การรับใช้ในศาสนจักร
เราจะช่วยท่านได้อย่างไร?
ผู้เขียนอาศัยอยู่ในรัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา
เมื่อเป็นผู้สอนศาสนาหนุ่ม ผมมักจะมองว่าการรับใช้เป็นสิ่งที่ต้องจัดตารางเวลามากกว่าที่จะให้เมื่อจำเป็น
ขณะเตรียมสอนบทเรียนการสังสรรค์ในครอบครัว ผมต้องการให้มุมมองบางอย่างกับลูกๆ เกี่ยวกับความเข้มงวดและความท้าทายในแต่ละวันของงานเผยแผ่ศาสนา ขณะเปิดสมุดบันทึกผู้สอนศาสนาของผมเพื่อหาตัวอย่างที่เหมาะสม ผมก็พบบทสรุปของวันที่ธรรมดามากๆ
อย่างแรก ผมกับคู่ไปหามาเรียซึ่งกำลังซักผ้าอยู่ “คุณกลับมาทีหลังในเช้านี้ได้ไหมคะ?” เธอถาม
เราไปหาผู้สนใจคนอื่น แต่เขากำลังหลับอยู่ เมื่อเรากลับมาที่บ้านของมาเรียเวลา 11.30 น. เธอยังคงซักผ้าไม่เสร็จ
ต่อมา เวลา 15:00 น. เรามีนัดกับผู้สนใจอีกคน เมื่อเราไปถึง เขากำลังทำจาระบีอยู่
“ตอนนี้ผมยุ่งมาก” เขาบอกกับเรา “พวกคุณกลับมาทีหลังได้ไหมครับ?”
เรากลับไปที่บ้านของมาเรีย แต่ตอนนี้เธอกำลังล้างจานอยู่ จากนั้นเราไปเยี่ยมผู้สนใจอีกคนชื่อจูเนียร์ เขายุ่งอยู่กับการทำอาหาร
“พรุ่งนี้ดีไหมครับ?” เขาถามเรา
ผมเขียนในบันทึกส่วนตัวว่า “เราพยายามวางแผนอย่างดี พยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อรักษาการนัดหมาย วางแผนสำรอง 2 และแผนสำรอง 3 เราสวดอ้อนวอนขอการดลใจ ต้องมีวิธีที่ใช้ได้มากกว่านี้ในการช่วยเหลือผู้คน”
เมื่อผมอ่านประสบการณ์เหล่านั้นซ้ำด้วยสายตาที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ผมก็หัวเราะคิกคัก บทเรียนที่ผมตั้งใจจะสอนเด็กๆ เกี่ยวกับการพัฒนาความสามารถในการปรับตัวเพื่อเผชิญความผิดหวังตอนนี้ดูเหมือนจะสำคัญน้อยกว่าบทเรียนที่ผมเพิ่งได้รับการสอนไป
คำวิงวอนอันน่าหงุดหงิดใจเมื่อ 30 ปีก่อนดูเหมือนเป็นเรื่องตลกสำหรับผมในตอนนี้ คำตอบสำหรับความหงุดหงิดใจของผมอยู่ในคำวิงวอนนั่นเอง เมื่อผมนึกถึงตัวเองสมัยเป็นเด็ก ผมรำพึงว่า “เอ็ลเดอร์แจ็คสัน จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณพยายามช่วยเหลือผู้คนด้วยการ ช่วยเหลือ พวกเขาในยามที่พวกเขาต้องการ?”
วันนี้หากผมกับคู่พบว่ามาเรียต้องเผชิญกับภาระในการซักผ้าและล้างจาน เราจะพูดว่า “เราจะช่วยคุณได้อย่างไร?”
วันนี้หากชายที่เรานัดพบกำลังยุ่งอยู่กับการทำจาระบี เราจะตะโกนถามว่า “คุณสอนเราได้ไหม? เรายินดีจะช่วยคุณ!”
วันนี้ถ้าเราพบว่าจูเนียร์ยุ่งกับการเตรียมอาหาร เราจะพูดว่า “เราพร้อมรับใช้คุณ! อยากให้เราทำอะไร?”
เมื่อเป็นผู้สอนศาสนาหนุ่ม ผมมักจะมองว่าการรับใช้เป็นสิ่งที่ต้องจัดตารางเวลามากกว่าที่จะให้เมื่อจำเป็น ปัจจุบัน ผมพยายามสอนผู้คนเกี่ยวกับความรักของพระเยซูคริสต์โดย แสดงให้พวกเขาเห็นถึงความรักของพระองค์