บ้าน: โรงเรียนแห่งชีวิต
บทเรียน…เรียนรู้ในบ้าน—สถานที่ซึ่งสามารถเป็นสวรรค์น้อยๆ ที่นี่บนแผ่นดินโลก
บิดามารดาบางคนแก้ตัวสำหรับความผิดที่พวกเขาก่อที่บ้านโดยอ้างว่าเหตุผลที่เป็นเช่นนี้เพราะไม่มีโรงเรียนสอนการเลี้ยงดูลูก
ในความเป็นจริงมีโรงเรียนแบบนี้อยู่จริงและสามารถเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน โรงเรียนแห่งนี้เรียกว่า บ้าน
เมื่อข้าพเจ้านึกย้อนไปในความทรงจำข้าพเจ้า ข้าพเจ้านึกถึงช่วงเวลาอันล้ำค่าที่ข้าพเจ้าประสบกับภรรยา ขณะที่ข้าพเจ้าแบ่งปันความทรงจำเหล่านี้กับท่าน ท่านอาจย้อนนึกถึงประสบการณ์ของท่านเอง – ทั้งสุขและทุกข์ ซึ่งเราต่างก็เรียนรู้จากสิ่งนี้
1. พระวิหารคือสถานที่ถูกต้อง
เมื่อข้าพเจ้ากลับจากสนามเผยแผ่ข้าพเจ้าพบกับสาวสวยผมสีดำยาวลงมาถึงเอว เธอมีตากลมโตสีน้ำผึ้งอันงดงามและมีรอยยิ้มที่ชวนยิ้มตาม เธอทำให้ข้าพเจ้าหลงรักตั้งแต่แรกเห็น
ภรรยาข้าพเจ้าตั้งเป้าหมายที่จะแต่งงานในพระวิหาร ถึงแม้ว่าในเวลานั้นพระวิหารใกล้ที่สุดต้องเดินทางกว่า 4,000 ไมล์ (6,400 กิโลเมตร)
การแต่งงานตามกฎหมายของเราเป็นทั้งทุกข์และสุขเพราะเราแต่งงานพร้อมวันหมดอายุ เจ้าหน้าที่ประกาศว่า “บัดนี้ข้าพเจ้าประกาศให้ท่านเป็นสามีและภรรยากัน” แต่ทันทีหลังจากนั้นเขากล่าวว่า “จนกว่าความตายจะพรากท่าน”
เราจึงเสียสละเก็บเงินเพื่อซื้อตั๋วเที่ยวเดียวไปพระวิหารเมซา แอริโซนา
ภายในพระวิหาร ขณะที่เราคุกเข่าลงที่แท่น ผู้รับใช้ที่ได้รับอนุญาตกล่าวถ้อยคำที่ข้าพเจ้าปรารถนาซึ่งประกาศให้เราเป็นสามีและภรรยาเพื่อกาลเวลาและเพื่อชั่วนิรันดร
เพื่อนคนหนึ่งพาเราไปโรงเรียนวันอาทิตย์ ระหว่างการประชุมเขายืนขึ้นและแนะนำเราให้ชั้นเรียนรู้จัก เมื่อการประชุมเสร็จสิ้นบราเดอร์คนหนึ่งมาหาข้าพเจ้า จับมือข้าพเจ้า และใส่ธนบัตร 20 ดอลล่าร์ไว้ในมือข้าพเจ้า จากนั้นไม่นานบราเดอร์อีกคนหนึ่งก็ยื่นมือมาหาข้าพเจ้าเช่นกัน ข้าพเจ้าประหลาดใจที่เขาก็ใส่ธนบัตรไว้ในมือข้าพเจ้าด้วยเช่นกัน ข้าพเจ้ารีบหาภรรยาของข้าพเจ้าผู้อยู่อีกฝั่งหนึ่งของห้องและตะโกนว่า “บลางกีจับมือกับทุกคน!”
จากนั้นไม่นานเราก็รวบรวมเงินจนพอที่จะกลับไปกัวเตมาลา
“ในรัศมีภาพซีเลสเชียลมีสวรรค์หรือระดับสามชั้น;
“และเพื่อจะให้บรรลุถึงชั้นสูงสุด, มนุษย์ต้องเข้าสู่ระเบียบนี้ของฐานะปุโรหิต”1
2. การโต้เถียงต้องมีสองคน
คติพจน์หนึ่งของภรรยาข้าพเจ้าคือ “การโต้เถียงต้องมีสองคน และฉันจะไม่มีวันเป็นหนึ่งในนั้น”
พระเจ้าทรงอธิบายอย่างชัดเจนถึงคุณลักษณะที่เราควรนำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติกับผู้อื่น คุณลักษณะเหล่านี้คือการชักชวน ความอดกลั้น ความสุภาพอ่อนน้อม ความอ่อนโยน และความรักที่ไม่เสแสร้ง2
การทารุณกรรมทางร่างกายเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักในสังคมบางแห่ง และเราปลื้มปีติในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม เรายังห่างไกลจากการขจัดการทารุณกรรมทางอารมณ์อยู่อีกมาก อันตรายที่เกิดจากการทารุณกรรมรูปแบบนี้ฝังแน่นในความทรงจำของเรา เป็นอันตรายต่อบุคลิกภาพของเรา ปลูกฝังความเกลียดชังในใจเรา ลดความคารพตนเองและทำให้เราเต็มไปด้วยความกลัว
การมีส่วนร่วมในศาสนพิธีแต่งงานแห่งอาณาจักรซีเลสเชียลนั้นไม่เพียงพอ เรายังต้องดำเนินชีวิตตามชีวิตแห่งอาณาจักรซีเลสเชียลด้วย
3. เด็กที่ร้องเพลงเป็นเด็กที่มีความสุข
นี่เป็นคติพจน์อีกหัวข้อหนึ่งที่ภรรยาของข้าพเจ้ากล่าวถึงบ่อย ๆ
พระผู้ช่วยให้รอดเข้าพระทัยถึงความสำคัญของบทเพลงศักดิ์สิทธิ์ หลังจากที่พระองค์ทรงถือปฏิบัติปัสกากับสานุศิษย์ พระคัมภีร์กล่าวว่า “เมื่อร้องเพลงสรรเสริญแล้ว พวกเขาก็พากันไปที่ภูเขามะกอกเทศ”3
และพระองค์ทรงกล่าวผ่านศาสดาพยากรณ์โจเซฟว่า “เพราะจิตวิญญาณเราเบิกบานในเพลงจากใจ; แท้จริงแล้ว, เพลงจากคนชอบธรรมเป็นคำสวดอ้อนวอนต่อเรา, และจะได้รับตอบด้วยพรบนศีรษะพวกเขา.”4
ช่างน่าประทับใจเพียงใดเวลาได้ยินบทเพลงของเด็กๆ ที่เรียนรู้จากบิดามารดาของเขาให้ร้องเพลง “ฉันลูกพระผู้เป็นเจ้า”5
4. ฉันต้องการให้คุณกอดฉัน
คำว่า “ฉันรักเธอ” “ขอบคุณมาก” และ “โปรดให้อภัยฉัน” เป็นยาสำหรับจิตวิญญาณ สิ่งนี้เปลี่ยนน้ำตาให้เป็นความสุข และนำการปลอบประโลมไปสู่จิตวิญญาณที่หนักอึ้งและยืนยันถึงความรู้สึกอันละเอียดอ่อนของใจเรา เหมือนพืชที่เหี่ยวเฉาเพราะขาดน้ำอันล้ำค่า ความรักของเราร่วงโรยและตายไปเมื่อเราหยุดพูดและแสดงความรัก
ข้าพเจ้ายังจำสมัยที่เราเคยส่งจดหมายรักทางไปรษณีย์หรือเก็บเหรียญสองสามเหรียญเพื่อโทรศัพท์หาคนที่เรารักจากตู้โทรศัพท์หรือวาดรูปและเขียนกลอนรักบนกระดาษเปล่า
วันนี้สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดฟังดูเหมือนวัตถุในพิพิธภัณฑ์ไปแล้ว!
เทคโนโลยีทุกวันนี้และสมัยนี้ช่วยให้เราทำสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ เป็นเรื่องง่ายเพียงใดที่จะส่งข้อความแห่งความรักและความขอบคุณผ่านเครื่องมือสื่อสาร วัยรุ่นทำกันตลอดเวลา ข้าพเจ้าสงสัยว่าวิธีปฏิบัติแบบนี้และการปฏิบัติที่สวยงามแบบอื่น ๆ จะเกิดขึ้นต่อไปเมื่อบ้านของเราสร้างเสร็จแล้วหรือไม่ เมื่อเร็ว ๆ นี้ข้าพเจ้าได้รับข้อความโทรศัพท์จากภรรยาของข้าพเจ้าที่เขียนแบบนี้ “อ้อมกอดเหมือนสรวงสวรรค์ จุมพิตดุจดวงตะวัน และสายัณห์ดั่งจันทรา ขอให้วันนี้มีความสุข ฉันรักคุณ”
ข้าพเจ้าอดรู้สึกเหมือนอยู่ในสวรรค์ไม่ได้เวลาได้รับข้อความแบบนี้
พระบิดาบนสวรรค์ของเราทรงเป็นแบบอย่างที่สมบูรณ์แบบของการแสดงความรัก เมื่อพระองค์ทรงนำเสนอพระบุตรของพระองค์พระองค์ทรงใช้คำว่า “นี่คือบุตรที่รักของเรา, ผู้ที่เราพอใจมาก”6
5. ฉันรักพระคัมภีร์มอรมอนและพระผู้ช่วยให้รอดของฉัน พระเยซูคริสต์
ข้าพเจ้าเปี่ยมด้วยความตื้นตันใจเวลาที่ข้าพเจ้าเห็นภรรยาของข้าพเจ้าอ่านพระคัมภีร์มอรมอนทุกวัน เมื่อเธออ่านข้าพเจ้าสามารถสัมผัสถึงประจักษ์พยานของเธอเมื่อได้เห็นความสุขบนใบหน้าขณะเธออ่านข้อพระคัมภีร์ที่เป็นพยานถึงพันธกิจของพระผู้ช่วยให้รอด
พระวจนะของพระผู้ช่วยให้รอดของเราช่างปราดเปรื่องเพียงใด “พวกท่านค้นดูในพระคัมภีร์เพราะท่านคิดว่าในนั้นมีชีวิตนิรันดร์ และพระคัมภีร์นั้นเองเป็นพยานให้กับเรา”7
ด้วยแรงบันดาลใจจากถ้อยคำนี้ ข้าพเจ้าถามราเคลหลานสาวที่เพิ่งเรียนการอ่านว่า “หลานจะว่ายังไงเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายอ่านพระคัมภีร์มอรมอน”
คำตอบของเธอคือ “แต่คุณปู่ขา มันยากนะคะ มันหนามากเลย”
ข้าพเจ้าจึงขอให้เธออ่านหนึ่งหน้ากระดาษให้ข้าพเจ้าฟัง ข้าพเจ้าหยิบนาฬิกาจับเวลาออกมาและจับเวลา และพูดว่า “หลานใช้เวลาแค่สามนาทีเท่านั้นเอง พระคัมภีร์มอรมอนฉบับภาษาสเปนมี 642 หน้า เพราะฉะนั้นหลานต้องใช้เวลา 1,926 นาที”
นั่นอาจทำให้เธอกลัวมากไปอีก ข้าพเจ้าจึงนำตัวเลขนั้นมาหารด้วย 60 นาทีและบอกเธอว่าเธอจะใช้เวลาเพียง 32 ชั่วโมงที่จะอ่านจนจบ—น้อยกว่าหนึ่งวันครึ่งเสียอีก!
จากนั้นเธอบอกข้าพเจ้าว่า “นั่นง่ายมากเลยค่ะ คุณปู่”
ท้ายที่สุดราเคล เอสเตบานน้องชายของเธอ และหลานคนอื่น ๆ ของเราใช้เวลามากกว่านั้นเพราะหนังสือเล่มนี้คือพระคัมภีร์ที่ต้องอ่านด้วยวิญญาณแห่งการสวดอ้อนวอนและการตรึกตรอง
เมื่อเวลาผ่านไปดั่งที่เราเรียนรู้ที่จะเบิกบานในพระคัมภีร์ เราจะป่าวร้องเฉกเช่นผู้กล่าวคำสดุดีว่า “พระดำรัสของพระองค์นั้น ข้าพระองค์ชิมแล้วหวานจริง ๆ หวานกว่าน้ำผึ้งเมื่อถึงปากข้าพระองค์”8
6. การรู้พระคัมภีร์นั้นยังไม่เพียงพอ เราต้องดำเนินชีวิตตามนั้น
ข้าพเจ้าจำได้ว่าเมื่อข้าพเจ้าเป็นอดีตผู้สอนศาสนาและได้ค้นคว้าพระคัมภีร์อย่างพากเพียร ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้ารู้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง ช่วงที่เราคบหากันข้าพเจ้าและบลังกีจะศึกษาพระคัมภีร์ด้วยกัน ข้าพเจ้าใช้บันทึกและข้ออ้างอิงต่างๆ มากมายเพื่อแบ่งปันความรู้พระกิตติคุณของข้าพเจ้ากับเธอ หลังจากที่เราแต่งงานแล้วข้าพเจ้าตระหนักอย่างจริงจังจากการเรียนรู้บทเรียนที่ยิ่งใหญ่จากเธอว่า ข้าพเจ้าอาจพยายาม สอน พระกิตติคุณแก่เธอ แต่เธอสอนให้ข้าพเจ้า ดำเนินชีวิตตาม พระกิตติคุณ
เมื่อพระผู้ให้รอดทรงจบการเทศนาบนภูเขาพระองค์ประทานคำแนะนำที่ปราดเปรื่องนี้ “เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและประพฤติตาม ก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างบ้านของตนไว้บนศิลา”9
บรรดาผู้ที่ดำเนินชีวิตตามหลักธรรมแห่งอาณาจักรซีเลสเชียลดังที่พบในพระคัมภีร์จะปลอบประโลมผู้ที่เป็นทุกข์ พวกเขานำปีติมาสู่ผู้ที่เศร้าโศก การนำทางแก่ผู้ที่หลงทาง สันติสุขแก่ผู้ที่โศกเศร้า และแนวทางอันแน่นอนแก่ผู้แสวงหาความจริง
สรุปคือ
-
พระวิหารคือสถานที่ถูกต้อง
-
การโต้เถียงต้องมีสองคน และฉันจะไม่มีวันเป็นหนึ่งในสองคนนั้น
-
เด็กที่ร้องเพลงเป็นเด็กที่มีความสุข
-
ฉันต้องการให้คุณกอดฉัน
-
ฉันรักพระคัมภีร์มอรมอนและพระผู้ช่วยให้รอดของฉัน พระเยซูคริสต์
-
การรู้พระคัมภีร์นั้นยังไม่เพียงพอ เราต้องดำเนินชีวิตตามพระคัมภีร์ด้วย
สิ่งต่างๆ เหล่านี้และบทเรียนอื่น ๆ อีกมากมายเรียนรู้ในบ้าน—สถานที่ซึ่งสามารถเป็นสวรรค์น้อยๆ ที่นี่บนแผ่นดินโลก10 ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์และแผนของพระบิดาบนสวรรค์ของเรามอบการนำทางที่แน่นอนในชีวิตนี้และสัญญาแห่งชีวิตนิรันดร์ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน