เลียโฮนา
การไหวของไฟอยู่ภายใน
พฤษภาคม 2024


13:28

การไหวของไฟอยู่ภายใน

พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยินทุกคำสวดอ้อนวอนของเราและทรงตอบทุกคำสวดอ้อนวอนตามเส้นทางที่ทรงกำหนดไว้เพื่อให้เราดีพร้อม

พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าเรียนรู้บทเรียนอันเจ็บปวดตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ยืนที่แท่นพูดนี้ในเดือนตุลาคมปี 2022 บทเรียนนั้นคือ: ถ้ากล่าวคำปราศรัยได้ไม่น่าพอใจ ก็อาจถูกห้ามไม่ให้มาการประชุมใหญ่อีกหลายครั้งต่อมา ท่านจะเห็นได้ว่าครั้งนี้ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายให้พูดในภาคแรกตอนต้นๆ แต่สิ่งที่ท่านไม่เห็นคือ ข้าพเจ้ายืนอยู่บนประตูกลที่มีสลักประตูบอบบางมาก ถ้าคำปราศรัยนี้ไม่เป็นไปด้วยดี ข้าพเจ้าก็จะไม่ได้พบท่านในการประชุมใหญ่อีกสองสามครั้ง

ในจิตวิญญาณของเพลงสวดอันไพเราะกับคณะนักร้องประสานเสียงอันไพเราะนี้ ข้าพเจ้า ได้ เรียนรู้บทเรียนบางอย่างเมื่อไม่นานมานี้ ด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้า และอยากแบ่งปันกับท่านวันนี้ ซึ่งจะทำให้คำปราศรัยนี้เป็นส่วนตัวมากๆ

ประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวและเจ็บปวดมากที่สุดจากเมื่อไม่นานมานี้ คือการที่แพต ภรรยาที่รักของข้าพเจ้าจากไป เธอ เป็น สตรีที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ข้าพเจ้ารู้จัก—เป็นภรรยาและมารดาที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งยังไม่ได้พูดถึงความสะอาดบริสุทธิ์ ของประทานแห่งการแสดงออก และความเข้มแข็งทางวิญญาณของเธอเลย เธอเคยพูดครั้งหนึ่งในหัวข้อ “ทำให้จุดประสงค์ของการสร้างตัวท่านเกิดสัมฤทธิผล” สำหรับข้าพเจ้า ดูเหมือนเธอได้ทำให้จุดประสงค์ของการสร้าง ตัวเธอ เกิดสัมฤทธิผลเกินกว่าใครจะคาดฝันว่าจะเป็นไปได้ เธอเป็นธิดาของพระผู้เป็นเจ้าอย่างสมบูรณ์ เป็นสตรีตัวอย่างของพระคริสต์ ข้าพเจ้าเป็นชายที่โชคดีที่สุดที่ได้ใช้เวลา 60 ปีในชีวิตกับเธอ หากข้าพเจ้าพิสูจน์ตนว่ามีค่าควร การผนึกของเราจะหมายความว่าข้าพเจ้าจะได้ใช้เวลานิรันดร์กับเธอ

ประสบการณ์อีกอย่างเกิดขึ้น 48 ชั่วโมงหลังจากพิธีฝังภรรยาข้าพเจ้า ในเวลานั้น ข้าพเจ้าต้องไปโรงพยาบาลด้วยอาการวิกฤติเฉียบพลัน จากนั้นช่วงสี่สัปดาห์แรกของหกสัปดาห์ที่นั่น ข้าพเจ้าก็เข้าๆ ออกๆ ห้องดูแลผู้ป่วยหนัก มีสติบ้าง หมดสติบ้าง

หลักๆ คือประสบการณ์ทั้งหมดของข้าพเจ้า ใน โรงพยาบาลช่วงแรกนั้นหายไปจากความทรงจำ แต่สิ่งที่ ไม่ หายไปคือความทรงจำถึงการเดินทาง นอก โรงพยาบาล ที่ดูเหมือนจะออกไปถึงขอบนิรันดร ข้าพเจ้าพูดไม่ได้เต็มที่ถึงประสบการณ์นั้นที่นี่ แต่บอกได้ว่าบางส่วนที่ได้รับเป็นคำตักเตือนให้กลับไปปฏิบัติศาสนกิจด้วยความรีบเร่งมากขึ้น อุทิศถวายมากขึ้น มุ่งที่พระผู้ช่วยให้รอดมากขึ้น มีศรัทธามากขึ้นในพระคำของพระองค์

ข้าพเจ้าอดรู้สึกไม่ได้ว่าตอนนั้นกำลังได้รับการเปิดเผยที่ประทานแก่อัครสาวกสิบสองเมื่อเกือบ 200 ปีที่แล้วในแบบที่เป็นส่วนตัวสำหรับตนเอง:

“เจ้าพึงกล่าวคำพยานถึงนามของเรา … [และ] ส่งคำของเราออกไปถึงสุดแดนแผ่นดินโลก. …

“… เช้าแล้วเช้าเล่า; และวันแล้ววันเล่าจงให้เสียงเตือนของเจ้าออกไป; และเมื่อกลางคืนมาถึง อย่าให้ผู้อยู่อาศัยของแผ่นดินโลกหลับใหล, เนื่องจากคำพูดของเจ้า …

“จงลุกขึ้น[,] … แบกกางเขนของเจ้า, [และ] ตามเรามา”

พี่น้องที่รักทั้งหลาย ตั้งแต่ประสบการณ์นั้น ข้าพเจ้าพยายามอย่างจริงจังมากขึ้นที่จะแบกกางเขนของตน ด้วยความมุ่งมั่นมากขึ้นที่จะค้นหาที่ซึ่งข้าพเจ้าสามารถเปล่งเสียงของอัครสาวกที่อบอุ่นและเตือนใจในยามเช้า ระหว่างวัน ไปจนถึงกลางคืน

เรื่องนี้นำข้าพเจ้าไปสู่ความจริง อย่างที่สาม ที่มาถึงข้าพเจ้าในช่วงหลายเดือนแห่งความสูญเสีย ความเจ็บป่วย และความทุกข์ คือการได้รับพยานอีกครั้งและความสำนึกคุณไม่สิ้นสุดถึงคำสวดอ้อนวอนที่แน่วแน่ของศาสนจักรนี้—คำสวดอ้อนวอนของท่าน—ที่ข้าพเจ้าเป็นผู้รับประโยชน์ ข้าพเจ้าจะสำนึกคุณชั่วนิรันดร์สำหรับคำวิงวอนของหลายพันคน ซึ่งเหมือนหญิงหม้ายผู้รบเร้า ที่แสวงหาความช่วยเหลือจากสวรรค์เพื่อข้าพเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้าพเจ้าได้รับพรฐานะปุโรหิต และเห็นชั้นเรียนมัธยมปลายของข้าพเจ้าอดอาหารให้เช่นเดียวกับวอร์ดหลายแห่งทั่วศาสนจักร และชื่อข้าพเจ้าน่าจะอยู่ในรายชื่อสวดอ้อนวอนออนไลน์ของพระวิหารทุกแห่งในศาสนจักร

ด้วยความสำนึกคุณอย่างลึกซึ้ง ข้าพเจ้าขอกล่าวเช่นเดียวกับจี. เค. เชสเตอร์ตัน ผู้ที่ครั้งหนึ่งกล่าวไว้ว่า “การขอบคุณเป็นรูปแบบสูงสุดของความคิด และ … การสำนึกคุณเป็นความสุขที่ทวีคูณด้วยความอัศจรรย์ใจ” ด้วย “ความสุขทวีคูณด้วยความอัศจรรย์” ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอบคุณทุกท่านและขอบพระทัยพระบิดาในสวรรค์ที่ทรงได้ยินคำสวดอ้อนวอนของท่านและประทานพรแก่ชีวิตข้าพเจ้า

พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยิน ทุก คำสวดอ้อนวอนที่เราทูลต่อพระองค์และทรงตอบทุกคำสวดอ้อนวอนตามเส้นทางที่ทรงกำหนดไว้เพื่อให้เราดีพร้อม ข้าพเจ้าตระหนักว่าในช่วงเวลาราวๆ เดียวกันที่หลายคนสวดอ้อนวอนเพื่อการฟื้นฟูสุขภาพข้าพเจ้า มีคนมากพอกัน—รวมถึงข้าพเจ้าเอง—ที่สวดอ้อนวอนเพื่อการฟื้นฟูสุขภาพของภรรยาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงเมตตาสงสารทรงได้ยิน และ ทรงตอบคำสวดอ้อนวอนทั้งสองนั้น แม้คำสวดอ้อนวอนเพื่อแพตจะ ไม่ได้ รับคำตอบอย่างที่ข้าพเจ้าขอ มีเหตุผลที่พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นทรงทราบว่าเหตุใดคำสวดอ้อนวอนจึงได้รับคำตอบต่างจากที่เราหวัง—แต่ข้าพเจ้าสัญญากับท่านว่าทรง ได้ยิน คำสวดอ้อนวอน และทรง ตอบ ตามความรักมั่นคงของพระองค์และตารางเวลาของจักรวาล

หากเรา “ทูลขอไม่ผิด” จะไม่มีขีดจำกัดว่าเมื่อใด ที่ใด หรือสิ่งใดที่เราควรทูลสวดอ้อนวอน ตามการเปิดเผยบอกว่าเราพึง “สวดอ้อนวอนเสมอ” อมิวเล็คกล่าวว่า เราพึงสวดอ้อนวอนเพื่อ “บรรดาคนที่อยู่รอบๆ ท่าน” ด้วยความเชื่อว่า “คำวิงวอนของ [ผู้คน] ชอบธรรมนั้นมีพลังมาก” เราควรออกเสียงคำสวดอ้อนวอนเมื่อเรามีความเป็นส่วนตัวที่จะทูลสวดอ้อนวอน หากไม่สามารถทำได้ ควรสวดอ้อนวอนในใจ เราร้องเพลงว่าคำสวดอ้อนวอนของเราคือ “การไหวของไฟอยู่ภายใน” พึงถวายแด่พระผู้เป็นเจ้าพระบิดาในพระนามของพระบุตรที่ถือกำเนิดองค์เดียวของพระองค์ตามที่พระผู้ช่วยให้รอดตรัสไว้

มิตรที่รัก การสวดอ้อนวอนคือโมงอันแสนหวานที่สุดของเรา คือสิ่งที่ “ดวงจิตต้องการ”ที่สุดของเรา คือการนมัสการที่บริสุทธิ์เรียบง่ายที่สุดของเรา เราควรสวดอ้อนวอนส่วนตัว ในครอบครัว และในที่ประชุมทุกขนาด เราต้องใช้การสวดอ้อนวอนเป็นเกราะป้องกันการล่อลวง และถ้าในเวลาใดที่เรารู้สึก ไม่อยาก สวดอ้อนวอน เรามั่นใจได้เลยว่าการลังเลเช่นนั้น ไม่ได้ มาจากพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงปรารถนาจะสื่อสารกับบุตรธิดาของพระองค์ทุกเวลาและตลอดเวลา แท้จริงแล้ว ความพยายามบางอย่างที่ขัดขวางเราจากการสวดอ้อนวอนมาจากปฏิปักษ์โดยตรง เมื่อเราไม่ทราบว่าควรสวดอ้อนวอนอย่างไรหรือเพื่ออะไรกันแน่ เราควรเริ่มสวดต่อไปจนกว่าพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะทรงนำทางเราไปสู่การสวดอ้อนวอนที่เราควรสวด เราอาจต้องใช้แนวทางนี้เมื่อสวดอ้อนวอนเพื่อศัตรูและคนที่ใช้เราอย่างดูหมิ่น

ท้ายที่สุดแล้ว เราสามารถทำตามแบบอย่างของพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงสวดอ้อนวอนบ่อยมากๆ แต่เป็นเรื่องน่าทึ่งสำหรับข้าพเจ้ามาโดยตลอดที่พระเยซูทรงรู้สึกว่าจำเป็นต้องสวดอ้อนวอน ทรงดีพร้อมไม่ใช่หรือ? ทรงจำเป็นต้องสวดอ้อนวอนเพื่ออะไร? ข้าพเจ้าตระหนักได้ว่าพระองค์เองก็ทรงต้องการเหมือนกับเราที่จะ “เชื่อพระวาที หาพระพักตร์ [พระบิดา] และวางใจพระปราณี” ครั้งแล้วครั้งเล่าพระองค์ทรงถอยออกมาจากสังคมเพื่อจะอยู่ตามลำพังก่อนจะแทรกผ่านสวรรค์ด้วยคำสวดอ้อนวอนของพระองค์ แต่บางทีก็ทรงสวดอ้อนวอนร่วมกับมิตรสหายสองสามคน จากนั้นจะทรงแสวงหาสวรรค์แทนฝูงชนที่มาอยู่กันเต็มไหล่เขา บางครั้งการสวดอ้อนวอนทำให้ฉลองพระองค์ส่องสว่าง บางครั้งทำให้พระพักตร์ทอแสง บางครั้งทรงยืนขึ้นสวดอ้อนวอน บางครั้งทรงคุกเข่า และอย่างน้อยที่สุดมีครั้งหนึ่งที่ซบพระพักตร์ลงสวดอ้อนวอน

ลูกาบรรยายถึงการเสด็จลงสู่การไถ่บาปของพระเยซูว่าทำให้พระองค์ยิ่งต้องสวดอ้อนวอน “อย่างจริงจัง” ผู้ที่ดีพร้อมจะยิ่งสวดอ้อนวอนอย่างจริงจังอย่างไรกัน? เราถือว่าคำสวดอ้อนวอนทั้งหมดของพระองค์ตั้งใจจริง แต่ในการทำให้การพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้เกิดสัมฤทธิผลและโดยผ่านความเจ็บปวดที่มากับการส่งผลถึงทุกคนของการชดใช้ ทรงรู้สึกว่าควรสวดด้วยใจวิงวอนมากกว่าที่เคย ในที่สุดด้วยความหนักหน่วงของคำสวดอ้อนวอนนั้น ทำให้พระโลหิตออกมาจากทุกรูขุมขน

ในบริบทของชัยชนะเหนือความตายของพระคริสต์และของประทานเมื่อเร็วๆ นี้ที่ทรงให้ข้าพเจ้าได้มีชีวิตอยู่อีกสองสามเดือนหรือสัปดาห์ ข้าพเจ้ากล่าวคำพยานอย่างจริงจังถึงความเป็นจริงของชีวิตนิรันดร์และความจำเป็นที่เราต้องวางแผนจริงจังสำหรับสิ่งนั้น

ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าเมื่อพระคริสต์เสด็จมา พระองค์จำเป็นต้องจำเราได้—ไม่ใช่ในฐานะสมาชิกที่มีชื่ออยู่ในบันทึกบัพติศมาที่เลือนราง แต่ในฐานะสานุศิษย์ผู้ผูกมัดตนเต็มที่ เชื่อด้วยศรัทธาเต็มเปี่ยม และรักษาพันธสัญญา นี่เป็นเรื่องเร่งด่วนสำหรับเราทุกคน มิฉะนั้นเราจะได้ยินด้วยความเสียใจอันน่าเศร้าว่า: “เราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย” หรือดังที่โจเซฟ สมิธแปลประโยคนั้นว่า “[พวกเจ้า] ไม่เคยรู้จักเราเลย”

โชคดีที่เราได้รับความช่วยเหลือในงานนี้—มากมายทีเดียว เราจำเป็นต้องเชื่อในเทพและปาฏิหาริย์และในสัญญาของฐานะปุโรหิตศักดิ์สิทธิ์ เราจำเป็นต้องเชื่อในของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ อิทธิพลของครอบครัวและเพื่อนที่ดี และพลังความรักอันบริสุทธิ์ของพระคริสต์ เราจำเป็นต้องเชื่อในการเปิดเผยและศาสดาพยากรณ์ผู้หยั่งรู้และผู้เปิดเผยและในประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน เราจำเป็นต้องเชื่อว่าด้วยการสวดอ้อนวอนและการวิงวอน รวมทั้งความชอบธรรมส่วนตัว ทำให้เราสามารถปีนขึ้น “ภูเขาไซอัน, … เมืองของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์, สถานที่แห่งสวรรค์, ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในบรรดาสถานที่ทั้งปวง” ได้จริงๆ

พี่น้องทั้งหลาย เมื่อเรากลับใจจากบาปและมายัง “พระที่นั่งแห่งพระคุณ” อย่างกล้าหาญ ถวายคำวิงวอนจากใจเบื้องพระพักตร์พระองค์ เราจะพบพระเมตตาและการให้อภัยจากพระหัตถ์อันกรุณาของพระบิดานิรันดร์ และพระบุตรผู้เชื่อฟังและบริสุทธิ์หมดจด จากนั้น พร้อมกับโยบและผู้ซื่อสัตย์ทุกคนที่ได้รับการถลุงแล้ว เราจะเห็นโลกที่ “อัศจรรย์เกินกว่า” จะเข้าใจได้ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน