2010–2019
“ข้าพเจ้าเชื่อ”
เมษายน 2013


14:43

“ข้าพเจ้าเชื่อ”

ยอมรับข้อสงสัยและปัญหาของท่านอย่างจริงใจ แต่ก่อนอื่นและตลอดชั่วนิรันดรจงพัดไฟศรัทธาของท่านให้ลุกโชน เพราะสิ่งทั้งปวงย่อมเป็นไปได้กับคนที่เชื่อ

ครั้งหนึ่งพระเยซูพบคนกลุ่มหนึ่งกำลังถกเถียงอย่างรุนแรงกับสานุศิษย์ของพระองค์ เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดทรงมีพระดำรัสถึงสาเหตุความขัดแย้งนี้ บิดาของเด็กที่ป่วยก้าวออกมาบอกว่าเขามาหาสานุศิษย์ของพระเยซูเพื่อขอพรให้ลูกชาย แต่พวกเขาไม่สามารถให้ได้ ด้วยสภาพที่เด็กชายยังกัดฟัน น้ำลายฟูมปาก และล้มฟาดลงกับพื้นต่อหน้าพวกเขา บิดาจึงอุทธรณ์ต่อพระเยซูด้วยน้ำเสียงที่คงหมดหวังเป็นแน่แท้ว่า

“ถ้าท่านสามารถช่วยได้” เขากล่าว “ก็โปรดสงสารและช่วยเราทั้งสองด้วย

“พระเยซูจึงตรัสกับบิดานั้นว่า [ถ้าเจ้าสามารถเชื่อ] ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง

“บิดาของเด็กจึงร้องทูลทันทีว่า ‘ข้าพเจ้าเชื่อ และขอโปรดช่วยในส่วนที่ขาดอยู่ด้วยเถิด”1

ชายผู้นี้ยอมรับเองว่าทุนความเชื่อมั่นของเขามีจำกัด แต่เขามีความปรารถนาสำคัญเร่งด่วนเพื่อบุตรคนเดียวของเขา เรารู้มาว่าเท่านั้นเพียงพอแล้วสำหรับการเริ่มต้น “แม้หากท่านทำไม่ได้มากไปกว่า ปรารถนาที่จะเชื่อ,” แอลมาประกาศ “ก็ขอให้ความปรารถนานี้เกิดผลในท่าน, แม้จนท่านเชื่อ”2 เมื่อไม่เหลือความหวังอื่น บิดาคนนี้ประเมินศรัทธาของตนแล้ววิงวอนพระผู้ช่วยให้รอดของโลกว่า “ถ้า ท่าน สามารถ ช่วยได้ ก็โปรดสงสารและช่วยเราทั้งสอง ด้วย”3 ข้าพเจ้าแทบจะอ่านข้อความนั้นไม่ได้โดยไม่เสียน้ำตา เห็นได้ชัดว่าเขาจงใจใช้สรรพนาม เรา อันที่จริงชายผู้นี้กำลังกล่าวว่า “เราทั้งครอบครัวกำลังวิงวอน สภาพดิ้นรนของเราไม่มีวันสิ้นสุด เราอ่อนล้า บุตรชายของเราตกลงไปในน้ำ เขาตกลงไปในไฟ เขาตกอยู่ในอันตรายตลอดเวลา และเราอยู่ในความกลัวตลอดเวลา เราไม่รู้จะหันไปหาใคร ท่าน จะช่วยเราได้ไหม เราจะขอบคุณสำหรับ ทุกอย่าง—ถึงจะเป็นพรบางส่วน แค่ความหวังริบหรี่ แม้การแบ่งเบาภาระเพียงเล็กน้อยที่แม่ของเด็กคนนี้ต้องแบกรับทุกวันทั้งชีวิต”

“ถ้า ท่าน สามารถ ช่วยได้” คำพูดจากบิดาคนนี้ย้อนกลับมาหาเขาด้วยพระดำรัสจากพระอาจารย์ว่า “ถ้า เจ้า สามารถ เชื่อ4

“ทันที” พระคัมภีร์กล่าว—ไม่ใช่อย่างช้าๆ หรือด้วยความสงสัยหรือหวาดระแวงแต่ “โดยทันที”—บิดาคนนั้นร้องทูลตรงๆ ด้วยความเจ็บปวดในฐานะพ่อว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ และขอโปรดช่วยในส่วนที่ขาดอยู่ด้วยเถิด” ในการตอบสนองต่อศรัทธาที่เพิ่งเกิดขึ้นบางส่วน พระเยซูทรงรักษาเด็กคนนั้น แทบจะเป็นการยกขึ้นจากความตายดังที่มาระโกบรรยายไว้5

เมื่อพิจารณาเรื่องราวสะทือนอารมณ์จากพระคัมภีร์เรื่องนี้ ข้าพเจ้าประสงค์จะพูดโดยตรงกับคนรุ่นเยาว์ของศาสนจักร—ทั้งผู้ที่เยาว์วัย หรืออ่อนเยาว์ในการเป็นสมาชิก หรืออ่อนเยาว์ในศรัทธา ไม่ว่าอย่างใดก็ตาม ทั้งหมดนี้น่าจะรวมเราทุกคนแล้ว

ข้อสังเกตแรกเกี่ยวกับเรื่องนี้คือเมื่อเผชิญการท้าทายเรื่องศรัทธา บิดาคนนี้ประเมินกำลังของเขาก่อน แล้วเมื่อนั้นเขาจึงได้รับรู้ถึงข้อจำกัดของตน คำกล่าวแรกของเขายืนยันความจริงโดยปราศจากความลังเลว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ” ข้าพเจ้าต้องการบอกผู้ที่ปรารถนาจะมีศรัทธามากขึ้นว่า จงจดจำชายผู้นี้! ในช่วงเวลาที่ท่านหวาดกลัว หรือสงสัย หรือว้าวุ่นใจ จงยึดฐานที่มั่นซึ่งท่านชนะมาแล้ว แม้จะมีพื้นที่จำกัดก็ตาม ในการเติบโตที่เราต้องประสบในชีวิตมรรตัย สิ่งทางวิญญาณที่เทียบเท่ากับความทุกข์ของเด็กคนนี้หรือความสิ้นหวังของบิดาคนนี้จะเกิดขึ้นกับเราทุกคน เมื่อช่วงเวลานั้นมาถึง เมื่อปัญหาเกิดขึ้น และทางออกไม่ได้มาในทันที จงยึดมั่นในสิ่งที่ท่านรู้อยู่แล้ว และยืนหยัดจนกว่าความรู้เพิ่มเติมจะมาถึง พระเยซูตรัสถึงกรณีของสิ่งอัศจรรย์เรื่องนี้โดยเฉพาะว่า “ถ้าพวกท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดหนึ่ง พวกท่านจะสั่งภูเขานี้ว่า ‘จงเคลื่อนจากที่นี่ไปที่โน่น’ มันก็จะเคลื่อนไป และสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกท่านจะไม่มีเลย”6 ขนาดของศรัทธาหรือระดับความรู้ของท่านไม่ใช่ประเด็น—แต่เป็นความซื่อตรงที่ท่านแสดงออกถึงศรัทธาที่ท่านมีอยู่และความจริงที่ท่านรู้อยู่แล้ว

ข้อสังเกตที่สองคือสิ่งที่แปรผันมาจากข้อแรก เมื่อปัญหาเกิดขึ้นและมีคำถาม อย่าเริ่มต้นด้วยการพูดเกี่ยวกับศรัทธาว่าท่าน ไม่ มีมากเพียงใด ราวกับให้ “ความไม่เชื่อ” ของท่านเป็นตัวนำ นั่นเหมือนกับการพยายามยัดไส้ไก่งวงทางปาก! ต่อไปข้าพเจ้าจะชี้แจงประเด็นนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ขอให้ท่านแสร้งมีศรัทธาที่ท่านไม่มี ข้าพเจ้า กำลัง ขอให้ท่านแน่วแน่ต่อศรัทธาที่ท่าน มี อยู่แล้ว บางครั้งเราปฏิบัติราวกับว่าการประกาศตรงๆ เกี่ยวกับความสงสัยเป็นการแสดงถึงความกล้าหาญทางศีลธรรมที่สูงส่งยิ่งกว่าการประกาศตรงๆ เกี่ยวกับศรัทธา นั่นไม่ใช่เลย! ดังนั้นขอให้เราทุกคนจดจำข่าวสารชัดเจนจากพระคัมภีร์เรื่องนี้ว่า จงตรงไปตรงมาเกี่ยวกับข้อสงสัยของท่านเท่าที่จำเป็น ชีวิตเต็มไปด้วยข้อสงสัยไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง แต่หากท่านและครอบครัวต้องการรักษาให้หาย จงอย่าให้ข้อสงสัยเหล่านั้นมาขวางไม่ให้ศรัทธากระทำสิ่งอัศจรรย์

ยิ่งกว่านั้น ท่านมีศรัทธามากกว่าที่ท่านคิดเนื่องจากสิ่งที่พระคัมภีร์มอรมอนเรียกว่า “ความสำคัญยิ่งของหลักฐาน”7 “พวกท่านจะรู้จักพวกเขาได้ด้วยผลของพวกเขา” พระเยซูตรัส8 และผลจากการดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณปรากฏชัดในชีวิตวิสุทธิชนยุคสุดท้ายทุกแห่งหน ดังเช่นเปโตรและยอห์นครั้งหนึ่งกล่าวกับผู้ฟังในสมัยโบราณ ข้าพเจ้ากล่าววันนี้ว่า “เราไม่สามารถหยุดพูดในสิ่งที่ได้เห็นและได้ยิน” และสิ่งที่เราได้เห็นและได้ยินคือ “หมายสำคัญพิเศษ [ที่ทำไว้]” ในชีวิตสมาชิกหลายล้านคนของศาสนจักรแห่งนี้ นั่นคือสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้9

พี่น้องทั้งหลาย นี่คืองานศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังดำเนินอยู่พร้อมด้วยพรจากงานนี้ที่มีให้เห็นทั่วทุกสารทิศ ดังนั้นโปรดอย่าตื่นตระหนกหากมีปัญหาเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวให้เราต้องพินิจพิจารณา ทำความเข้าใจ และหาทางแก้ ปัญหาเกิดขึ้นจริงและจะเป็นไปเช่นนั้น ในศาสนจักรนี้ สิ่งที่เรารู้จะอยู่เหนือกว่าสิ่งที่เราไม่รู้เสมอ และพึงระลึกว่าในโลกใบนี้ ทุกคนดำเนินไปด้วยศรัทธา

ดังนั้นจงมีน้ำใจกับความเปราะบางของมนุษย์—ทั้งของตัวท่านเองและคนที่รับใช้กับท่านในศาสนจักรซึ่งนำโดยชายและหญิงอาสาสมัครซึ่งเป็นมนุษย์ ยกเว้นในกรณีของพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระองค์ คนไม่ดีพร้อมคือคนที่พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องทำงานด้วย นั่นคงเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดพระทัยไม่น้อย แต่พระองค์ทรงรับมือกับสภาพนี้ เราเองก็ควรทำเช่นนั้น และเมื่อท่านเห็นความไม่ดีพร้อม พึงระลึกว่าข้อจำกัดเช่นนั้น ไม่ได้ อยู่ที่ความศักดิ์สิทธิ์ของงานนี้ ดังที่นักเขียนผู้มีพรสวรรค์ท่านหนึ่งบอกไว้ว่า เมื่อปริมาตรอันบริบูรณ์ไม่มีที่สิ้นสุดล้นออกมา นั่นหาใช่ความผิดของน้ำมันไม่ แต่การสูญเสียเกิดขึ้นเพราะภาชนะที่มีปริมาตรจำกัดไม่สามารถรองรับได้10 ภาชนะปริมาตรจำกัดเหล่านั้นรวมถึงท่านกับข้าพเจ้าด้วย ดังนั้นจงอดทนและอ่อนโยนและให้อภัย

ข้อสังเกตสุดท้ายคือ เมื่อความสงสัยหรือความยากลำบากเกิดขึ้น อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ หากเราต้องการความช่วยเหลืออย่างอ่อนน้อมจริงใจเท่าบิดาคนนี้ เราจะได้รับ พระคัมภีร์เรียกความปรารถนาที่จริงจังเช่นนั้นว่าเป็น “เจตนาแท้จริง” ซึ่งพยายาม “ด้วยความตั้งใจเด็ดเดี่ยว, โดยไม่ทำการหน้าซื่อใจคดและการหลอกลวงต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า”11 ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าในการตอบสนองคำรบเร้า เช่นนั้น พระผู้เป็นเจ้าจะทรงส่งความช่วยเหลือมาจากทั้งสองฝั่งของม่านเพื่อเสริมสร้างความเชื่อเรา

ข้าพเจ้ากล่าวว่าข้าพเจ้ากำลังพูดกับคนรุ่นเยาว์ ข้าพเจ้ายังคงพูดอยู่ เมื่อไม่นานมานี้เด็กหนุ่มวัย 14 ปีพูดกับข้าพเจ้าด้วยความลังเลเล็กน้อยว่า “บราเดอร์ฮอลแลนด์ ผมยังบอกไม่ได้ว่าผมทราบว่าศาสนจักรนี้จริง แต่ผมเชื่ออย่างนั้น” ข้าพเจ้ากอดเด็กคนนั้นไว้แน่นจนเขาตาถลน และบอกเขาด้วยจิตวิญญาณแรงกล้าทั้งหมดว่าคำว่า เชื่อ เป็นคำล้ำค่า แม้นถึงกับเป็นการกระทำที่ล้ำค่ายิ่งกว่า และเขาไม่จำเป็นต้องขอโทษเลยสำหรับ “การเชื่อเพียงอย่างเดียว” ข้าพเจ้าบอกเขาว่าพระคริสต์ตรัสด้วยพระองค์เองว่า “อย่าวิตกเลย จงเชื่อเท่านั้น” 12 นั่นคือข้อความที่กอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์สมัยหนุ่มนำไปสนามเผยแผ่ด้วย13 ข้าพเจ้าบอกเด็กหนุ่มผู้นี้ว่าความเชื่อมักจะเป็นก้าวแรกไปสู่ความแน่ใจเสมอ และหลักนิยามความเชื่อซึ่งเรามีร่วมกันเน้นย้ำวลี “เราเชื่อ”14 อย่างทรงพลัง และข้าพเจ้าบอกเขาว่าข้าพเจ้าภาคภูมิใจที่เขาที่ซื่อสัตย์เรื่องการแสวงหานี้

บัดนี้ ด้วยประโยชน์จากช่วงเวลาเกือบ 60 ปีตั้งแต่เป็นผู้เริ่มเชื่อวัย 14 ปี ข้าพเจ้าขอกล่าวบางอย่างที่ข้าพเจ้าทราบเวลานี้ ข้าพเจ้าทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระบิดาในสวรรค์ผู้เปี่ยมด้วยความรักและการให้อภัยทุกเวลา ในทุกด้าน และในทุกสภาวการณ์ ข้าพเจ้าทราบว่าพระเยซูทรงเป็นบุตรที่ดีพร้อมเพียงพระองค์เดียว ผู้ทรงสละพระชนม์ชีพด้วยความรักตามพระประสงค์ของทั้งพระบิดาและพระบุตรเพื่อการไถ่ของพวกเราที่เหลือซึ่งไม่ดีพร้อม ข้าพเจ้าทราบว่าพระองค์ทรงฟื้นจากความตายนั้นเพื่อมีพระชนม์ชีพอีกครั้ง และเพราะพระองค์ทรงฟื้น ท่านกับข้าพเจ้าจะฟื้นเช่นกัน ข้าพเจ้าทราบว่าโจเซฟ สมิธผู้ยอมรับว่าตนเองไม่ดีพร้อม15 แต่ท่านยังได้รับเลือกให้เป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อฟื้นฟูพระกิตติคุณอันเป็นนิจมายังแผ่นดินโลก ข้าพเจ้าทราบด้วยว่าในการทำเช่นนั้น—โดยเฉพาะผ่านการแปลพระคัมภีร์มอรมอน—ท่านได้สอนข้าพเจ้าถึงความรักของพระผู้เป็นเจ้า ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ และพลังอำนาจฐานะปุโรหิตมากกว่าศาสดาพยากรณ์ท่านใดที่ข้าพเจ้าเคยอ่าน เคยรู้จัก หรือเคยได้ยินในการแสวงหาชั่วชีวิต ข้าพเจ้าทราบว่าประธานโธมัส เอส. มอนสัน ผู้เข้าสู่ปีที่ 50 ของการแต่งตั้งเป็นอัครสาวกด้วยการอุทิศตนอย่างร่าเริง เป็นผู้สืบทอดเสื้อคลุมแห่งศาสดาพยากรณ์อย่างชอบธรรมในปัจจุบัน เราเห็นเสื้อคลุมนั้นอยู่กับท่านอีกครั้งหนึ่งในการประชุมใหญ่นี้ ข้าพเจ้าทราบว่าชายอีก 14 คนที่พวกท่านสนับสนุนเป็นศาสดาพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และผู้เปิดเผยล้วนสนับสนุนประธานมอนสันด้วยมือ ด้วยใจ และด้วยกุญแจอัครสาวกที่ถืออยู่

ข้าพเจ้าประกาศสิ่งเหล่านี้ต่อท่านด้วยความเชื่อมั่นที่เปโตรเรียกว่า “คำเผยพระวจนะที่แน่นอนยิ่งกว่า”16 สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมล็ดเล็กๆ แห่งความเชื่อสำหรับข้าพเจ้า บัดนี้กลายเป็นต้นไม้แห่งชีวิต ดังนั้นหากศรัทธาของท่านถูกทดสอบเวลานี้หรือเวลาใดก็ตาม ข้าพเจ้าขอเชื้อเชิญให้ท่านพึ่งพิงศรัทธาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทราบว่างานนี้คือความจริงอันเที่ยงแท้ของพระผู้เป็นเจ้า และข้าพเจ้าทราบว่าเราตกอยู่ในอันตรายแน่นอนหากเรายอมปล่อยให้ความสงสัยหรือมารครอบงำเราออกจากเส้นทางนี้ จงหวังต่อไป เดินหน้าต่อไป ยอมรับข้อสงสัยและปัญหาของท่านอย่างจริงใจ แต่ก่อนอื่นและตลอดชั่วนิรันดรจงพัดไฟศรัทธาของท่านให้ลุกโชน เพราะสิ่งทั้งปวงย่อมเป็นไปได้กับคนที่เชื่อ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน