เลียโฮนา
เอ็ลเดอร์แพทริก เคียรอน: ได้รับการเตรียมและเรียกโดยพระเจ้า
พฤษภาคม 2024


“เอ็ลเดอร์แพทริก เคียรอน: ได้รับการเตรียมและเรียกโดยพระเจ้า,” เลียโฮนา, พ.ค. 2024

การเรียกใหม่

เอ็ลเดอร์แพทริก เคียรอน: ได้รับการเตรียมและเรียกโดยพระเจ้า

พระเจ้าทรงเตรียมเอ็ลเดอร์เคียรอนในวิธีพิเศษและประสาทพรท่านด้วยของประทานฝ่ายวิญญาณมากมายที่จะช่วยให้ท่านเป็นพรแก่ผู้อื่นในการเรียกอันศักดิ์สิทธิ์ในฐานะพยานพิเศษ “ถึงพระนามของพระคริสต์ในทั่วโลก”

เอ็ลเดอร์แพทริก เคียรอน

วันเสาร์วันหนึ่งหลายปีหลังจากได้รับเรียกเป็นสาวกเจ็ดสิบเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ เอ็ลเดอร์แพทริก เคียรอนกับเจนนิเฟอร์ภรรยาท่านกำลังเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ตขณะที่เอ็ลเดอร์ดับเบิลยู. โรล์ฟ เคอร์กับจานีลภรรยาท่านกำลังออกจากซูเปอร์มาร์เก็ต พวกเขาพูดคุยกันสั้นๆ จากนั้นเอ็ลเดอร์และซิสเตอร์เคอร์มุ่งหน้าไปที่รถ

มีชายคนหนึ่งมาหาเอ็ลเดอร์เคียรอนเกือบจะทันทีและถามท่านด้วยความตื่นเต้นว่า “คนที่คุณพูดด้วยเมื่อสักครู่นี้คือเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ใช่ไหมครับ?” เอ็ลเดอร์เคียรอนตอบว่า “ใช่ครับ คนนั้นคือเอ็ลเดอร์ดับเบิลยู. โรล์ฟ เคอร์ แห่งสาวกเจ็ดสิบ” ชายคนนั้นพยักหน้า มองเอ็ลเดอร์เคียรอนโดยที่ไม่รู้ว่าท่านเป็นใครและพูดว่า “คุณดูออกได้ เสมอ ใช่ไหมครับว่าใครเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่?” แล้วชายคนนั้นก็รีบจากไป

“ผมชอบเรื่องนี้เพราะนั่นสื่อถึงความรู้สึกของผม” เอ็ลเดอร์เคียรอนกล่าวพลางยิ้ม “ทุกวันนี้ผมอาจมีประสบการณ์เช่นเดิม และชายคนนั้นคงแยกผมไม่ออกจากฝูงชนว่าผมเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่”

อารมณ์ขันแบบไม่ให้ความสำคัญกับตนเองและความอ่อนน้อมถ่อมตนของเอ็ลเดอร์เคียรอนทําให้ท่านเป็นที่รักของคนที่รู้จักท่านหรือมีโอกาสรับใช้กับท่าน เอ็ลเดอร์เคียรอนได้รับเรียกและแต่งตั้งเป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 2023 ท่านรู้ว่าการเรียกใหม่เป็นเรื่องเกี่ยวกับท่านน้อยกว่าเกี่ยวกับงานต่อเนื่องของพระเจ้า

“เราทุกคนล้วนจะได้เป็นส่วนหนึ่งในงานของพระองค์” ท่านกล่าว “โดยช่วยให้ผู้คนรู้สึกถึงแสงสว่าง ความรัก และความห่วงใยของพระองค์ สิ่งที่พระองค์ทรงต้องการให้เราทําในฐานะสมาชิกศาสนจักรของพระองค์คือเป็นพรแก่ชีวิตผู้อื่น”

พระเจ้าทรงเตรียมเอ็ลเดอร์เคียรอนในวิธีพิเศษและประสาทพรท่านด้วยของประทานฝ่ายวิญญาณมากมายที่จะช่วยให้ท่านเป็นพรแก่ผู้อื่นในการเรียกอันศักดิ์สิทธิ์ในฐานะพยานพิเศษ “ถึงพระนามของพระคริสต์ในทั่วโลก” (หลักคําสอนและพันธสัญญา 107:23) เอ็ลเดอร์เคียรอนเป็นผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสศาสนจักรเมื่ออายุ 26 ปีและเป็นสมาชิกศาสนจักรเพียงคนเดียวในบรรดาพี่น้องของท่าน เอ็ลเดอร์เคียรอนเป็นชายที่มีความเห็นอกเห็นใจอย่างลึกซึ้งผู้รู้วิธีฟัง เชื่อมสัมพันธ์ และปลอบโยนบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้า ท่านมีจิตกุศลโดยธรรมชาติและพบปีติในการรับใช้ ด้วยประสบการณ์ที่อ่อนโยนและการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ท่านเป็นพยานว่าพระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์ทรงมอบพิมเสนเยียวยาและจะทรงทําให้ทุกอย่างถูกต้องผ่านการชดใช้ของพระองค์สักวันหนึ่ง

เอ็ลเดอร์เคียรอนเป็นสานุศิษย์ที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์ผู้วางใจในพระเจ้า ท่านเป็นผู้นําที่ทําตามได้ง่ายเพราะท่านอุทิศตนในการติดตามพระผู้ช่วยให้รอดและนําผู้คนมาหาพระองค์

“พระเจ้า” ประธานเจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์ รักษาการประธานโควรัมอัครสาวกสิบสองกล่าว “ทรงนําแพทริกสู่ตําแหน่งที่ท่านดํารงอยู่เวลานี้”

บิดามารดาผู้เปี่ยมด้วยความรักและอุทิศตน

แพทริก เคียรอนเกิดในเมืองคาร์ไลล์ คัมเบรีย ทางภาคเหนือของอังกฤษเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1961 เป็นบุตรของแพดดีกับแพทริเซีย เคียรอน เมื่อบิดามารดาท่านพบกัน พวกท่านรับราชการในกองทัพอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง—มารดาของท่านเป็นพยาบาลกองทัพในอินเดียและพม่าและบิดาของท่านทํางานในกองทัพอากาศหลวง (RAF) ประจําการในฝรั่งเศส แอฟริกาเหนือ ซิซิลี และอิตาลี

บิดามารดาของเอ็ลเดอร์แพทริก เคียรอน

เอ็ลเดอร์เคียรอนระลึกถึงแพดดีกับแพทริเซียบิดามารดาของท่านสําหรับชีวิตที่เป็นแบบอย่างของการอุทิศตน การรับใช้ และการเสียสละ

แม้บิดามารดาของท่านเป็นคนที่ไม่เข้าโบสถ์ แต่พวกท่านดําเนินชีวิตด้วยการอุทิศตนในครอบครัว การรับใช้ และการเสียสละซึ่งสร้างความประทับใจไม่รู้ลืมให้กับแพทริก ลูกคนสุดท้องในบรรดาลูกทั้งห้าคน ท่านจําได้ว่าแพทเป็น “มารดาที่พิเศษ” ผู้เปี่ยมด้วยความรัก ชี้นําอย่างอ่อนโยน เป็นแบบอย่างโดยส่วนใหญ่ และไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์ใคร เธอเป็นคนใจกว้าง มั่นคง และสมดุลอย่างน่าทึ่ง และท่านจําแพดดีได้เพราะ “ความกระตือรือร้น ความเมตตา และความอบอุ่นอย่างเปิดเผยของคุณพ่อ ความรักที่ท่านมีต่อ … ทะเลทรายแห้งแล้งของอาระเบีย [และ] เนินเขาที่เขียวขจีของอังกฤษและไอร์แลนด์ ตลอดจนความหลงใหลในท้องฟ้า แสงแดด และทะเล ข้าพเจ้าสามารถรับรู้ถึงอิทธิพลของท่านได้อย่างชัดเจนจากความปรารถนาของตนที่จะออกไปข้างนอก ในที่โล่งแจ้ง ในอากาศ และแสงแดด”

หลังจากรับราชการ RAF บิดาของเอ็ลเดอร์เคียรอนไปทํางานเป็นเจ้าหน้าที่สัญญาจ้างด้านการป้องกันในซาอุดีอาระเบีย แพทริกวัยเจ็ดขวบเรียนรู้บทเรียนสําคัญเกี่ยวกับการเชื่อฟัง ซึ่งท่านเล่าอย่างน่าจดจำในคําปราศรัยการประชุมใหญ่สามัญครั้งแรกของท่านในฐานะเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ ท่านไม่ใส่ใจคําแนะนําของบิดามารดาให้สวมรองเท้าหุ้มส้นระหว่างการเดินทางตั้งแคมป์ในทะเลทรายโดยสวม “รองเท้าแตะ” ขณะออกไปสํารวจรอบๆ และทนทุกข์ทรมานกับเหล็กไนของแมงป่องที่ฝังอยู่ในหลังเท้าของท่าน

แพทริก เคียรอนสมัยเด็ก

แพทริก เคียรอนสมัยเด็กในซาอุดีอาระเบีย

สามปีต่อมา แพทริกวัยหนุ่มพบว่าตนอยู่ในโรงเรียนประจำในอังกฤษ รู้สึกโดดเดี่ยวคิดถึงบิดามารดาอย่างยิ่ง ซึ่งมีเพียงจดหมายให้กําลังใจจากพวกท่านที่ทําให้ท่านโดดเดี่ยวน้อยลง

“เมื่อเปรียบเทียบแล้ว เป็นเรื่องง่ายสําหรับแฮร์รีย์ พอตเตอร์เมื่ออยู่ที่ฮอกวอตส์ แต่สําหรับข้าพเจ้า การอยู่ที่โรงเรียนประจําเป็นเรื่องยาก” ท่านกล่าว “ข้าพเจ้ากลับบ้านได้เฉพาะช่วงคริสต์มาส อีสเตอร์ และฤดูร้อน ข้าพเจ้าทําปฏิทินกระดาษเล็กๆ ขีดเส้นเมื่อผ่านแต่ละวัน นับวันถอยหลังจนกว่าจะได้กลับไปหาครอบครัว”

สองสามปีต่อมา ขณะแพทริกอยู่โรงเรียนประจําแห่งที่สองในอังกฤษ มีพายุรุนแรงพัดมาจากทะเลไอริช ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมบ้านเรือน 5,000 หลังในพื้นที่โดยรอบ แพทริกและเพื่อนร่วมชั้นของท่านถูกเรียกให้ช่วยทําความสะอาดครั้งใหญ่

“ข้าพเจ้ายังจําน้ำหนักและความเหม็นของพรมที่เปียกโชกได้ทั้งหมด” ท่านกล่าว “แต่ข้าพเจ้าจําได้ถึงความมุมานะและทํางานให้เสร็จกับเพื่อนๆ ที่โรงเรียน และข้าพเจ้าจําได้ถึงผู้คนและความสํานึกคุณของพวกเขา”

ประสบการณ์นั้นอาจเป็นครั้งแรกที่เอ็ลเดอร์แพทริกเห็นพรร่วมกันของการให้และรับการรับใช้ ต่อมา ท่านตระหนักว่าความรู้สึกไม่มั่นคงสมัยเป็นวัยรุ่นหายไปสิ้น “ขณะพยายามช่วยเหลือเพื่อนบ้านในครั้งนี้”

หลังจากเรียนมัธยมปลาย แพทริกกลับไปซาอุดีอาระเบีย ซึ่งท่านเริ่มการฝึกอบรมด้านการจัดการกับกลุ่มบริษัทอาหารและเครื่องดื่มนานาชาติ ประสบการณ์นั้นเริ่มต้นงานของท่านในหลายธุรกิจ ซึ่งท้ายที่สุดได้เป็นที่ปรึกษาด้านการสื่อสารในอังกฤษกับซิสเตอร์เคียรอน

“โลกของข้าพเจ้ากลับตาลปัตร”

เมื่อแพทริกอายุ 19 ปี ท่านสูญเสียบิดาและพี่เขยจากอุบัติเหตุทางรถยนต์อันน่าสลดใจในซาอุดีอาระเบีย “โลกของข้าพเจ้ากลับตาลปัตรเพราะการสูญเสียของพวกเขา” ท่านกล่าว มือที่ชี้นํา กําลังใจที่เปี่ยมด้วยความรัก และทัศนะอันเปี่ยมปีติของบิดาท่านหายไปแล้ว โดยที่ถูกครอบงําด้วยความโศกเศร้าและความว่างเปล่าอยู่ช่วงหนึ่ง แพทริกกลับบ้านที่อังกฤษกับมารดาแต่กลับไปทํางานในซาอุดีอาระเบียในท้ายที่สุด

“ข้าพเจ้ามีโอกาสอันมีค่าทุกประการในการเรียนรู้ เติบโต และดูว่าธุรกิจเป็นอย่างไร” ท่านกล่าว ท่านสํานึกคุณเป็นพิเศษต่อ “เจ้านายที่ยอดเยี่ยมที่ช่วยฝึก ชี้นําข้าพเจ้า และกลายเป็นเพื่อนรัก เขาเป็นหนึ่งในคนแบบพ่อหลายคนที่ข้าพเจ้าได้รับพรตั้งแต่คุณพ่อของข้าพเจ้าเสียชีวิต”

ต่อมาขณะทํางานในลอนดอน แพทริกพบสมาชิกบางคนของศาสนจักร

“พวกเขาเป็นแบบอย่างที่ยอดเยี่ยมของศรัทธาเรา” ท่านเล่า “คนหนึ่งมาจากแคลิฟอร์เนีย ข้าพเจ้าไปอยู่กับครอบครัวนั้นขณะทํางานที่นั่น”

ประสบการณ์นั้นทําให้แพทริกมีรากฐานที่ยอดเยี่ยมของการเข้าใจศาสนจักร ท่านซาบซึ้งใจกับปีติที่ครอบครัวพบในการรับใช้ แต่ท่านมีคําถามมากมายเกี่ยวกับหลักคําสอนและความเชื่อของศาสนจักร อย่างไรก็ตาม สองปีต่อมาในอังกฤษ ท่านพบ “ผู้สอนศาสนาที่น่าประทับใจ” บางคนบนถนนในลอนดอน หลังจากสนทนาพระกิตติคุณกับพวกเขาหลายเดือนและพวกเขาบอกท่านว่าท่านไม่ก้าวหน้าที่จะรับบัพติศมา พวกเขาถามว่าท่านต้องการพรหรือไม่

“ข้าพเจ้าตกลงรับพรจากผู้สอนศาสนาอาวุโสที่ข้าพเจ้ารู้จัก” ท่านเล่า “ความรู้สึกระหว่างพรนั้นเป็นช่วงเวลาสําคัญในการเปลี่ยนใจเลื่อมใสของข้าพเจ้า เป็นความรู้สึกถึงแสงสว่าง ปีติ และสันติสุขที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยและไม่สามารถพรรณนาได้ ถ้อยคําของการให้พรได้รับการดลใจและแม่นยําอย่างไม่ต้องสงสัย”

ประสบการณ์นั้นควบคู่กับ “อีกหลายเรื่องในความก้าวหน้าของข้าพเจ้าที่จะรับบัพติศมา” นําแพทริกไปสู่ประจักษ์พยานถึงพระผู้ช่วยให้รอดและศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟูของพระองค์ สองเดือนต่อมา ในวันคริสต์มาสอีฟปี 1987 ท่านรับบัพติศมาเป็นสมาชิกศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย

สําหรับคนที่แสวงหาประจักษ์พยาน เอ็ลเดอร์เคียรอนกล่าวว่า: “จงเลือกศรัทธา และตอบรับคําเชื้อเชิญใน แอลมา 32 ทําตามความรู้สึกทางวิญญาณของท่าน สิ่งเหล่านั้นจะนําทางท่าน และท่านจะรู้”

“บ่อเกิดของความเข้มแข็ง”

สองปีหลังจากบัพติศมา แพทริกเข้าวอร์ดหนุ่มสาวโสดในลอนดอนเมื่อท่านพบเจนนิเฟอร์ ฮุลเมนักศึกษามหาวิทยาลัยบริคัมยังก์จากซาราโทกา แคลิฟอร์เนีย เจนนิเฟอร์มาลอนดอนเป็นเวลาหกเดือนเพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ศิลปะและวรรณกรรมอังกฤษ เธอเป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาลูกแปดคนและเติบโตในศาสนจักร

แพทริกสะดุดตาเธอเกือบจะทันที

“เมื่อดิฉันเห็นเขาปฏิสัมพันธ์กับคนในวอร์ด ดิฉันเห็นวิธีที่เขาปฏิบัติต่อคนเหล่านั้น” เจนนิเฟอร์กล่าวถึงแพทริก “ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกใหม่ สมาชิกที่กลับมา คนที่กําลังประสบปัญหา หรือคนที่เป็นเพื่อนสนิท เขาปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความรักและความสนใจที่จริงใจแบบเดียวกัน คุณสมบัตินั้นดึงดูดใจดิฉันอย่างแรก ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดิฉันเห็นเขาพัฒนา และพระผู้เป็นเจ้าทรงใช้ให้เกิดประโยชน์ตลอด 33 ปีที่เราแต่งงานกัน”

เอ็ลเดอร์และซิสเตอร์เคียรอน

ความรักและความเคารพที่เอ็ลเดอร์และซิสเตอร์เคียรอนมีต่อกันช่วยให้พวกท่านทํางานเป็นหนึ่งเดียวกันในศรัทธา

หลังจากคบหากัน ทั้งคู่แต่งงานกันในพระวิหารโอกแลนด์ แคลิฟอร์เนียเมื่อเดือนมกราคมปี 1991 จากนั้นพวกท่านเลี้ยงดูครอบครัวในอังกฤษเป็นเวลา 19 ปีจนกระทั่งเอ็ลเดอร์เคียรอนได้รับเรียกเป็นสาวกเจ็ดสิบเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ปี 2010 หลังจากรับใช้ในการเรียกเป็นผู้นําหลายตําแหน่ง อาทิ ประธานสเตคและสาวกเจ็ดสิบภาค ท่านกําลังรับใช้เป็นประธานอาวุโสของสาวกเจ็ดสิบเมื่อท่านได้รับเรียกสู่โควรัมอัครสาวกสิบสอง

เอ็ลเดอร์เคียรอนกล่าวว่าภรรยาของท่านเป็นสานุศิษย์ที่ซื่อสัตย์ผู้รู้อัตลักษณ์ที่แท้จริงของตน “เธอดําเนินชีวิตอย่างมีความสุข คิดบวก สร้างสรรค์ ช่วยเหลือ และเปี่ยมปีติโดยมีพระผู้ช่วยให้รอดเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง เธอเป็นบ่อเกิดของความเข้มแข็งและพรมากมายสําหรับข้าพเจ้าตั้งแต่วินาทีที่เราพบกัน”

ซูซานนาห์บุตรสาวคนที่สองของทั้งคู่บอกว่ามารดาของเธอชอบที่จะเสียสละ: “ท่านมีชีวิตชีวาและแสงสว่าง และหลงใหลในพระกิตติคุณ” และเช่นเดียวกับบิดาของเธอ มารดาของเธอเป็น “ผู้ฟังที่ดีเยี่ยม”

ซูซานนาห์กับพี่น้องของเธอกล่าวว่าความรักและความเคารพที่บิดามารดามีต่อกันทําให้พวกท่านเป็นหนึ่งเดียวกันในศรัทธาเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน พวกเขาฟังซึ่งกันและกัน เคารพ ชื่นชมความคิดและความเห็นของกันและกัน

เอ็มมา บุตรสาวคนสุดท้องของทั้งคู่กล่าวว่าความปรองดองในความสัมพันธ์ของบิดามารดาเธอและความรักที่มีต่อลูกๆ “ทำให้สภาพแวดล้อมในบ้านมีความสุขและปลอดภัยมาก”

ลิซซี่ เคียรอน สตาเฮลี บุตรคนโตพูดถึงบิดาของเธอว่า: “คุณพ่อมองดูผู้คนด้วยสายตาเหมือนพระคริสต์ ท่านมักจะกระตือรือร้นที่จะให้กำลังใจและให้พลังผู้คน ท่านเห็นศักยภาพในตัวทุกคน ไม่ว่าสภาวการณ์ของพวกเขาจะเป็นอย่างไร”

เอ็มมาเสริม: “คุณพ่อเปี่ยมด้วยศรัทธาและชื่นชอบปีติที่พระกิตติคุณนํามาให้ท่าน การค้นพบพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูเมื่อเป็นผู้ใหญ่ ท่านจึงเห็นคุณค่าความแตกต่างในชีวิตของคนๆ หนึ่งอันเป็นบ่อเกิดของความสว่างและปีติ”

ครอบครัวของเอ็ลเดอร์และซิสเตอร์เคียรอน

เอ็ลเดอร์เคียรอนเรียกบุตรสาวของท่าน—ลิซซี่ (ภาพกับโจนาธานผู้เป็นสามี) ซูซานนาห์ และเอ็มมา—“แสงสว่างที่สวยงามที่สุดในชีวิตเรา ทรัพย์สมบัติล้ำค่าที่สุดของเรา”

จีน บี. บิงแฮม อดีตประธานสมาคมสงเคราะห์สามัญอธิบายว่าเอ็ลเดอร์เคียรอนสงบนิ่งภายใต้แรงกดดัน ท่านจําช่วงเวลาที่เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสอง เอ็ลเดอร์เคียรอน และท่านอื่นๆ พบว่าตนติดอยู่ต่างประเทศระหว่างการจลาจลทางการเมือง ภายใต้การกํากับดูแลของเอ็ลเดอร์เบดนาร์ เอ็ลเดอร์เคียรอนใช้โทรศัพท์ดาวเทียมหลายชั่วโมงทํางานกับเจ้าหน้าที่ในท้องที่และตัวแทนศาสนจักรเพื่อหาทางให้พวกเขาออกจากประเทศ

“อุปนิสัยที่สงบนิ่ง ความพยายามที่แน่วแน่ และความคิดที่ได้รับการดลใจของท่านนํามาซึ่งวิธีแก้ปัญหาที่ช่วยให้เราออกเดินทางได้อย่างปลอดภัย” ซิสเตอร์บิงแฮมกล่าว

ในเดือนธันวาคมปี 2021 ครอบครัวตกใจเมื่อทราบว่าแพทย์วินิจฉัยว่าซิสเตอร์เคียรอนเป็นมะเร็งเต้านม

“ดิฉันไม่เคยคิดว่ามะเร็งจะส่งผลต่อดิฉันหรือเรา” ซิสเตอร์เคียรอนกล่าว เธอถือว่านั่นเป็นการรักษาที่ยากมาก แต่พระผู้ช่วยให้รอดทรงเป็นบ่อเกิดความเข้มแข็งของเธอในการผ่านพ้นทั้งหมดนั้น “ดิฉันยังรับเคมีบําบัดด้วยยาชนิดรับประทาน แต่ดิฉันสํานึกคุณที่จะบอกว่าดิฉันปลอดมะเร็งเท่าที่แพทย์บอก”

เอ็ลเดอร์เคียรอนกล่าว: “เจนแน่วแน่และซื่อสัตย์อย่างไร้ที่ติมาโดยตลอด เราน้อมขอบพระทัยทุกวันสําหรับสุขภาพของเธอ และเราขอบพระทัยสําหรับการดูแลที่เธอได้รับเป็นพิเศษ”

เช่นเดียวกับการทดลองอื่นๆ ที่เธอกับสามีประสบ ซิสเตอร์เคียรอนกล่าวว่า “ชีวิตมอบสิ่งที่เราไม่ต้องการทํา เราไม่ชอบการทดลอง เราไม่ได้ขอให้เกิดขึ้น แต่เราต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านั้น วิธีดีที่สุดที่จะจัดการกับสิ่งต่างๆ ที่ยากคือหันไปหาพระเจ้าและทูลขอความเข้มแข็งจากพระองค์ วางศรัทธาของเราในพระเยซูคริสต์ ในพระคุณและเดชานุภาพของพระองค์ นานมาแล้วที่ดิฉันเรียนรู้มากมายเกี่ยวกับวิธีที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงช่วยเราในช่วงเวลามืดมิดที่สุดและลึกที่สุด”

เอ็ลเดอร์และซิสเตอร์เคียรอนได้รับความรู้ศักดิ์สิทธิ์นั้นหลังจากที่ฌอนบุตรคนแรกเกิด

“ศิลาแห่งการชดใช้ของพระเยซูคริสต์”

ช่วงการตั้งครรภ์ครั้งแรกของซิสเตอร์เคียรอน ทั้งคู่รับทราบแต่เนิ่นๆ จากการตรวจอัลตราซาวด์ว่าบุตรชายตัวน้อยของพวกท่านมี “มีความยากลำบากด้านหัวใจที่ผิดปกติ ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต” เอ็ลเดอร์เคียรอนกล่าว “เราใช้เวลาในการตั้งครรภ์ที่เหลือตามหาแพทย์ แพทย์โรคหัวใจ และศัลยแพทย์หัวใจที่เก่งที่สุดที่พร้อมจะแก้ปัญหาเฉพาะด้านของเขา เราพบทีมแพทย์ระดับโลกในลอนดอน และพวกเขามั่นใจว่าพวกเขาสามารถแก้ปัญหาได้”

ศัลยแพทย์ผ่าตัดฌอนเมื่อเขาอายุ 19 วัน การผ่าตัดยาวนานและน่าเจ็บปวด หลังจากนั้น เอ็ลเดอร์เคียรอนกล่าว “ใจเล็กๆ ของฌอนหยุดเต้น เราจึงเสียเขาไป การสูญเสียเขาช่างเจ็บปวดยิ่งนัก นี่ไม่ใช่ผลที่เราได้อดอาหาร สวดอ้อนวอน และวิงวอน แต่เรารู้ว่าพระหัตถ์แห่งสวรรค์อยู่ในประสบการณ์นั้น”

ซิสเตอร์เคียรอนกล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรงนําเราผ่านช่วงหลายเดือนของการตั้งครรภ์และชีวิตอันสวยงามที่แสนสั้นของลูกชายในแบบที่เรารู้ว่าเราได้ทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อเขาจนถึงที่สุดแล้ว นั่นเป็นการปลอบโยนอย่างยิ่ง”

การเยียวยามาจากความเข้าใจเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการชดใช้และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระผู้ช่วยให้รอดที่ซิสเตอร์เคียรอนได้รับจากการศึกษา 1 นีไฟและ 2 นีไฟอย่างลึกซึ้ง “ในความโศกเศร้าท่ามกลางการสูญเสีย ดิฉันรู้สึกเหมือนอยู่ในหลุมดํา” เธอกล่าว “กระนั้น ครั้งแล้วครั้งเล่า ศิลาแห่งการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ฉุดดิฉันขึ้นมา—นั่นเป็นความจริง พระคุณของพระองค์ การทรงพระชนม์อยู่จริงของพระองค์ทําให้เราอดทนอดกลั้นและมีความหวังท่ามกลาง การสูญเสียอันเจ็บปวดที่สุด”

การเยียวยามาจากการเกิดของบุตรสาวสามคนของพวกท่าน “พวกเขานําการเยียวยามา” เอ็ลเดอร์เคียรอนกล่าว “พวกเขาเป็นแสงสว่างที่สวยงามที่สุดในชีวิตเรา เป็นทรัพย์สมบัติล้ำค่าที่สุดของเรา”

การเยียวยามาจากถ้อยคําของผู้นําศาสนจักรที่ได้รับการดลใจ รวมถึงคําปราศรัยการประชุมใหญ่สามัญของเอ็ลเดอร์แลนซ์ บี. วิคแมน ซึ่งเอ็ลเดอร์วิคแมนเล่าถึงความเจ็บปวดที่ต้องเดินไปตามทางเดินในโรงพยาบาลที่ว่างเปล่าขณะบุตรชายตัวน้อยของท่านนอนเสียชีวิตด้วยโรคในเด็ก “เอ็ลเดอร์วิคแมนสอนว่า ‘ถ้าเชื่อจะเห็น’ และศรัทธาคือการวางใจในพระเจ้า” เอ็ลเดอร์เคียรอนกล่าว “คําปราศรัยของท่านมีค่าต่อข้าพเจ้ามากเพราะท่านเข้าใจประสบการณ์เช่นนั้นอย่างแจ้งชัด และมีค่ามากขึ้นตามจํานวนครั้งที่ข้าพเจ้าอ่านและรับฟัง”

และการเยียวยามาจากการปฏิบัติศาสนกิจต่อผู้อื่นในการสูญเสีย—ไม่ว่าพวกเขาเป็นผู้ลี้ภัยในยุโรป ผู้ถูกกระทําทารุณกรรมหรือถูกกดขี่ หรือบรรดาผู้นําศาสนจักรอย่างเอ็ลเดอร์พอล วี. จอห์นสันแห่งฝ่ายประธานโควรัมสาวกเจ็ดสิบ ผู้สูญเสียบุตรสาวที่เป็นมะเร็งสองเดือนก่อนเข้าร่วมกับเอ็ลเดอร์เคียรอนในฝ่ายประธานภาคยุโรปในปี 2015

“ท่านกับซิสเตอร์เคียรอนช่วยเราในช่วงเวลาที่โศกเศร้าและเยียวยาได้อย่างดีเยี่ยม” เอ็ลเดอร์จอห์นสันกล่าว “พวกท่านรับรู้สถานการณ์ของเราเป็นอย่างมาก ข้าพเจ้ารักพวกท่านมาโดยตลอดในเรื่องนั้น”

นั่นคือวิถีแห่งการเป็นสานุศิษย์ เราแบกภาระของกันและกัน เราโศกเศร้ากับคนที่โศกเศร้า เราปลอบโยนผู้ที่ต้องการการปลอบโยน และเรายืนเป็นพยานเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า—และสัญญานิรันดร์ของการกลับมาพบกันอันเปี่ยมปีติเป็นไปได้ผ่านการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ (ดู โมไซยาห์ 18:8–9)

เอ็ลเดอร์เคียรอนทักทายสมาชิก

เอ็ลเดอร์เคียรอนทักทายสมาชิกในภาคยุโรปตะวันออก

จากนั้น เมื่อเรามีความยากลำบาก เราจึงทดแทนด้วยความรักที่เยียวยาและพิมเสนแห่งการปฏิบัติศาสนกิจ ในฐานะอัครสาวกของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ เอ็ลเดอร์เคียรอนพร้อมแบ่งปันข่าวสารพระกิตติคุณแห่งความหวัง การเยียวยา และสันติสุขกับคนทั้งโลก

“เหตุใดการทดลองที่ยากลําบากจึงเกิดขึ้นกับเรา?” เอ็ลเดอร์เคียรอนถาม “เพราะเรามาแผ่นดินโลกเพื่อเรียนรู้ เติบโต ได้รับการชําระให้บริสุทธิ์ รักและวางใจพระบิดาในสวรรค์และพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ตอนนี้เรามองไม่เห็นพระองค์ และพระองค์ทรงกอดเราไม่ได้ แต่พรแห่งการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดไม่มีขอบเขต—ไม่มีขอบเขต!”