้อำนาจประกอบศาสนพิธีและจัดเตรียมกรอบโครงสร้างสำหรับการปกครองศาสนจักรของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก
โจเซฟจัดตั้งศาสนจักรอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1830 จัดตั้งฝ่ายประธานสูงสุดและโควรัมอัครสาวกสิบสองตลอดช่วงไม่กี่ปีต่อจากนั้น ภายใต้การกำกับดูแลของประธานศาสนจักร มีการมอบหมายกุญแจฐานะปุโรหิตให้ผู้นำระดับท้องที่ทั่วโลกเพื่อให้พระกิตติคุณ “รุดไปถึงสุดแดนแผ่นดินโลก” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 65:2)
การฟื้นฟูฐานะปุโรหิตเป็นหัวใจของการทรงเรียกโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์คนแรกของสมัยการประทานนี้ ในคำปรารภของพระคัมภีร์หลักคำสอนและพันธสัญญา พระเจ้าทรงอธิบายว่า “ดังนั้น, เรา พระเจ้า, โดยรู้ภัยพิบัติซึ่งจะเกิดขึ้นกับผู้อยู่อาศัยของแผ่นดินโลก, จึงเรียกหาผู้รับใช้ของเรา โจเซฟ สมิธ, จูเนียร์, และพูดกับเขาจากสวรรค์, และให้บัญญัติเขา” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 1:17)
ก่อนการเยือนของยอห์นผู้ถวายบัพติศมาในเดือนพฤษภาคมปี 1829 โจเซฟจดจ่อกับการแปลพระคัมภีร์มอรมอน เนื่องด้วยการฟื้นฟูฐานะปุโรหิตแห่งอาโรนและฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดค ท่านจึงตระหนักว่าการเรียกของท่านมีมากกว่านั้นมาก การได้รับสิทธิอำนาจจากสวรรค์เตรียมโจเซฟให้พร้อมแบกรับความรับผิดชอบของท่านมากขึ้นในฐานะ “ผู้หยั่งรู้, ผู้แปล, ศาสดาพยากรณ์, [และ] อัครสาวกของพระเยซูคริสต์” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 21:1)
เอ็ลเดอร์โรเบิร์ต ดี. เฮลส์ (1932–2017) แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองอธิบายว่าชีวิตเราจะเป็นอย่างไรหากปราศจากฐานะปุโรหิต “หากอำนาจฐานะปุโรหิตไม่อยู่บนแผ่นดินโลก ปฏิปักษ์คงจะตระเวนไปทั่วและครอบงำไม่หยุดยั้ง จะไม่มีของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์นำทางและให้ความกระจ่างแก่เรา ไม่มีศาสดาพยากรณ์พูดในพระนามของพระเจ้า ไม่มีพระวิหารที่เราสามารถทำพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ ไม่มีสิทธิอำนาจในการให้พรหรือให้บัพติศมา เยียวยาหรือปลอบโยน หากปราศจากอำนาจฐานะปุโรหิต ‘ทั้งแผ่นดินโลกจะร้างลงสิ้น’ (ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 2:1–3) จะไม่มีความสว่าง ไม่มีความหวัง—มีเพียงความมืด”9
การได้รับศาสนพิธีฐานะปุโรหิตเป็นหัวใจสำคัญต่องานของพระเจ้าในการ “ทำให้เกิดความเป็นอมตะและชีวิตนิรันดร์ของมนุษย์” (โมเสส 1:39) บัพติศมาและการยืนยัน เอ็นดาวเม้นท์พระวิหาร และการผนึกเพื่อกาลเวลาและนิรันดรล้วนจำเป็นต่อความรอดของเรา ความสามารถในการผูกและผนึกครอบครัวในพระวิหารสำหรับคนทั้งสองด้านของม่านเกิดขึ้นได้ผ่านสิทธิอำนาจและกุญแจฐานะปุโรหิตตามการกำกับดูแลของประธานศาสนจักรเท่านั้น
การฟื้นฟูต่อเนื่อง
สิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตจะเป็นแรงบันดาลใจให้ท่านมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูศาสนจักรอย่างต่อเนื่องได้อย่างไร? เราอาจไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ที่แน่ๆ คือการฟื้นฟูดำเนินต่อเนื่อง พระเจ้าไม่ได้ทรงเปิดเผยหลักคำสอนหรือศาสนพิธีทุกอย่างหรือประทานคำแนะนำทั้งหมดแก่โจเซฟในป่าศักดิ์สิทธิ์ผ่านโมโรไนบนคาโมราห์หรือที่การประชุมจัดตั้งศาสนจักร การฟื้นฟูไม่ได้เกิดขึ้นครั้งเดียว แต่พระเจ้าทรงเปิดเผยสิ่งต่างๆ “บรรทัดมาเติมบรรทัด” (2 นีไฟ 28:30) ต่อโจเซฟเฉกเช่นพระองค์ยังทรงเปิดเผยต่อศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ในปัจจุบันตามจุดประสงค์และจังหวะเวลาของพระองค์
ศาสดาพยากรณ์ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยของโจเซฟ สมิธเป็นต้นมาได้พูดแทนพระเจ้าและยังคงทำให้เรารู้พระประสงค์ของพระองค์ ศาสดาพยากรณ์เห็นภาพกว้างกว่าเราและได้รับคำแนะนำเฉพาะเจาะจงสำหรับความท้าทายในสมัยของพวกท่าน ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันประกาศว่าเราทุกคนเป็น “พยานถึงขั้นตอนการฟื้นฟู หากท่านคิดว่าศาสนจักรได้รับการฟื้นฟูสมบูรณ์แล้ว ท่านเห็นเพียงแค่เริ่มต้น มีอีกมากจะตามมา”10
การฟื้นฟูและท่าน
ขอให้เราแต่ละคนเต็มใจมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูพระกิตติคุณอย่างต่อเนื่องโดยน้อมรับและปฏิบัติสิ่งที่ได้เปิดเผยต่อศาสดาพยากรณ์สมัยปัจจุบันด้วยความกระตือรือร้น ตัวอย่างเช่นการดำเนินชีวิตตามกฎที่สูงกว่าและศักดิ์สิทธิ์กว่าของการปฏิบัติศาสนกิจต่อพี่น้องชายหญิงของเรา11 และขอให้เราแต่ละคนพบปีติอันยั่งยืนของพระกิตติคุณผ่านแผนงานที่มีบ้านเป็นศูนย์กลางและศาสนจักรสนับสนุนเพื่อเรียนรู้หลักคำสอน เสริมสร้างศรัทธา รักษาพระบัญญัติ และส่งเสริมการนมัสการส่วนตัวมากขึ้น รวมถึงยามค่ำที่บ้านเพื่อตอบสนองความต้องการของบุคคลและครอบครัว12
เราสามารถเตรียมรับการเสด็จมาครั้งที่สองของพระผู้ช่วยให้รอดได้โดยเร่งการรวบรวมอิสราเอลทั้งสองด้านของม่าน13 เราสามารถทำให้วันสะบาโตเป็นวันปีติยินดีมากขึ้นทั้งในการประชุมนมัสการวันอาทิตย์และที่บ้าน14 เราสามารถดำรงตนสอดคล้องกับพระวิญญาณบริสุทธิ์มากขึ้นโดยทำงานทางวิญญาณที่จำเป็นต่อการได้รับการเปิดเผยส่วนตัวทุกวัน15
ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าสวรรค์ยังเปิดเหมือนเดิมและมีอีกมากจะตามมาขณะพระเจ้าทรงเตรียมเราให้พร้อมรับวันอันน่าตื่นเต้นเบื้องหน้า การฟื้นฟูฐานะปุโรหิตช่วยให้บุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าได้ประกอบและรับศาสนพิธีแห่งความรอด ให้อำนาจศาสดาพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และผู้เปิดเผยยุคปัจจุบันกำกับดูแลอาณาจักรของพระเจ้า
พรนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นกับศาสนจักรและสมาชิกทุกวันเพราะการเข้าถึงฐานะปุโรหิตของพระเจ้า ขอให้เราแสดงความสำนึกคุณทุกวันต่อการปรากฏของยอห์นผู้ถวายบัพติศมาและของเปโตร ยากอบ และยอห์น และต่อการนำฐานะปุโรหิตแห่งอาโรนและฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดคกลับมาในสมัยการประทานสุดท้ายและท้ายที่สุดนี้เพื่อเตรียมรับการเสด็จกลับของพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเรา แม้พระเยซูคริสต์