ประสบการณ์การเรียนรู้ 5
การประสบรูปแบบการเรียนรู้
สาระโดยสังเขป
ประสบการณ์การเรียนรู้นี้ครอบคลุมแนวคิดต่อไปนี้
-
การแนะนำให้รู้จักรูปแบบการเรียนรู้
-
การทำให้พระกิตติคุณเข้าไปในใจนักเรียน
-
การเข้าใจรูปแบบการเรียนรู้
-
การประยุกต์ใช้รูปแบบการเรียนรู้ในการศึกษาพระกิตติคุณ
แนวคิดหลัก
ศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกยุคสุดท้ายได้มอบหน้าที่ให้ครูในเซมินารีและสถาบันศาสนาสอนนักเรียนให้ระบุ เข้าใจ และประยุกต์ใช้หลักคำสอนตลอดจนหลักธรรมพระกิตติคุณตามที่มีอยู่ในพระคัมภีร์และถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์ ประธาน เจ. รูเบน คลาร์ก จูเนียร์ (1871-1961) แห่งฝ่ายประธานสูงสุดสอนเกี่ยวกับความรับผิดชอบดังกล่าว
“ท่านต้องสอนพระกิตติคุณนี้โดยใช้งานมาตรฐานของศาสนจักรและถ้อยคำของผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกให้นำผู้คนของพระองค์ในวันเวลาสุดท้าย” (The Charted Course of the Church in Education, rev. ed. [1994], 10)
การแนะนำให้รู้จักรูปแบบการเรียนรู้
ขณะนักเรียนเรียนพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ตามที่พบในพระคัมภีร์และถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์ หลักคำสอนและหลักธรรมพระกิตติคุณจำเป็นต้องฝังลึกในใจพวกเขา เพื่อช่วยให้กระบวนการนี้เกิดขึ้น เซมินารีและสถาบันศาสนาจึงเน้นรูปแบบการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานที่ช่วยให้นักเรียนและครูค้นพบ เข้าใจ และประยุกต์ใช้ความจริงพระกิตติคุณในชีวิตพวกเขา รูปแบบดังกล่าวประกอบด้วยหลักพื้นฐานดังต่อไปนี้
-
เข้าใจบริบทและเนื้อหา
-
ระบุหลักคำสอนและหลักธรรม
-
เข้าใจหลักคำสอนและหลักธรรม
-
รู้สึกถึงความจริงและความสำคัญของหลักคำสอนและหลักธรรม
-
ประยุกต์ใช้หลักคำสอนและหลักธรรม
ยิ่งท่านเข้าใจและใช้หลักพื้นฐานเหล่านี้ในการศึกษาพระกิตติคุณของท่านเองมากเท่าใด ท่านจะยิ่งสามารถช่วยให้นักเรียนปฏิบัติตามได้ดีขึ้นมากเท่านั้น
จุดประสงค์ของประสบการณ์การเรียนรู้นี้คือเพื่อให้สาระโดยสังเขปของหลักพื้นฐานห้าข้อของรูปแบบการเรียนรู้ แต่ละข้อจะกล่าวละเอียดมากขึ้นในประสบการณ์การเรียนรู้ 6-8
ดูวีดิทัศน์เรื่อง “อุปมาเรื่องเพชรพลอย” (6:47) มีอยู่ที่ LDS.org ขณะดูวีดิทัศน์ ให้ถามตัวท่านเองว่า “การค้นหาจนพบเพชรพลอยในทรายเทียบได้อย่างไรกับการศึกษาและการเรียนรู้จากพระคัมภีร์”
หลังจากดูวีดิทัศน์จบแล้ว ให้จดความเข้าใจและความประทับใจของท่านลงในสมุดบันทึกการศึกษาหรืออีกที่หนึ่งที่ท่านสามารถเปิดอ่านและแบ่งปันกับหัวหน้าหรือกลุ่มนิเทศของท่านได้
ประยุกต์ใช้อุปมากับรูปแบบการเรียนรู้
อุปมาเรื่องเพชรพลอยช่วยให้เราเข้าใจหลักพื้นฐานของรูปแบบการเรียนรู้ อ่านคำอธิบายด้านล่างเพื่อเรียนรู้หลักพื้นฐานแต่ละข้อเพิ่มเติม
-
เข้าใจบริบทและเนื้อหาเยาวชนหญิงค้นหาเพชรพลอยในทรายเป็นสัญลักษณ์ของผู้เรียนค้นหาความจริงนิรันดร์ในพระคัมภีร์และในคำสอนของศาสดาพยากรณ์ ทรายหมายถึงรายละเอียดของพระคัมภีร์หรือคำสอน—โครงเรื่อง ผู้คน สถานที่ วันเดือนปี และอื่นๆ เยาวชนหญิงกำลังร่อนทรายหาเพชรพลอยเปรียบเสมือนผู้เรียนร่อนรายละเอียดของพระคัมภีร์เพื่อค้นหาหลักคำสอน หลักธรรม และความจริงพื้นฐานอื่นๆ กระบวนการนี้เรียกว่าการเข้าใจบริบทและเนื้อหา
-
ระบุหลักคำสอนและหลักธรรมเยาวชนหญิงที่ค้นหาเพชรพลอยในทรายเป็นสัญลักษณ์ของกระบวนการระบุหลักคำสอนและหลักธรรมในพระคัมภีร์และในถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์ เฉกเช่นเพชรพลอยบางเม็ดอยู่ใกล้พื้นผิวและหลายเม็ดอยู่ลึกลงไปในทราย ความจริงนิรันดร์บางประการในพระคัมภีร์ค้นพบได้ง่าย ส่วนความจริงอีกหลายประการต้องพยายามค้นหามากขึ้น
-
เข้าใจหลักคำสอนและหลักธรรมเยาวชนหญิงสำรวจเพชรพลอยแต่ละเม็ดอย่างละเอียดหมายถึงผู้เรียนศึกษาอย่างขยันหมั่นเพียรเพื่อให้เข้าใจหลักคำสอนและหลักธรรมลึกซึ้งมากขึ้น
-
รู้สึกถึงความจริงและความสำคัญของหลักคำสอนและหลักธรรมเยาวชนหญิงรู้สึกชื่นชมเอกลักษณ์และความสำคัญของเพชรพลอยแต่ละเม็ดเทียบได้กับผู้เรียนรู้สึกถึงความจริงและความสำคัญของหลักคำสอนและหลักธรรมที่พบในพระคัมภีร์และถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์
-
ประยุกต์ใช้หลักคำสอนและหลักธรรมเฉกเช่นเยาวชนหญิงคิดหาวิธีที่เธอจะใช้เพชรพลอยให้เป็นประโยชน์ ผู้เรียนควรคิดหาวิธีประยุกต์ใช้หลักคำสอนและหลักธรรมกับตนเองขณะพระวิญญาณให้การนำทางส่วนตัวแก่ความคิดและใจของพวกเขา
การประยุกต์ใช้รูปแบบการเรียนรู้ในการศึกษาพระกิตติคุณ
ข้อความต่อไปนี้เป็นตัวอย่างวิธีที่รูปแบบการเรียนรู้นี้กำลังช่วยนักเรียนใช้พระคัมภีร์ค้นหา เข้าใจ และประยุกต์ใช้ความจริงพระกิตติคุณในชีวิตพวกเขา
-
“ฉันเข้าใจพระคัมภีร์ดีขึ้นมาก ฉันรู้วิธีถามคำถามและหาคำตอบ ตอนนี้ฉันอ่านเพื่อหาความจริงและเพื่อเข้าใจดีขึ้นว่าควรทำอย่างไร”
-
“ฉันไม่เคยนั่งอ่านพระคัมภีร์เองเลย แต่ตอนนี้ฉันกำลังสร้างนิสัยของการทำเช่นนั้นทุกคืน ฉันรู้สึกดีมากที่พบและเข้าใจความจริงที่สัมผัสใจคุณและเข้าถึงใจคุณทันที”
-
“ฉันอ่านพระคัมภีร์ไม่บ่อยนักเพราะฉันไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้ฉันรู้ว่าพระคัมภีร์เต็มไปด้วยหลักธรรมและฉันสามารถค้นหาคำตอบในนั้นได้ ปีนี้ฉันอ่านมากกว่าที่เคยอ่านมาตลอดชีวิต”
-
“สิ่งหนึ่งที่เซมินารีช่วยฉันแทบจะมากกว่าเรื่องอื่นคือ ทำให้ฉันรักและเข้าใจพระคัมภีร์มากขึ้น ฉันได้รับคำตอบการสวดอ้อนวอนหลายครั้ง ฉันมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้นกับพระผู้ช่วยให้รอด และฉันซาบซึ้งมากต่อสิ่งนี้ ฉันจะขอมากกว่านี้ได้อย่างไร”
-
“ฉันได้เรียนรู้วิธีศึกษาจากพระคัมภีร์ดีขึ้น และตอนนี้พระคัมภีร์ไม่น่าเบื่ออีกแล้ว ฉันต้องการศึกษาจากพระคัมภีร์จริงๆ และไตร่ตรองว่าฉันควรดำเนินชีวิตอย่างไรเพื่อกลับไปหาพระบิดาในสวรรค์”
-
“บางครั้งการอ่านพระคัมภีร์ดูเหมือนไม่เพียงทำให้ฉันรู้สึกท่วมท้นด้วยความรักและความอบอุ่นเท่านั้นแต่พระคัมภีร์ทั้งเล่มเต็มไปด้วยความรู้”
สรุปและการประยุกต์ใช้
หลักธรรมที่พึงจดจำ
-
ในฐานะครูเซมินารีและครูสถาบัน ท่านมีหน้าที่สอนนักเรียนให้รู้หลักคำสอนและหลักธรรมของพระกิตติคุณตามที่มีอยู่ในพระคัมภีร์และถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์
-
ครูและนักเรียนต้องเรียนรู้วิธีทำให้พระกิตติคุณจากพระคัมภีร์และถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์ฝังลึกลงในใจพวกเขา
-
เซมินารีและสถาบันศาสนาเน้นรูปแบบการเรียนรู้พื้นฐานที่เชื้อเชิญให้ครูและนักเรียนค้นหา เข้าใจ และประยุกต์ใช้ความจริงพระกิตติคุณในชีวิตพวกเขา
-
ยิ่งท่านเข้าใจและใช้หลักพื้นฐานของรูปแบบการเรียนรู้ในการศึกษาพระกิตติคุณของท่านเองมากเท่าใด ท่านจะยิ่งสามารถช่วยให้นักเรียนปฏิบัติตามได้ดีขึ้นมากเท่านั้น
“ตรงข้ามกับสถาบันต่างๆ ของโลกซึ่งสอนให้เรา รู้ บางอย่าง พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ท้าทายให้เรา เป็น บางอย่าง” (ดัลลิน เอช. โอ๊คส์, “The Challenge to Become,” Nov. 2000, 32)
“ฉะนั้น เราต้องทำอะไร”
เพื่อสรุปประสบการณ์การเรียนรู้นี้ ให้จดบางสิ่งที่ท่านจะทำโดยยึดหลักธรรมที่ท่านเรียนรู้วันนี้