2020
บทเรียนชีวิต 3 บทจากโมโรไน
ธันวาคม 2020


บทเรียนชีวิต 3 บทจากโมโรไน

actor portraying Moroni

ตั้งแต่ต้นจนจบพระคัมภีร์มอรมอนเป็นการเดินทางโดยไม่แวะพักของความจริงนิรันดร์อันทรงพลัง คำสัญญาและบทเรียนอันน่าทึ่ง ตลอดจนแบบอย่างของศรัทธาในพระเยซูคริสต์ที่สร้างแรงบันดาลใจ ส่วนดีที่สุดคือทั้งหมดนั้นเป็นความจริง!

แต่เมื่อเราใกล้จะจบเล่มและมาถึงบทต่างๆ ของโมโรไน แน่นอนว่าท่านมีความจริงอันทรงพลังที่สุดและบทเรียนเปลี่ยนชีวิตสำหรับเรา! โมโรไนจบพระคัมภีร์มอรมอนด้วยประจักษ์พยานอันเหลือเชื่อของท่านและคำเชื้อเชิญของท่านให้มาหาพระคริสต์และหมายมั่นรู้ความจริงด้วยตัวเราเอง แต่ในบรรดาคำกล่าวอันทรงพลังเหล่านั้น มีบทเรียนเปลี่ยนชีวิตอีกสามบทที่เราเรียนรู้ได้จากบทท้ายๆ ของท่านในหนังสือสุดวิเศษเล่มนี้

1. มองเลยเส้นชัย

มีความรู้สึกพึงพอใจเกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดโครงการที่ยากแต่คุ้มค่า อย่างเช่น การวางตัวต่อชิ้นสุดท้ายในที่ของมันหรือส่งโครงการชั้นเลิศที่โรงเรียน

โมโรไนคิดว่างานที่ท่านทำให้พระคัมภีร์มอรมอนเสร็จสิ้นหลังจากบันทึกการล่มสลายของประชาชาติเจเร็ดตามที่พบในหนังสือของอีเธอร์ ท่านเริ่มด้วย “บัดนี้ข้าพเจ้า, โมโรไน, หลังจากย่อเรื่องราวผู้คนของเจเร็ดจบแล้ว, ข้าพเจ้าไม่คิดว่าจะเขียนอีก, แต่ข้าพเจ้ายังไม่ตาย” (โมโรไน 1:1)

ความจริงที่ท่านยังมีชีวิตอยู่น่าจะสร้างความประหลาดใจเกินคาด ท่านระหกระเหินอยู่คนเดียว มีศัตรูล้อมรอบด้าน

ท่านมีเวลาทำสิ่งที่ประสงค์จะทำ และโมโรไนใช้ประโยชน์สูงสุดจากเวลาดังกล่าวใน 10 บทเท่านั้น ความจริงบางประการที่ท่านรวมไว้ในนั้นคือวิธีแต่งตั้งผู้สอนและปุโรหิต คำแนะนำสำหรับศีลระลึก (รวมทั้งคำสวดอ้อนวอน) คำสอนเกี่ยวกับวิธีดำเนินการประชุม คำปราศรัยอันทรงพลังของบิดาท่านเกี่ยวกับศรัทธา ความหวัง และจิตกุศล และสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ที่พบใน โมโรไน 10:3–5 ที่สอนเราแต่ละคนให้รู้วิธีรับการเปิดเผยส่วนตัวเกี่ยวกับความจริงของพระคัมภีร์มอรมอน ว้าว!

ใน 10 บทนั้นโมโรไนไม่ได้วางแผนจะเขียน แต่ท่านเพิ่มความจริงอันสำคัญยิ่งสำหรับผู้อ่านพระคัมภีร์มอรมอนในอนาคต

เราทุกคนเรียนรู้ได้จากแบบอย่างของท่าน คราวหน้าถ้าท่านพบตนเองมีเวลาทำสิ่งที่ประสงค์จะทำมากเกินคาดนิดหน่อย หรือเมื่อท่านรู้สึกว่าท่านทำงานหนักแล้วและควรทำเสร็จแล้ว คุ้มค่าไหมที่จะสวดอ้อนวอนและไตร่ตรองเพื่อให้ทราบว่ายังมีเวลาให้ท่านใช้ประโยชน์ได้อีกนิดหรือไม่?

อย่างไรเสียทั้งโลกก็ได้รับพรเพราะโมโรไนทำเช่นนั้น

2. จดจำหีบศิลา

replica of stone box with gold plates inside

ถ้าท่านตัดสินใจปลูกผลไม้ที่ท่านโปรดปรานในสวนหลังบ้าน ท่านจะต้องใช้ความอดทนมากขึ้นอีกนิด ถึงแม้จะปลูกเหมาะกับฤดูกาลและมีสภาพการเติบโตดีเลิศ แต่ท่านยังต้องรออีกสามสี่ปีจึงจะเด็ดผลไม้ผลแรกจากความพยายามของท่านได้

แต่สุดท้ายแล้วรอได้ใช่ไหม? สิ่งดีๆ มาถึงคนที่รอแน่นอน ถึงแม้ท่านกำลังปลูกต้นไม้ชนิดอื่นที่ใช้เวลาหลายสิบปี (เช่นต้นมะกอก) กว่าจะโตเต็มที่ แต่อย่างน้อยท่านก็มีความพอใจที่รู้ว่าลูกหลานของท่านจะได้ประโยชน์

อย่างไรก็ดี ความอดทนของเราเทียบกับโมโรไนไม่ได้ งานในชีวิตของบิดาท่านซึ่งกลายเป็นงานของโมโรไนหลังจากบิดาสิ้นชีวิตจะไม่ออกผลเร็ว ไม่ออกผลใน 10 ปี ไม่ออกผลในพันปี มอรมอนเขียนว่า “เรื่องเหล่านี้เขียนถึงพวกที่เหลืออยู่ของเชื้อสายแห่งยาโคบ … และจะซ่อนไว้กับพระเจ้าเพื่อจะออกมา ในเวลาอันเหมาะสมของพระองค์เอง” (มอรมอน 5:12; เน้นตัวเอน)

โมโรไนไม่ทราบเลยว่างานนี้จะออกมาเมื่อใดแต่ท่านคงพอจะรู้ว่าจะอีกนาน ท่านเห็นนิมิตเกี่ยวกับสมัยของเราและพยากรณ์ว่าจะมีสภาพบางอย่าง (ดู มอรมอน 8:35)

เรารู้แน่นอนว่าโมโรไนไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อประโยชน์ของครอบครัวท่านหรือเพื่อนหรือแม้แต่คนที่ท่านรู้จัก ในถ้อยคำบีบคั้นหัวใจที่สุดที่โมโรไนเขียน ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าอยู่คนเดียว. บิดาข้าพเจ้าถูกสังหารในการสู้รบ, และญาติพี่น้องข้าพเจ้าทั้งหมด, และข้าพเจ้าไม่มีเพื่อนทั้งไม่มีที่จะไป; และพระเจ้าจะทรงยอมให้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่นานเท่าใดข้าพเจ้าหารู้ไม่” (มอรมอน 8:5)

ท่านสูญเสีย ทุกคน ในครอบครัว เพื่อน ทุกคน อารยธรรม ทั้งหมด ของท่าน! และเมื่อท่านจบบันทึก ท่านสร้างหีบศิลาไว้เก็บบันทึกอันศักดิ์สิทธิ์ไม่ให้ถูกแสงแดดตอนกลางวันนานหลายร้อยปี

การดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรมสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในโลก บางครั้งเกลียวคลื่นเหล่านั้นใช้เวลาหลายรุ่นกว่าจะเห็นผลเต็มที่ แต่โมโรไนสอนเราว่าเราวางใจในจังหวะเวลาของพระผู้เป็นเจ้าได้เสมอ เราเพียงแต่ต้องทำส่วนของเรา

3. มองให้ถึงนิรันดรเสมอ

actor portraying Moroni walking alone through a field

ความเป็นจริงคือการทดลองเกิดขึ้น ชีวิตไม่ยุติธรรม และบางครั้งทุกอย่างเจ็บปวด ชีวิตยากเป็นพิเศษเมื่อเราคิดว่าเราผ่านการทดลองอย่างหนึ่งได้แล้วเพียงเพื่อให้ฝนดาวตกของความท้าทายอีกชุดซัดเรากลับลงไปบนพื้นอีกที

ไม่ว่าเรากำลังจัดการกับความวิตกกังวลหรือภาวะซึมเศร้า การสูญเสียคนรัก หรือความท้าทายอย่างอื่น บางครั้งการยึดมั่นศรัทธาและความหวังอาจจะน่าหวาดหวั่นมาก ในช่วงยากๆ เหล่านั้นเรามักจะคิดว่า “สถานการณ์จะแย่กว่านี้ได้อย่างไร?”

ข้อความดังกล่าวจริงสำหรับโมโรไน สถานการณ์ไม่น่าจะแย่กว่านี้อีกแล้วสำหรับท่านที่ใกล้ถึงจุดจบของชีวิต ในช่วงเวลายากๆ เมื่อรู้สึกเหมือนไม่มีเหตุผลให้เดินหน้าต่อไปหรือยึดมั่นความหวัง เราสามารถมองดูแบบอย่างศรัทธาอันไม่สั่นคลอนของโมโรไนในการเผชิญความหายนะมากขนาดนั้น

บางคนจะเรียกชีวิตของโมโรไนว่าน่าสลดใจ ถึงแม้ท่านเปี่ยมด้วยศรัทธา ท่านก็ยังสูญเสีย ทุกคน ที่ท่านรัก ท่านเป็นผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายของอารยธรรมทั้งหมดของท่าน ท่านต้องเขียนบันทึกของบิดาให้จบเพราะมอรมอนถูกสังหารก่อนมีโอกาสเขียนจบ ส่วนโมโรไนถูกชาวเลมันตามล่าและหนีเอาชีวิตรอดเมื่อท่านเขียนหนังสือพระคัมภีร์ของท่าน

ท่านนึกภาพออกหรือไม่ว่าสถานการณ์จะน่ากลัวและสิ้นหวังเพียงใด? ถ้ามีคนประสบการทดลองเหมือนโมโรไน พวกเขาอาจถูกล่อลวงให้ทิ้งศรัทธา ปฏิเสธพระคริสต์ และตำหนิพระบิดาบนสวรรค์สำหรับสภาวการณ์เลวร้ายของพวกเขา แต่โมโรไนไม่ทำเช่นนั้น

ท่านยึดมั่นจนถึงที่สุด (ดู โมโรไน 1:3) ท่านมองให้ถึงนิรันดรเสมอเพื่อช่วยท่านเผชิญความท้าทาย ท่านรู้ว่าอะไรจริงและรู้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับท่าน ตราบใดที่ท่านมีศรัทธาในพระผู้ช่วยให้รอดและวางใจพระบิดาบนสวรรค์ พรทั้งหมดที่สัญญากับท่านจะเกิดสัมฤทธิผลสักวันหนึ่งแน่นอน ท่านจะรอดโดยเดชานุภาพของพระเยซูคริสต์และพรแห่งการชดใช้ของพระองค์ (ดู โมโรไน 10)

นั่น เป็นประจักษ์พยานอันทรงพลัง

เมื่อสถานการณ์ดูเหมือนจะเลวร้ายไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เราสบายใจได้ในการมองให้ถึงนิรันดรเสมอและปลูกฝังศรัทธาเหมือนโมโรไน ถ้าทำเช่นนั้น เราได้รับสัญญาว่าเราจะสามารถ “ทำทุกสิ่งที่ [พระคริสต์] เห็นสมควร” (โมโรไน 10:23) เรารู้ได้ว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงอยู่กับเรา เราวางใจได้ว่าแผนแห่งความสุขของพระองค์จะเตรียมทางให้เราเอาชนะความโศกเศร้าทุกอย่างที่เราจะประสบในความเป็นมรรตัย และเราสามารถทำให้ตัวเราแวดล้อมไปด้วยแสงสว่าง ปีติ และพรของพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเยซูคริสต์

เมื่อเรามองให้ถึงนิรันดร เรามีเหตุผลให้หวัง เสมอ และเราวางใจได้ว่าสักวันหนึ่งเราทุกคนจะสามารถพูดได้ว่า “สถานการณ์จะดีกว่านี้ได้อย่างไร?”