เลียโฮนา
การตรงกันข้ามในสิ่งทั้งปวง
พฤษภาคม 2024


11:9

การตรงกันข้ามในสิ่งทั้งปวง

เพื่อให้ใช้สิทธิ์เสรีของเราได้ เราต้องมีทางเลือกที่ตรงกันข้ามให้พิจารณา

เมื่อไม่นานมานี้ ขณะขับรถในเมืองที่เราไม่รู้จัก ข้าพเจ้าเลี้ยวผิดไปโดยไม่ตั้งใจ ทำให้ข้าพเจ้ากับภรรยาต้องอยู่บนทางด่วนเป็นระยะทางไกลสุดลูกหูลูกตาโดยไม่สามารถเลี้ยวกลับได้อีก เราได้รับคำเชิญไปบ้านเพื่อนคนหนึ่ง และเรากังวลว่าตอนนี้เราน่าจะไปถึงล่าช้ากว่าที่คิดไว้มาก

ขณะอยู่บนทางด่วนสายนี้และพยายามหาทางออกอีกครั้ง ข้าพเจ้าโทษตัวเองที่ไม่ใส่ใจดูจีพีเอส ประสบการณ์นี้ทำให้ข้าพเจ้าคิดว่าบางครั้งเราตัดสินใจผิดในชีวิต และเราต้องดำเนินชีวิตกับผลที่ตามมาอย่างถ่อมใจและอดทนจนกว่าเราจะเปลี่ยนวิถีได้อีกครั้ง

ชีวิตคือการตัดสินใจเลือกสิ่งต่างๆ พระบิดาบนสวรรค์ทรงมอบของประทานแห่งสิทธิ์เสรีแก่เราเพียงเพื่อให้เราเรียนรู้จากการเลือกของเรา—จากสิ่งที่ถูกและจากสิ่งที่ผิดด้วย เราแก้ไขการเลือกที่ผิดของเราเมื่อเรากลับใจ นี่คือจุดกำเนิดของการเติบโต แผนของพระบิดาบนสวรรค์สำหรับเราทุกคนคือการเรียนรู้ การพัฒนา และความก้าวหน้าสู่ชีวิตนิรันดร์

นับตั้งแต่ข้าพเจ้ากับภรรยาได้รับการสอนจากผู้สอนศาสนาและเข้าร่วมกับศาสนจักรเมื่อหลายปีก่อน ข้าพเจ้ายังคงประทับใจเสมอกับคำสอนอันลึกซึ้งที่ลีไฮมอบให้เจคอบบุตรชายในพระคัมภีร์มอรมอน เขาสอนว่า “พระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าจึงประทานแก่มนุษย์เพื่อเขาจะกระทำด้วยตนเอง”และ “จำเป็นต้อง, มีการตรงกันข้ามในสิ่งทั้งปวง” เพื่อให้ใช้สิทธิ์เสรีของเราได้ เราต้องมีทางเลือกที่ตรงกันข้ามให้พิจารณา ในการทำเช่นนั้น พระคัมภีร์มอรมอนย้ำเตือนเราเช่นกันว่าเราได้รับ “การสั่งสอนอย่างเพียงพอ”มาแล้ว และ “พระวิญญาณของพระคริสต์” ประทานให้มนุษย์ทุกคนเพื่อเขาจะ “รู้ความดีและความชั่ว”

ในชีวิต เราต้องเผชิญกับการเลือกสำคัญมากมายอยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น:

  • เลือกว่าเราจะทำตามพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าหรือไม่

  • เลือกที่จะมีศรัทธาและรับรู้เมื่อมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น หรือรออย่างสงสัยให้บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นก่อนแล้วค่อยเลือกที่จะเชื่อ

  • เลือกที่จะพัฒนาความไว้วางใจในพระผู้เป็นเจ้าหรือเฝ้ารอความท้าทายอื่นอย่างหวาดกลัวในวันรุ่งขึ้น

เช่นเดียวกับที่เมื่อข้าพเจ้าเลี้ยวผิดบนทางด่วน การต้องทนรับผลที่ตามมาของการตัดสินใจที่ไม่ดี ของเราเอง มักจะสร้างความเจ็บปวดอย่างยิ่ง เพราะเราต้องโทษตัวเองเท่านั้น กระนั้นก็ตาม เราสามารถเลือกรับการปลอบโยนได้เสมอโดยผ่านกระบวนการศักดิ์สิทธิ์แห่งการกลับใจ แก้ไขสิ่งผิดให้ถูกอีกครั้ง และในการทำเช่นนั้นจะได้เรียนรู้บทเรียนที่เปลี่ยนแปลงชีวิต

บางครั้งเราอาจประสบกับการตรงกันข้ามและการทดลองจากสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา เช่น:

  • ยามสุขภาพดีและภาวะเจ็บป่วย

  • ช่วงเวลาสันติภาพและช่วงเวลาสงคราม

  • เวลากลางวันและเวลากลางคืน ฤดูร้อนและฤดูหนาว

  • ช่วงเวลาทำงานตามด้วยช่วงเวลาพักผ่อน

แม้ว่าโดยปกติแล้วเราไม่สามารถเลือกระหว่างสถานการณ์ประเภทนี้เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเอง แต่เรายังคงมีอิสระที่จะเลือก วิธี ตอบสนองต่อสถานการณ์เหล่านั้น เราสามารถทำได้ด้วยเจตคติเชิงบวกหรือด้วยเจตคติเชิงลบ เราสามารถพยายามเรียนรู้จากประสบการณ์และขอความช่วยเหลือสนับสนุนจากพระเจ้า หรือเราสามารถคิดว่าเราอยู่ตัวคนเดียวในการทดลองนี้และต้องทนทุกข์เพียงลำพัง เราสามารถ “ปรับใบเรือของเรา” ให้เข้ากับความเป็นจริงใหม่ หรือตัดสินใจว่าจะไม่เปลี่ยนอะไรเลย ในค่ำคืนมืดมน เราสามารถเปิดไฟของเราได้ ในฤดูหนาวอันเยือกเย็น เราควรเลือกสวมเสื้อผ้าอบอุ่น ในฤดูกาลเจ็บป่วย เราสามารถหาความช่วยเหลือทางการแพทย์และทางวิญญาณ เราเลือกวิธีตอบสนองสถานการณ์เหล่านี้ได้

ปรับ เรียนรู้ แสวงหา เลือก ล้วนเป็นคำกริยาแสดงการกระทำ จำไว้ว่าเราเป็นผู้กระทำไม่ใช่ผู้ถูกกระทำ อย่าลืมว่าพระเยซูทรงสัญญาว่าจะ “ทรงรับความเจ็บปวดและความป่วยไข้ของผู้คนของพระองค์ … เพื่อพระองค์ … จะทรงช่วย” เมื่อเราหันไปพึ่งพระองค์ เราสามารถเลือกสร้างรากฐานไว้บนศิลาซึ่งคือพระเยซูคริสต์ เพื่อเวลาที่ลมหมุนมา “มันจะไม่มีพลังเหนือ [เรา]” ทรงสัญญาว่า “ผู้ใดก็ตามที่จะมา [หาพระองค์], ผู้นั้น [พระองค์] จะ [ทรง] รับ; และคนที่มาหา [พระองค์] จะเป็นสุข”

ตอนนี้—มีหลักธรรมเพิ่มเติมอีกหนึ่งประการที่สำคัญยิ่ง ลีไฮกล่าวว่า “จำเป็นต้อง, มีการตรงกันข้าม ในสิ่งทั้งปวง ซึ่งหมายความว่าสิ่งตรงกันข้ามไม่ได้อยู่แยกจากกัน และสามารถส่งเสริมกันได้ด้วยซ้ำ เราจะไม่รู้จักความสุขเว้นแต่จะเคยเจอความโศกเศร้ามาในชีวิต การรู้สึกหิวในบางครั้งช่วยให้เราสำนึกคุณเป็นพิเศษเมื่อมีอาหารเพียงพอรับประทาน เราจะไม่รู้จักความจริงเว้นแต่จะเคยได้ยินคำโกหกมาบ้าง

สิ่งตรงกันข้ามเหล่านี้เปรียบเสมือนเหรียญสองด้าน ทั้งสองด้านจะยังคงอยู่เสมอ ชาร์ลส์ ดิกเกนส์ยกตัวอย่างแนวคิดนี้เมื่อเขาเขียนว่า “มีเวลาที่ดีที่สุด มีเวลาที่แย่ที่สุด”

ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างจากชีวิตเราเอง การแต่งงานสร้างครอบครัวและการมีลูกทำให้เรามีปีติที่สุดเท่าที่เราเคยประสบในชีวิต แต่ยังเป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวด ทุกข์ทรมาน และเศร้าโศกอย่างลึกซึ้งที่สุดเมื่อบางอย่างเกิดขึ้นกับเรา บางครั้งปีติและความสุขที่ไม่มีขีดจำกัดกับลูกๆ ก็ตามมาด้วยช่วงเวลาเจ็บป่วยที่มีมาเรื่อยๆ ทั้งการเข้าโรงพยาบาล และคืนที่ไม่ได้นอนด้วยความกลุ้มใจ ตลอดจนเมื่อเราพบการบรรเทาในการสวดอ้อนวอนและพรฐานะปุโรหิต ประสบการณ์ตรงกันข้ามเหล่านี้สอนเราว่าเราไม่เคยโดดเดี่ยวในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ และทําให้เราเห็นว่าเราสามารถแบกรับการทดลองได้มากเพียงใดโดยมีความช่วยเหลือจากพระเจ้า ประสบการณ์เหล่านี้ช่วยหล่อหลอมเราได้เป็นอย่างดี และทั้งหมดนี้ก็คุ้มค่าอย่างยิ่ง นี่คือเหตุผลที่เรามาบนโลกนี้ไม่ใช่หรือ?

ในพระคัมภีร์เราพบตัวอย่างที่น่าสนใจบางอย่างด้วย:

  • ลีไฮสอนเจคอบบุตรชายว่าความทุกข์ที่เขาทนในแดนทุรกันดารช่วยให้เขารู้ถึงความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้าและ “[พระผู้เป็นเจ้า] จะทรงอุทิศความทุกข์ [ของเขา] ให้เป็นพร [แก่เขา]”

  • ระหว่างการคุมขังอย่างโหดร้ายของโจเซฟ สมิธในคุกลิเบอร์ตี้ พระเจ้าตรัสกับท่านว่า “สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้จะเป็นประสบการณ์แก่ [ท่าน], และจะเกิดขึ้นเพื่อความดีของ [ท่าน]”

  • ท้ายที่สุด การพลีบูชาอันไม่มีขอบเขตของพระเยซูคริสต์เป็นตัวอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดของความเจ็บปวดและความทุกข์เท่าที่เคยเห็นมาอย่างแน่นอน แต่ยังนำพรอันล้ำเลิศจากการชดใช้ของพระองค์มาสู่บุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าด้วย

ที่ใดมีแสงแดด ที่นั่นย่อมมีเงา น้ำท่วมนำมาซึ่งความพินาศ แต่มักจะนำมาซึ่งชีวิตด้วยเช่นกัน น้ำตาแห่งความโศกเศร้ามักจะกลายเป็นน้ำตาแห่งการบรรเทาและความสุข ความรู้สึกเสียใจเมื่อคนที่รักจากไปจะถูกชดเชยด้วยปีติที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง ในช่วงสงครามและความพินาศ การกระทำเล็กๆ น้อยๆ จากความรักความมีน้ำใจจะเกิดขึ้นมากมายแก่ผู้มี “ตาที่มองเห็น และหูที่ได้ยิน”

โลกของเราทุกวันนี้มักมีลักษณะเฉพาะคือความกลัวและความวิตกกังวล—ความกลัวว่าอนาคตจะนำอะไรมาให้เราบ้าง แต่พระเยซูทรงสอนให้เราวางใจและ “ดูที่ [พระองค์] ในความนึกคิดทุกอย่าง; อย่าสงสัย, อย่ากลัว”

ขอให้เราพยายามอย่างมีสติอยู่เสมอที่จะมองทั้งสองด้านของเหรียญ ทุกเหรียญ ที่เราได้รับในชีวิต แม้ว่าบางครั้งอาจไม่สามารถมองเห็นทั้งสองด้านได้ในทันที แต่เราสามารถรู้และวางใจได้ว่าเหรียญมีสองด้านเสมอ

เรามั่นใจได้ว่าความยากลำบาก ความโศกเศร้า ความทุกข์ และความเจ็บปวดไม่ได้กําหนดตัวเรา แต่เป็น วิธี ช่วยให้เราเติบโตและเข้าใกล้พระผู้เป็นเจ้ามากขึ้น เจตคติและการเลือกของเรากำหนดตัวเราได้ดียิ่งกว่าความท้าทายของเรา

ยามสุขภาพดี จงทะนุถนอมและสำนึกคุณต่อสิ่งนี้ทุกช่วงเวลา ยามเจ็บป่วย จงพยายามเรียนรู้อย่างอดทนและรู้ว่ามันสามารถเปลี่ยนแปลงได้อีกตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า เมื่อมีความทุกข์ จงวางใจว่าความสุขรออยู่ตรงหน้า เพียงแต่เรามักจะยังมองไม่เห็น เปลี่ยนความสนใจของท่านอย่างมีสติและยกระดับความคิดของท่านไปสู่ด้านบวกของความท้าทาย เพราะสิ่งเหล่านั้นจะอยู่ที่นั่นเสมออย่างไม่ต้องสงสัย! อย่าลืมที่จะสำนึกคุณ เลือกที่จะเชื่อ เลือกที่จะมีศรัทธาในพระเยซูคริสต์ เลือกที่จะวางใจพระผู้เป็นเจ้าเสมอ เลือก “คิดแบบซีเลสเชียล” ตามที่ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันสอนเราเมื่อเร็วๆ นี้!

ขอให้เราคำนึงถึงแผนอันยอดเยี่ยมของพระบิดาบนสวรรค์สำหรับเราเสมอ พระองค์ทรงรักเราและส่งพระบุตรที่รักมาช่วยในการทดลองของเราและเปิดประตูให้เรากลับไปหาพระองค์ พระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์และทรงยืนอยู่ที่นั่นทุกช่วงเวลา รอคอยให้เราเลือกที่จะเรียกหาพระองค์เพื่อประทานความช่วยเหลือ ความเข้มแข็ง และความรอด ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงสิ่งเหล่านี้ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน