“จงมาหาเรา”
จากพระวจนะและแบบอย่างของพระคริสต์ พระองค์ทรงแสดงให้เราเห็นวิธีเข้าใกล้พระองค์มากขึ้น
ข้าพเจ้าซาบซึ้งใจที่ได้อยู่กับท่านในการประชุมใหญ่นี้ของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย นี่คือศาสนจักรของพระองค์ เรารับพระนามของพระองค์ไว้กับเราเมื่อเราเข้ามาในอาณาจักรของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้า พระผู้สร้าง และทรงดีพร้อม เราคือมนุษย์ผู้อยู่ในอาณัติของความตายและบาป กระนั้นในความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเราและครอบครัวของเรา พระองค์ทรงเชื้อเชิญให้เราเข้าใกล้พระองค์ นี่คือพระวจนะของพระองค์ “จงเข้ามาอยู่ใกล้เราและเราจะเข้ามาอยู่ใกล้เจ้า; จงแสวงหาเราอย่างขยันหมั่นเพียรและเจ้าจะได้พบเรา; ขอ, และเจ้าจะได้รับ; เคาะ, และจะเปิดมันให้เจ้า” 1
ในเทศกาลอีสเตอร์นี้เตือนใจเราถึงสาเหตุที่เรารักพระองค์และสัญญาที่พระองค์ทรงทำไว้กับสานุศิษย์ผู้ซื่อสัตย์ซึ่งกลายเป็นพระสหายรักของพระองค์ พระผู้ช่วยให้รอดทรงทำสัญญานั้นกับเราและทรงบอกวิธีที่พระองค์ทรงมาหาเราในการรับใช้ที่เรามีต่อพระองค์ ตัวอย่างหนึ่งอยู่ในการเปิดเผยต่อออลิเวอร์ คาวเดอรีขณะที่ท่านรับใช้พระเจ้ากับศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธในการแปลพระคัมภีร์มอรมอน “ดูเถิด, เจ้าคือออลิเวอร์, และเราได้พูดกับเจ้าเพราะความปรารถนาของเจ้า; ฉะนั้นจงสั่งสมถ้อยคำเหล่านี้ไว้ในใจเจ้า. จงซื่อสัตย์และขยันหมั่นเพียรในการรักษาบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า, และเราจะโอบเจ้าไว้ในอ้อมแขนแห่งความรักของเรา”2
ข้าพเจ้าประสบปีติจากการเข้าใกล้พระผู้ช่วยให้รอดและการที่พระองค์ทรงเข้าใกล้ข้าพเจ้า บ่อยครั้งโดยผ่านการกระทำอันเรียบง่ายของการเชื่อฟังพระบัญญัติ
ท่านมีประสบการณ์เช่นนั้น อาจเป็นเวลาที่ท่านเลือกเข้าร่วมการประชุมศีลระลึก สำหรับข้าพเจ้าเป็นวันสะบาโตเมื่อข้าพเจ้ายังเด็กมาก ในสมัยนั้นเรารับศีลระลึกระหว่างการประชุมช่วงเย็น ความทรงจำถึงวันหนึ่งเมื่อกว่า 65 ปีมาแล้ว เมื่อข้าพเจ้ารักษาพระบัญญัติโดยไปชุมนุมกับครอบครัวและกับวิสุทธิชน ยังคงทำให้ข้าพเจ้าเข้าใกล้พระผู้ช่วยให้รอดมากขึ้น
ข้างนอกมืดและหนาวเย็น ข้าพเจ้าจำได้ว่ารู้สึกถึงแสงสว่างและความอบอุ่นในห้องนมัสการในค่ำคืนนั้นกับคุณพ่อคุณแม่ เรารับส่วนศีลระลึกซึ่งปฏิบัติโดยผู้ดำรงฐานะปุโรหิตแห่งอาโรน ทำพันธสัญญากับพระบิดาบนสวรรค์ของเราว่าจะระลึกถึงพระบุตรของพระองค์ตลอดเวลาและรักษาพระบัญญัติของพระองค์
ในตอนท้ายของการประชุมเราร้องเพลงสวด “สถิตกับข้าสายัณห์วันนี้” กับคำร้องของเพลงที่ว่า “โอ้พระผู้ช่วยโปรดอยู่กับข้า ราตรีสายัณห์วันนี้”3
ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความรักและความใกล้ชิดของพระผู้ช่วยให้รอดในค่ำคืนนั้น และข้าพเจ้ารู้สึกถึงการปลอบโยนของพระวิญญาณบริสุทธิ์
ข้าพเจ้าต้องการจุดประกายความรู้สึกนั้นอีกครั้งถึงความรักของพระผู้ช่วยให้รอดและความใกล้ชิดของพระองค์ที่ข้าพเจ้ารู้สึกระหว่างการประชุมศีลระลึกในวัยเยาว์ ดังนั้นเมื่อไม่นานมานี้ข้าพเจ้าจึงรักษาพระบัญญัติอีกข้อหนึ่ง ข้าพเจ้าค้นคว้าพระคัมภีร์ ข้าพเจ้าทราบว่าในพระคัมภีร์ ข้าพเจ้าสามารถกลับไปให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยให้รู้สึกว่าสานุศิษย์สองคนของพระเจ้าผู้ฟื้นคืนพระชนม์รู้สึกอย่างไรเมื่อพระองค์ทรงตอบรับคำเชื้อเชิญให้เข้ามาในบ้านของพวกเขาและสถิตกับพวกเขา
ข้าพเจ้าอ่านถึงวันที่สามหลังจากการตรึงกางเขนและการฝังพระศพ สตรีผู้ซื่อสัตย์และคนอื่นๆ พบศิลากลิ้งออกจากปากอุโมงค์และเห็นว่าพระศพของพระองค์ไม่อยู่ที่นั่น พวกเขามาเพราะความรักที่มีต่อพระองค์เพื่อเจิมพระศพของพระองค์
เทพสององค์ยืนอยู่และถามว่าเหตุใดพวกเขาจึงกลัว เทพกล่าวดังนี้
“พวกท่านแสวงหาคนเป็นในพวกคนตายทำไม?
“พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว จงระลึกถึงคำที่พระองค์ตรัสกับพวกท่านขณะที่พระองค์ยังอยู่ในแคว้นกาลิลี
“ว่า บุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือของพวกคนบาป และจะต้องถูกตรึงที่กางเขน และวันที่สามจะเป็นขึ้นมาใหม่”4
พระกิตติคุณของมาระโกเสริมแนวทางจากเทพองค์หนึ่งว่า “พวกท่านจงไปบอกพวกสาวกของพระองค์รวมทั้งเปโตรด้วยว่า พระองค์จะเสด็จไปที่แคว้นกาลิลีก่อนพวกท่าน”5
อัครสาวกและสานุศิษย์มาชุมนุมกันในเยรูซาเล็ม ดังที่เราอาจจะเคยเป็น พวกเขาหวาดกลัวและสงสัยขณะพูดกันถึงเรื่องความตายและเรื่องราวการฟื้นคืนพระชนม์ว่ามีความหมายอย่างไรต่อพวกเขา
บ่ายวันนั้น สานุศิษย์สองคนเดินจากเยรูซาเล็มบนถนนสู่เอมมาอูส พระคริสต์ผู้ฟื้นคืนพระชนม์ทรงมาปรากฏบนถนนและเดินไปกับพวกเขา พระเจ้าเสด็จมาหาพวกเขา
หนังสือลูกาช่วยให้เราเดินไปกับพวกเขา
“ขณะที่กำลังสนทนาซักถามกันอยู่ พระเยซูก็เสด็จเข้ามาใกล้ดำเนินด้วยกัน
“แต่ตาของเขาทั้งสองถูกปิดกั้นทำให้จำพระองค์ไม่ได้
“พระองค์ตรัสกับเขาทั้งสองว่า ระหว่างทางที่เดินมานี่ท่านโต้ตอบกันเรื่องอะไร?
“คนที่ชื่อเคลโอปัสทูลถามพระองค์ว่า ท่านเป็นแขกเมืองในกรุงเยรูซาเล็มเพียงคนเดียวหรือที่ไม่รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้?”6
พวกเขาบอกพระองค์ว่าพวกเขาโศกเศร้าที่พระเยซูสิ้นพระชนม์เมื่อพวกเขาเชื่อมั่นว่าพระองค์จะทรงเป็นพระผู้ไถ่แห่งอิสราเอล
คงต้องมีความรักใคร่อยู่ในสุรเสียงของพระเจ้าผู้ทรงฟื้นขณะที่พระองค์ตรัสกับสานุศิษย์สองคนผู้โศกเศร้าเสียใจนี้
“พระองค์จึงตรัสกับสองคนนั้นว่า โอ คนโง่เขลาและมีใจเฉื่อยช้าในการเชื่อถ้อยคำซึ่งพวกผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้นั้น
“พระคริสต์จำเป็นต้องทนทุกข์อย่างนั้นแล้วจึงเข้าในพระสิริของพระองค์ไม่ใช่หรือ?
“แล้วพระองค์ทรงอธิบายพระคัมภีร์ที่เล็งถึงพระองค์ทุกข้อให้เขาฟัง เริ่มต้นตั้งแต่โมเสสและบรรดาผู้เผยพระวจนะทั้งหมด”7
จากนั้นช่วงเวลาที่ทำให้ใจข้าพเจ้าอบอุ่นนับตั้งแต่ข้าพเจ้าเป็นเด็กเล็กก็มาถึง
“เมื่อมาใกล้หมู่บ้านที่จะไปนั้น พระองค์ทรงทำทีว่าจะเสด็จเลยไป
“เขาทั้งสองจึงคะยั้นคะยอพระองค์ว่า เชิญท่านมาพักด้วยกันเถิด เพราะจวนจะค่ำและใกล้จะหมดวันอยู่แล้ว พระองค์จึงเสด็จเข้าไปพักอยู่กับเขา”8
พระผู้ช่วยให้รอดทรงรับคำเชิญในค่ำคืนนั้นที่จะเข้าไปในบ้านสานุศิษย์ของพระองค์ใกล้หมู่บ้านเอมมาอูส
พระองค์ประทับที่โต๊ะอาหารกับพวกเขา ทรงหยิบขนมปัง ทรงให้พร ทรงหักขนมปังส่งให้พวกเขา ดวงตาของพวกเขาเปิด ดังนั้นจึงจำพระองค์ได้ แล้วพระองค์ก็อันตรธานไปจากพวกเขา ลูกาบันทึกให้เราทราบความรู้สึกของสานุศิษย์ที่ได้รับพรเหล่านั้นว่า “เขาจึงพูดกันว่า ใจเรารุ่มร้อนภายในเมื่อพระองค์ตรัสตามทาง และเมื่อทรงอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟังไม่ใช่หรือ?”9
ในโมงเดียวกันนั้นเองสานุศิษย์สองคนเร่งกลับไปเยรูซาเล็มเพื่อบอกอัครสาวกสิบเอ็ดคนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขา ในเวลานั้นพระผู้ช่วยให้รอดทรงปรากฏพระองค์อีกครั้ง
พระองค์ทรงทบทวนคำพยากรณ์ถึงพระพันธกิจของพระองค์เพื่อชดใช้บาปแก่บุตรธิดาของพระบิดาและทำลายสายรัดแห่งความตาย
“พระองค์ตรัสกับเขาว่า มีถ้อยคำเขียนไว้อย่างนั้นว่า พระคริสต์จะต้องทนทุกข์และเป็นขึ้นจากตายในวันที่สาม
“และจะต้องประกาศทั่วทุกประชาชาติในนามของพระองค์เรื่องการกลับใจใหม่ เพื่อการยกบาป โดยเริ่มต้นที่กรุงเยรูซาเล็ม
“พวกท่านเองก็เป็นพยานถึงสิ่งเหล่านี้”10
พระวจนะของพระผู้ช่วยให้รอดเป็นจริงสำหรับเราดังที่เป็นจริงต่อสานุศิษย์ของพระองค์ในสมัยนั้น เราคือพยานของสิ่งเหล่านี้ หน้าที่ซึ่งเรายอมรับเมื่อเรารับบัพติศมาเข้าสู่ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายอธิบายไว้อย่างเรียบง่ายเมื่อหลายศตวรรษมาแล้วโดยศาสดาพยากรณ์แอลมาที่ผืนน้ำแห่งมอรมอน
“และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือท่านกล่าวแก่พวกเขา: ดูเถิด, นี่คือผืนน้ำแห่งมอรมอน (เพราะคนเรียกมันเช่นนั้น) และบัดนี้, เมื่อท่านปรารถนาจะเข้ามาสู่คอกของพระผู้เป็นเจ้า, และเรียกว่าเป็นผู้คนของพระองค์, และเต็มใจจะแบกภาระของกันและกัน, เพื่อมันจะได้เบา;
“แท้จริงแล้ว, และเต็มใจที่จะโศกเศร้ากับคนที่โศกเศร้า; แท้จริงแล้ว, และปลอบโยนคนที่ต้องการการปลอบโยน, และยืนเป็นพยานเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าทุกเวลาและในทุกสิ่ง, และในทุกแห่งที่ท่านอยู่, แม้จนถึงความตาย, เพื่อท่านจะได้รับการไถ่จากพระผู้เป็นเจ้า, และนับอยู่กับบรรดาคนของการฟื้นคืนชีวิตครั้งแรก, เพื่อท่านจะมีชีวิตนิรันดร์—
“บัดนี้ข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่าน, หากนี่เป็นความปรารถนาของใจท่านแล้ว, ท่านมีอะไรขัดข้องเล่าที่จะรับบัพติศมาในพระนามของพระเจ้า, เพื่อเป็นพยานต่อพระพักตร์พระองค์ว่าท่านเข้ามาในพันธสัญญากับพระองค์, ว่าท่านจะรับใช้พระองค์และรักษาพระบัญญัติของพระองค์, เพื่อพระองค์จะเทพระวิญญาณของพระองค์ลงมาให้ท่านให้มากมายยิ่งขึ้น?
“และบัดนี้เมื่อผู้คนได้ยินถ้อยคำเหล่านี้, พวกเขาปรบมือด้วยปีติ, และร้องว่า: นี่คือความปรารถนาของใจเรา.” 11
เราอยู่ภายใต้พันธสัญญาที่ต้องโอบอุ้มทั้งคนขัดสนและเป็นพยานถึงพระผู้ช่วยให้รอดตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่
เราจะทำได้อย่างแน่นอนก็ต่อเมื่อเรารู้สึกถึงความรักที่เรามีต่อพระผู้ช่วยให้รอดและความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเราเท่านั้น ขณะที่เราซื่อสัตย์ต่อสัญญาที่เราทำไว้ เราจะรู้สึกถึงความรักที่เรามีให้พระองค์ ความรักนั้นจะมากขึ้นเพราะเราจะรู้สึกถึงเดชานุภาพและการใกล้ชิดพระองค์ขณะที่เรารับใช้พระองค์
ประธานโธมัส เอส. มอนสันมักจะเตือนเราถึงคำสัญญาที่พระเจ้าประทานแก่สานุศิษย์ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ “และผู้ใดที่รับเจ้า, ที่นั่นเราจะอยู่ด้วย, เพราะเราจะไปเบื้องหน้าเจ้า. เราจะอยู่ทางขวามือเจ้าและทางซ้ายเจ้า, และพระวิญญาณของเราจะอยู่ในใจเจ้า, และเหล่าเทพของเราห้อมล้อมเจ้า, เพื่อประคองเจ้าไว้.”12
มีวิธีอื่นที่ท่านกับข้าพเจ้ารู้สึกว่าพระองค์ทรงใกล้ชิดเรามากขึ้น ขณะที่เราอุทิศตนรับใช้พระองค์ พระองค์ทรงอยู่ใกล้คนที่เรารักในครอบครัวเรามากขึ้น ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าได้รับเรียกให้รับใช้พระองค์ซึ่งต้องย้ายหรือจากครอบครัวไป ข้าพเจ้าพบว่าพระเจ้าทรงอวยพรภรรยาและลูกๆ ของข้าพเจ้า พระองค์ทรงเตรียมผู้รับใช้ของพระองค์ที่เปี่ยมด้วยความรักและโอกาสที่จะช่วยให้ครอบครัวข้าพเจ้าใกล้ชิดพระองค์
ท่านรู้สึกถึงพรเดียวกันนี้ในชีวิตท่าน หลายท่านมีบุคคลที่ท่านรักซึ่งหลงไปจากเส้นทางสู่ชีวิตนิรันดร์ ท่านอาจสงสัยว่าท่านจะทำอะไรได้มากกว่านี้เพื่อพาพวกเขากลับมา ท่านสามารถพึ่งพาพระเจ้าเพื่อเข้าใกล้พวกเขามากขึ้นขณะที่ท่านรับใช้พระองค์ด้วยศรัทธา
ท่านจำได้ถึงคำสัญญาที่พระเจ้าประทานแก่โจเซฟ สมิธและซิดนีย์ ริกดันเมื่อพวกเขาจากครอบครัวไปทำกิจธุระของพระองค์ “เพื่อนของเรา ซิดนีย์ กับโจเซฟ, ครอบครัวของเจ้าสบายดี; พวกเขาอยู่ในมือเรา, และเราจะจัดการกับพวกเขาดังที่เราเห็นว่าดี; เพราะในเรามีอำนาจทั้งมวล.”13
เช่นเดียวกับแอลมาและกษัตริย์โมไซยาห์ บิดามารดาบางท่านซึ่งเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ รับใช้พระเจ้าด้วยดีเป็นเวลานาน มีลูกที่หลงทางไปโดยไม่คำนึงถึงการเสียสละที่บิดามารดามีต่อพระเจ้า พวกเขาทำสุดความสามารถแต่ไม่บังเกิดผล แม้จะได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ ที่เปี่ยมด้วยความรักและซื่อสัตย์
แอลมากับวิสุทธิชนในสมัยของเขาสวดอ้อนวอนให้บุตรของเขาและบุตรของกษัตริย์โมไซยาห์ จากนั้นเทพมาปรากฏ คำสวดอ้อนวอนของท่านและคำสวดอ้อนวอนของผู้ใช้ศรัทธาจะนำผู้รับใช้ของพระเจ้าไปช่วยสมาชิกครอบครัวของท่าน พวกเขาจะช่วยคนเหล่านั้นให้เลือกทางกลับบ้านไปหาพระผู้เป็นเจ้า ถึงแม้พวกเขาจะถูกโจมตีจากซาตานและผู้ติดตามของเขา ซึ่งมีจุดประสงค์จะทำลายครอบครัวในชีวิตนี้และในนิรันดร
ท่านจำถ้อยคำที่เทพพูดกับแอลมาผู้บุตรและพวกบุตรของโมไซยาห์ถึงการกบฎของพวกเขาว่า “และอนึ่ง, เทพกล่าวว่า: ดูเถิด, พระเจ้าทรงได้ยินคำสวดอ้อนวอนจากผู้คนของพระองค์, และคำสวดอ้อนวอนจากแอลมา, ผู้รับใช้ของพระองค์ด้วย, ผู้เป็นบิดาเจ้า; เพราะท่านสวดอ้อนวอนด้วยศรัทธามากเกี่ยวกับเจ้าเพื่อพระองค์จะทรงนำเจ้ามาสู่ความรู้เรื่องความจริง; ฉะนั้น, เพื่อจุดประสงค์นี้ข้าพเจ้าจึงมาทำให้เจ้าเชื่อมั่นถึงเดชานุภาพและอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า, เพื่อคำสวดอ้อนวอนจากผู้รับใช้ของพระองค์จะได้รับตอบตามศรัทธาของพวกเขา.” 14
คำสัญญาที่ข้าพเจ้ามีให้ท่านผู้ที่สวดอ้อนวอนและรับใช้พระเจ้าไม่ใช่ว่าท่านจะมีพรทุกประการที่ท่านปรารถนาให้เกิดกับตนเองและครอบครัว แต่ข้าพเจ้าสัญญากับท่านได้ว่าพระผู้ช่วยให้รอดจะเข้าใกล้ท่านและประทานพรท่านกับครอบครัวด้วยสิ่งดีเลิศ ความรักของพระองค์จะปลอบโยนท่านและท่านจะรู้สึกถึงคำตอบของการใกล้ชิดพระองค์ขณะยื่นมือออกไปรับใช้ผู้อื่น ขณะที่ท่านสมานแผลคนขัดสนและเสนอการชำระล้างให้สะอาดจากการชดใช้ของพระองค์แก่ผู้ที่โทมนัสในบาป เดชานุภาพของพระเจ้าจะค้ำจุนท่าน พระพาหุของพระองค์จะเอื้อมออกไปพร้อมกับแขนท่านเพื่อช่วยเหลือและเป็นพรแก่บุตรธิดาของพระบิดาบนสวรรค์ รวมทั้งคนที่อยู่ในครอบครัวท่าน
มีการคืนสู่เหย้าอันรุ่งโรจน์เตรียมไว้ให้เรา ในเวลานั้นเราจะเห็นคำสัญญาที่มีสัมฤทธิผลของพระเจ้าที่เรารัก นั่นคือพระองค์ผู้ที่ทรงต้อนรับเราเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์กับพระองค์และพระบิดาบนสวรรค์ของเรา พระเยซูคริสต์ทรงอธิบายไว้ดังนี้
“จงหมายมั่นนำไซอันออกมาและสถาปนาไซอันของเรา. จงรักษาบัญญัติของเราในทุกสิ่ง.
“และ, หากเจ้ารักษาบัญญัติของเราและอดทนจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เจ้าจะมีชีวิตนิรันดร์, ซึ่งของประทานนี้สำคัญที่สุดในบรรดาของประทานทั้งปวงของพระผู้เป็นเจ้า.”15
“เพราะคนเหล่านั้นที่มีชีวิตอยู่จะสืบทอดแผ่นดินโลกเป็นมรดก, และคนเหล่านั้นที่สิ้นชีวิตจะพักผ่อนจากการทำงานทั้งหมด, และงานของพวกเขาจะติดตามพวกเขาไป; และพวกเขาจะได้รับมงกุฎในปราสาทของพระบิดาแห่งเรา, ซึ่งเราเตรียมไว้ให้พวกเขา.”16
ข้าพเจ้าเป็นพยานว่า โดยพระวิญญาณเราสามารถทำตามพระดำรัสเชื้อเชิญของพระบิดาบนสวรรค์ที่ว่า “นี่คือบุตรที่รักของเรา. จงฟังท่าน!”17
จากพระวจนะและแบบอย่างของพระคริสต์ พระองค์ทรงแสดงให้เราเห็นวิธีเข้าใกล้พระองค์มากขึ้น บุตรธิดาทุกคนของพระบิดาบนสวรรค์ผู้ที่เลือกผ่านประตูบัพติศมาเข้าสู่ศาสนจักรของพระองค์จะมีโอกาสในชีวิตนี้ที่จะเรียนพระกิตติคุณและได้ยินผู้รับใช้ที่พระองค์ทรงเรียก กล่าวถึงพระดำรัสเชิญของพระองค์ที่ว่า “จงมาหาเรา” 18
ผู้รับใช้ในพันธสัญญาทุกคนภายในอาณาจักรของพระองค์บนแผ่นดินโลก และในโลกแห่งวิญญาณ จะได้รับแนวทางจากพระองค์โดยพระวิญญาณขณะเป็นพรและรับใช้ผู้อื่นแทนพระองค์ และพวกเขาจะรู้สึกถึงความรักของพระองค์ และพบปีติในการเข้าใกล้พระองค์มากขึ้น
ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเจ้าอย่างแน่นอนเสมือนหนึ่งข้าพเจ้าอยู่ที่นั่นในค่ำคืนที่มีสานุศิษย์สองคนอยู่ในบ้านบนถนนไปสู่เอมมาอูส ข้าพเจ้าทราบว่าพระองค์ทรงพระชนม์อย่างแน่นอนเหมือนกับที่โจเซฟ สมิธทราบเมื่อเขาเห็นพระบิดาและพระบุตรในแสงเรืองรองของรุ่งอรุณอันสดใสในป่าที่พอลไมรา
นี่คือศาสนจักรที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์ มีเพียงกุญแจฐานะปุโรหิตที่ประธานโธมัส เอส. มอนสันถืออยู่เท่านั้นที่มีอำนาจให้เราผนึกเป็นครอบครัวเพื่อดำเนินชีวิตนิรันดร์กับพระบิดาบนสวรรค์และพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ในวันพิพากษาเราจะยืนอยู่เบื้องพระพักตร์พระผู้ช่วยให้รอด จะเป็นเวลาแห่งปีติสำหรับผู้ที่เข้าใกล้พระองค์มากขึ้นในการรับใช้พระองค์ในชีวิตนี้ เป็นปีติที่จะได้ยินพระดำรัสว่า “ดีแล้ว เจ้าเป็นบ่าวที่ดีและซื่อสัตย์”19 ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงพระผู้ช่วยให้รอดที่ทรงฟื้นและพระผู้ไถ่ของเราในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน