พระผู้ช่วยให้รอดทรงต้องการให้อภัย
พระเจ้าทรงรักเราและทรงต้องการให้เราเข้าใจความเต็มพระทัยของพระองค์ที่จะให้อภัย
ในช่วงเวลาของการปฏิบัติศาสนกิจในความเป็นมรรตัยของพระผู้ช่วยให้รอดของเรามีผู้ติดตามพระองค์มากมาย รวมทั้งพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี “มาจากทั่วทุกหมู่บ้านในแคว้นกาลิลี แคว้นยูเดียและกรุงเยรูซาเล็ม”1 ชายที่เป็นง่อยนอนอยู่บนที่นอนปรารถนาจะได้รับการรักษาถูกหามมายังที่ชุมนุมใหญ่แต่ไม่สามารถพาเขาเข้าใกล้พระผู้ช่วยให้รอดได้ เพื่อนๆ ของเขาจึงยกเขาขึ้นไปบนหลังคาตึกที่พระองค์ประทับอยู่แล้วหย่อนเขาลงมา เมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นการแสดงศรัทธาครั้งนี้ ด้วยจุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่ที่ผู้ฟังของพระองค์ก็ยังไม่รู้ พระผู้ช่วยให้รอดทรงประกาศว่า “เพื่อนเอ๋ย บาปต่างๆ ของท่านได้รับการยกโทษแล้ว”2
เรื่องนี้ต้องทำให้ชายคนนั้นประหลาดใจ – และแม้ว่าในพระคัมภีร์จะไม่ได้บอกว่าเขามีปฏิกิริยาอย่างไร เขาอาจสงสัยว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงเข้าพระทัยอย่างแท้จริงว่าทำไมเขาจึงมาหรือไม่
พระผู้ช่วยให้รอดทรงรู้ว่าผู้คนมากมายติดตามพระองค์เพราะปาฏิหาริย์อันทรงฤทธานุภาพของพระองค์ พระองค์ทรงเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่น3 ขับผีโสโครก4 รักษาบุตรข้าราชการ5 คนโรคเรื้อน6 แม่ยายของเปโตร7 และคนอื่นๆ อีกมาก8 มาแล้ว
แต่กับคนง่อยคนนี้ พระเจ้าทรงเลือกที่จะแสดงหลักฐานแห่งบทบาทอันโดดเด่นของพระองค์ในการเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลกทั้งแก่สาวกและผู้ให้ร้าย เมื่อได้ยินพระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอด พวกธรรมาจารย์และ พวกฟาริสีเริ่มถกเถียงกันเอง พูดถึงการหมิ่นประมาทพระเจ้าอย่างโง่เขลาแล้วสรุปเอาเองว่าพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น จะให้อภัยบาปได้ เมื่อทรงรู้ความคิดของคนเหล่านั้น พระผู้ช่วยให้รอดจึงตรัสกับพวกเขาว่า
“ทำไมท่านทั้งหลายจึงคิดในใจอย่างนี้?
“การที่พูดว่า บาปต่างๆ ของท่านได้รับการยกโทษแล้ว กับการพูดว่า จงลุกขึ้นเดินไปเถิด แบบไหนจะง่าย กว่ากัน?”9
โดยไม่รอให้พวกเขาตอบ พระผู้ช่วยให้รอดตรัสต่อไปว่า “แต่ทั้งนี้เพื่อให้พวกท่านรู้ว่าบุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจ ในโลก ที่จะยกโทษบาปได้ [แล้วพระองค์ทรงหันไปหา ชายง่อย] เราสั่งท่านว่า จงลุกขึ้นยกที่นอนแล้วกลับไปที่บ้านของท่าน”10 และเขาทำ
ด้วยการรักษาทางกายอันน่าอัศจรรย์นี้ พระผู้ช่วยให้รอดทรงยืนยันต่อเราทุกคนถึงความจริงทางวิญญาณ ที่ทรงพลังกว่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด: บุตรมนุษย์ทรงยกโทษบาปได้!
ขณะที่ความจริงข้อนี้ได้รับการยอมรับโดยผู้เชื่อทุกคน แต่สิ่งไม่อาจยอมรับได้โดยง่ายคือความสำคัญที่มาคู่กับความจริง: พระผู้ช่วยให้รอดทรงให้อภัยบาป “ในโลก” และไม่เฉพาะการพิพากษาครั้งสุดท้ายเท่านั้น พระองค์ไม่ทรงแก้ต่างให้เรา ใน บาปของเรา11 พระองค์ไม่ทรงละเว้นโทษเราในการกลับไปสู่บาปในอดีตอีกครั้ง12 แต่เมื่อเรากลับใจและปฏิบัติตามพระกิตติคุณของพระองค์ พระองค์ทรงให้อภัยเรา13
ในการให้อภัยนี้เราเห็นการประยุกต์ใช้พลังในการทำให้เป็นไปได้ และ พลังแห่งการไถ่ของการชดใช้ อย่างกลมกลืน และงดงาม หากเราใช้ศรัทธาในพระเจ้า พระเยซูคริสต์ พลังในการทำให้เป็นไปได้ของการชดใช้ เสริมสร้างความเข้มแข็ง แก่เราในยามต้องการ14 และพลังการไถ่ของพระองค์ ชำระเราให้บริสุทธิ์ เมื่อเรา “ทิ้งความเป็น มนุษย์ปุถุชน”15 เรื่องนี้นำความหวังมาสู่คนทั้งปวงโดยเฉพาะผู้ที่รู้สึกว่าความอ่อนแอของมนุษย์ที่กลับมาอีกครั้งเป็นสิ่งซึ่งนอกเหนือความเต็มพระทัยของพระผู้ช่วยให้รอดที่จะช่วยและช่วยให้รอด
โดยเปิดโอกาสให้พระผู้ช่วยให้รอดประทานความสว่างแก่ความเข้าใจของเรา16 ครั้งหนึ่งเปโตรถามว่าท่านควรให้อภัยให้พี่น้องของท่านกี่ครั้งและ ถามอีกว่า “ถึงเจ็ดครั้งเชียวหรือ” แน่นอนนั่นมากเกินพอแล้ว แต่พระดำรัสตอบของพระผู้ช่วยให้รอดเปิดประตูให้กว้างออกจนเห็นพระหทัยอันเปี่ยมด้วยพระเมตตา ของพระองค์: “เรา ไม่ได้ บอกท่านว่าเจ็ดครั้งแต่เจ็ดสิบครั้งคูณเจ็ด”17
พระเจ้าทรงรักเราและทรงต้องการให้เราเข้าใจความเต็มพระทัยของพระองค์ที่จะให้อภัย ในหลักคำสอนและ พันธสัญญา มีมากกว่า 20 ครั้งที่พระเจ้าตรัสบอกผู้ที่พระองค์กำลังตรัสด้วยว่า “บาปของเจ้าได้รับการให้อภัยแล้ว” หรือ ถ้อยคำที่คล้ายคลึงกัน18 เกือบครึ่งหนึ่งของโอกาสเหล่านั้น พระวจนะของพระเจ้ามุ่งไปที่ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธอย่างเจาะจง บางครั้งตรัสกับท่านเพียงคนเดียว บางครั้งก็มีผู้อื่นอยู่ด้วย19 ครั้งแรกในเรื่องนีับันทึกไว้เมื่อปี 1830 และครั้งสุดท้ายเมื่อปี 1843 ดังนั้น ในช่วงเวลาหลายปี พระเจ้าตรัสบอกโจเซฟซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “บาปของเจ้าได้รับการให้อภัยแล้ว”
ขณะที่โจเซฟไม่มี “ความผิดเพราะบาปร้ายแรงหรือชั่วช้าเลย”20 เราจำได้ดีว่าด้วยข้อยกเว้นไม่กี่ข้อ “เจ็ดสิบครั้ง คูณเจ็ด” ของพระเจ้าไม่จำกัดการให้อภัยตามความร้ายแรงของบาป
ขณะตรัสกับเอ็ลเดอร์ที่ชุมนุมกันในเคิร์ทแลนด์ พระเจ้าตรัสว่า “เราประสงค์ให้เจ้าชนะโลก;ดังนั้นเราจะมีความสงสารเจ้า”21 พระเจ้าทรงรู้ถึงความอ่อนแอของเราและผลนิรันดร์ของ “โลก” ที่มีต่อชายและหญิงที่ยังไม่ดีพร้อม22 คำว่า ดังนั้น ในข้อนี้เป็นการยืนยันของพระองค์ว่าโดยอาศัยพระเมตตาของพระองค์ เท่านั้นที่เราจะ “ชนะโลก” ได้ในที่สุด พระเมตตานั้นทำให้ประจักษ์ได้อย่างไร? กับเอ็ลเดอร์กลุ่มเดียวกันนี้ใน เคิร์ทแลนด์พระองค์ตรัสว่า “เราให้อภัยเจ้าแล้วในบาปของเจ้า”23พระผู้ช่วยให้รอดทรงต้องการให้อภัย
ไม่มีใครจำเป็นต้องคิดว่าการให้อภัยนี้จะมาโดยไม่ต้องมีการกลับใจ ตามจริงแล้ว พระเจ้าทรงประกาศไว้ว่า “เรา, พระเจ้าให้อภัยคนเหล่านั้นที่สารภาพบาปของตนต่อหน้าเราและขออภัย,” และจากนั้นพระองค์ทรงขยายความด้วยคำเตือนว่า “ผู้มิได้ทำบาปซึ่งนำไปสู่ความตาย”24 ในขณะที่พระเจ้า “ไม่อาจมองดูบาปด้วยระดับความยินยอมแม้เล็กน้อยที่สุด”25 กระนั้นพระองค์ยังทรงให้ความแตกต่างความหนักของบาปบางอย่าง พระองค์ทรงกำหนดไว้ว่าจะไม่มีการให้อภัยสำหรับ “การลบหลู่พระวิญ ญาณบริสุทธิ์”26 พระองค์ประกาศความหนักของการฆาตกรรม27 และทรงเน้นความร้ายแรงของบาปทางเพศ อย่างเช่นการล่วงประเวณี28 พระองค์ทรงทำให้เป็นที่รู้ว่าการทำบาปทางเพศที่ร้ายแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้รับการให้อภัยจากพระองค์ยากขึ้น29 และพระองค์ตรัสไว้ว่า “และคนที่ทำบาปต่อความสว่างที่เจิดจ้ากว่าจะถูกกล่าวโทษหนักกว่าเดิม”30 แม้กระนั้น ในพระเมตตาของพระองค์ พระองค์ทรงอนุญาตให้มีการพัฒนาไปตามเวลาแทนที่จะทรงเรียกร้องความดีพร้อมในทันที แม้บาปมากมายที่เกิดจากความอ่อนแอของความเป็นมนุษย์ พระองค์ก็ยังให้อภัยครั้งแล้วครั้งเล่า บ่อยเท่าที่เราจะกลับใจและแสวงหาการให้อภัยของพระองค์31
ด้วยเหตุนี้ เราทั้งหลาย รวมถึงผู้ที่พยายามต่อสู้ที่จะเอาชนะนิสัยเสพติดบางอย่างไม่ว่าจะเป็นการใช้สารเสพติด หรือสื่อลามก และผู้ที่ใกล้ชิดกับคนเหล่านั้น ควรรู้ว่าพระเจ้าจะทรงจดจำความพยายามอันชอบธรรมของเรา และจะทรงให้อภัยด้วยความรักเมื่อมีการกลับใจอย่างสมบูรณ์ “ จนถึงเจ็ดสิบคูณเจ็ด” แต่นี่ไม่ได้หมายความ ว่าเราจะ ตั้งใจกลับไปทำบาปอีกเพราะรู้ว่าจะได้รับการให้อภัย32
พระเจ้าทรงสนพระทัย จิตใจเราเสมอ33 และทรงให้เหตุผลว่าศรัทธา เทียมเท็จ ไม่อาจทำให้บาปเป็นสิ่งถูกต้อง34 ในสมัยการประทานนี้พระเจ้าทรงเตือนผู้รับใช้คนหนึ่งของพระองค์ที่อ้างเหตุผลแบบนั้นโดยทรงประกาศว่า “ให้ [เขา] ละอายเกี่ยวกับพวกนิโคเลาส์นิยม และความน่าชิงชังลับๆ ทั้งปวงของพวกเขา”35 พวกนิโคเลาส์นิยมเป็นนิกายโบราณทางศาสนาอย่างหนึ่งที่อ้างการอนุญาตให้ละเมิดบาปทางเพศได้โดยอาศัยพระคุณของพระเจ้า36 เรื่องนี้ไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า37 พระเมตตาและพระคุณของพระองค์ไม่ยกโทษเรา เมื่อ “ใจ [ของ เรา] ไม่อิ่ม และ [เรา] หาเชื่อฟังความจริงไม่, แต่สุขใจในความไม่ชอบธรรม”38 สิ่งที่ควรจะเป็นคือหลังจากเราทำทุกสิ่้งที่ทำได้39พระเมตตาและพระคุณของพระองค์เป็นเครื่องมือที่ “ตามวิถีแห่งเวลา”40 เราจะเอาชนะโลกผ่านพลังในการทำให้เป็นไปได้ของการชดใช้ ขณะที่เราแสวงหาของประทานอันมีค่านี้ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน “สิ่งที่อ่อนแอกลับเข้มแข็งสำหรับ [เรา]” 41 และโดยพลานุภาพของพระองค์ ทำให้เราสามารถทำในสิ่ง ที่ เราไม่อาจทำได้ด้วยตนเอง
พระเจ้าทรงทอดพระเนตรที่ความสว่างที่เราได้รับ42 ความปรารถนาของใจเรา43 และการกระทำของเรา44 และเมื่อเรากลับใจและแสวงหาการให้อภัยของพระองค์ พระองค์ทรงให้อภัย ขณะเราพิจารณาชีวิตของเรา และชีวิตของคนที่เรารักและคุ้นเคย เราควรเต็มใจให้อภัยตัวเราเองและคนอื่นๆ ในระดับที่เท่าเทียมกัน45
สั่งสอนกิตติคุณของเรา พูดถึงความยากของการเอาชนะนิสัยเสพติดและกระตุ้นผู้ดำรงฐานะปุโรหิตและสมาชิก ว่า “ไม่ให้ตกใจหรือท้อแท้” ถ้าผู้สนใจหรือสมาชิกใหม่ยังต้องพยายามต่อสู้กับปัญหาแบบนั้น เราได้รับคำแนะนำว่าสิ่งที่ควรทำคือ “แสดงความมั่นใจและอย่าเพิ่งไปตัดสินบุคคลนั้น … ให้มองว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นเพียง ชั่วคราวและเป็นสิ่งที่เข้าใจได้”46 เราควรปฏิบัติในระดับที่ด้อยกว่าต่อลูกๆ หรือสมาชิกในครอบครัวของเราเอง หรือไม่ หากพวกเขาต้องต่อสู้กับปัญหาที่คล้ายคลึงกัน โดยหลงออกไปชั่วคราวจากวิถีทางแห่งความชอบธรรม? แน่นอนพวกเขาสมควรได้รับความแน่วแน่ ความอดทนและความรัก—และใช่แล้ว การให้อภัยจากเรา
ในการประชุมใหญ่สามัญเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ประธานมอนสันให้คำแนะนำว่า
“เราต้องนึกอยู่เสมอว่าคนเราเปลี่ยนแปลงได้ พวกเขาทิ้งนิสัยไม่ดีได้ กลับใจจากการล่วงละเมิดได้ …
“… เราสามารถช่วยพวกเขาเอาชนะข้อบกพร่อง เราต้องพัฒนาความสามารถที่จะ ไม่ มอง มนุษย์ดังที่พวกเขา เป็นแต่มองดังที่พวกเขาจะเป็น”47
ที่การประชุมใหญ่ของศาสนจักรในยุคต้นๆ ครั้งหนึ่ง ซึ่งคล้ายกับการประชุมใหญ่นี้ พระเจ้าตรัสบอกสมาชิกว่า
ตามจริงแล้วเรากล่าวแก่เจ้า, เจ้าสะอาด, แต่ไม่ทั้งหมด; …
“เพราะ เนื้อหนังทั้งปวง เสื่อมโทรมต่อเรา …
“… เพราะตามจริงแล้ว บางคนในพวกเจ้าทำผิดต่อเรา,แต่เราจะเมตตาต่อความอ่อนแอของเจ้า”48
วันนี้้ข่าวสารของพระองค์ยังเหมือนเดิม
พระบิดาบนสวรรค์ทรงรู้ว่าสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่คือการที่เราทุกคนทำบาปและ “เสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า” 49 ครั้งแล้ว ครั้งเล่า พระองค์ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ ผู้ทรง “รู้ความอ่อนแอของมนุษย์และรู้ว่าจะช่วยคนเหล่านั้นที่ถูกล่อลวงได้อย่างไร”50 พระองค์ทรงสอนให้เรา “สวดอ้อนวอนเสมอเพื่อ มิให้[เรา] เข้าไปสู่การล่อลวง”51 มีคนบอกเราให้ “เรียกหา [พระผู้เป็นเจ้า]เพื่อ พระเมตตา; เพราะพระองค์ทรงอานุภาพที่จะช่วยให้รอด”52 พระผู้ช่วยให้รอดทรงบัญชาเราให้กลับใจ53 และให้อภัย54 และแม้ว่าการกลับใจไม่ใช่เรื่องง่าย ขณะที่เราพยายามต่อสู้ด้วยสุดใจของเราที่จะปฏิบัติตามพระกิตติคุณของพระองค์ พระองค์ประทานพระสัญญาว่า “ตามจริงแล้ว เรากล่าวแก่เจ้า, ทั้งที่ [พวกเจ้า] มีบาป, อุทรของเราเต็มไปด้วยความสงสารต่อ [พวกเจ้า].เราจะไม่ขับ [พวกเจ้า] ออกไปทั้งหมด; และในวันแห่งความโกรธ เราจะนึกถึงความเมตตา.”55 พระผู้ช่วยให้รอดทรงต้องการให้อภัย
ทุกสัปดาห์คณะนักร้องประสานเสียงมอรมอนแทเบอร์นาเคิลเริ่มการกระจายเสียงที่ได้รับการดลใจด้วยเนื้อร้องจากเพลงสวดของวิลเลียม ดับเบิลยู. เฟลพ์ส ที่คุ้นเคย “Gently Raise the Sacred Strain” สิ่งที่ไม่คุ้นเคยคือถ้อยคำปลอบโยนของข้อสี่:
ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์คือพระเจ้า
ล้ำค่า ล้ำค่า คือพระวจนะ
จงกลับใจและมีชีวิต;
แม้บาปของท่านเป็นสีแดงเข้ม
โอ้ จงกลับใจ และพระองค์จะทรงให้อภัย56
ข้าพเจ้าเชื้อเชิญท่านให้จดจำและเชื่อพระวจนะของพระเจ้าและใช้ศรัทธาสู่การกลับใจ57 พระองค์ทรงรักท่าน พระองค์ทรงต้องการให้อภัย ข้าพเจ้าเป็นพยานดังนี้ในพระนามของพระเยซู คริสต์ เอเมน