2010–2019
บ้าน: โรงเรียนแห่งชีวิต
เมษายน 2013


10:52

บ้าน: โรงเรียนแห่งชีวิต

บทเรียน…เรียนรู้ในบ้าน—สถานที่ซึ่งสามารถเป็นสวรรค์น้อยๆ ที่นี่บนแผ่นดินโลก

บิดามารดาบางคนแก้ตัวสำหรับความผิดที่พวกเขาก่อที่บ้านโดยอ้างว่าเหตุผลที่เป็นเช่นนี้เพราะไม่มีโรงเรียนสอนการเลี้ยงดูลูก

ในความเป็นจริงมีโรงเรียนแบบนี้อยู่จริงและสามารถเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน โรงเรียนแห่งนี้เรียกว่า บ้าน

เมื่อข้าพเจ้านึกย้อนไปในความทรงจำข้าพเจ้า ข้าพเจ้านึกถึงช่วงเวลาอันล้ำค่าที่ข้าพเจ้าประสบกับภรรยา ขณะที่ข้าพเจ้าแบ่งปันความทรงจำเหล่านี้กับท่าน ท่านอาจย้อนนึกถึงประสบการณ์ของท่านเอง – ทั้งสุขและทุกข์ ซึ่งเราต่างก็เรียนรู้จากสิ่งนี้

1. พระวิหารคือสถานที่ถูกต้อง

เมื่อข้าพเจ้ากลับจากสนามเผยแผ่ข้าพเจ้าพบกับสาวสวยผมสีดำยาวลงมาถึงเอว เธอมีตากลมโตสีน้ำผึ้งอันงดงามและมีรอยยิ้มที่ชวนยิ้มตาม เธอทำให้ข้าพเจ้าหลงรักตั้งแต่แรกเห็น

ภรรยาข้าพเจ้าตั้งเป้าหมายที่จะแต่งงานในพระวิหาร ถึงแม้ว่าในเวลานั้นพระวิหารใกล้ที่สุดต้องเดินทางกว่า 4,000 ไมล์ (6,400 กิโลเมตร)

การแต่งงานตามกฎหมายของเราเป็นทั้งทุกข์และสุขเพราะเราแต่งงานพร้อมวันหมดอายุ เจ้าหน้าที่ประกาศว่า “บัดนี้ข้าพเจ้าประกาศให้ท่านเป็นสามีและภรรยากัน” แต่ทันทีหลังจากนั้นเขากล่าวว่า “จนกว่าความตายจะพรากท่าน”

เราจึงเสียสละเก็บเงินเพื่อซื้อตั๋วเที่ยวเดียวไปพระวิหารเมซา แอริโซนา

ภายในพระวิหาร ขณะที่เราคุกเข่าลงที่แท่น ผู้รับใช้ที่ได้รับอนุญาตกล่าวถ้อยคำที่ข้าพเจ้าปรารถนาซึ่งประกาศให้เราเป็นสามีและภรรยาเพื่อกาลเวลาและเพื่อชั่วนิรันดร

เพื่อนคนหนึ่งพาเราไปโรงเรียนวันอาทิตย์ ระหว่างการประชุมเขายืนขึ้นและแนะนำเราให้ชั้นเรียนรู้จัก เมื่อการประชุมเสร็จสิ้นบราเดอร์คนหนึ่งมาหาข้าพเจ้า จับมือข้าพเจ้า และใส่ธนบัตร 20 ดอลล่าร์ไว้ในมือข้าพเจ้า จากนั้นไม่นานบราเดอร์อีกคนหนึ่งก็ยื่นมือมาหาข้าพเจ้าเช่นกัน ข้าพเจ้าประหลาดใจที่เขาก็ใส่ธนบัตรไว้ในมือข้าพเจ้าด้วยเช่นกัน ข้าพเจ้ารีบหาภรรยาของข้าพเจ้าผู้อยู่อีกฝั่งหนึ่งของห้องและตะโกนว่า “บลางกีจับมือกับทุกคน!”

จากนั้นไม่นานเราก็รวบรวมเงินจนพอที่จะกลับไปกัวเตมาลา

“ใน​รัศมี​ภาพ​ซี​เลสเชียลมีสวรรค์​หรือ​ระดับ​สาม​ชั้น;

“และ​เพื่อ​จะ​ให้​บรรลุ​ถึง​ชั้น​สูงสุด, มนุษย์​ต้อง​เข้า​สู่​ระเบียบ​นี้​ของ​ฐานะ​ปุโรหิต”1

2. การโต้เถียงต้องมีสองคน

คติพจน์หนึ่งของภรรยาข้าพเจ้าคือ “การโต้เถียงต้องมีสองคน และฉันจะไม่มีวันเป็นหนึ่งในนั้น”

พระเจ้าทรงอธิบายอย่างชัดเจนถึงคุณลักษณะที่เราควรนำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติกับผู้อื่น คุณลักษณะเหล่านี้คือการชักชวน ความอดกลั้น ความสุภาพอ่อนน้อม ความอ่อนโยน และความรักที่ไม่เสแสร้ง2

การทารุณกรรมทางร่างกายเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักในสังคมบางแห่ง และเราปลื้มปีติในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม เรายังห่างไกลจากการขจัดการทารุณกรรมทางอารมณ์อยู่อีกมาก อันตรายที่เกิดจากการทารุณกรรมรูปแบบนี้ฝังแน่นในความทรงจำของเรา เป็นอันตรายต่อบุคลิกภาพของเรา ปลูกฝังความเกลียดชังในใจเรา ลดความคารพตนเองและทำให้เราเต็มไปด้วยความกลัว

การมีส่วนร่วมในศาสนพิธีแต่งงานแห่งอาณาจักรซีเลสเชียลนั้นไม่เพียงพอ เรายังต้องดำเนินชีวิตตามชีวิตแห่งอาณาจักรซีเลสเชียลด้วย

3. เด็กที่ร้องเพลงเป็นเด็กที่มีความสุข

นี่เป็นคติพจน์อีกหัวข้อหนึ่งที่ภรรยาของข้าพเจ้ากล่าวถึงบ่อย ๆ

พระผู้ช่วยให้รอดเข้าพระทัยถึงความสำคัญของบทเพลงศักดิ์สิทธิ์ หลังจากที่พระองค์ทรงถือปฏิบัติปัสกากับสานุศิษย์ พระคัมภีร์กล่าวว่า “เมื่อร้องเพลงสรรเสริญแล้ว พวกเขาก็พากันไปที่ภูเขามะกอกเทศ”3

และพระองค์ทรงกล่าวผ่านศาสดาพยากรณ์โจเซฟว่า “เพราะ​จิต​วิญญาณ​เรา​เบิกบาน​ใน​เพลง​จากใจ; แท้จริง​แล้ว, เพลง​จาก​คน​ชอบธรรม​เป็น​คำ​สวด​อ้อนวอน​ต่อ​เรา, และ​จะ​ได้​รับ​ตอบ​ด้วย​พรบ​น​ศีรษะ​พวก​เขา.”4

ช่างน่าประทับใจเพียงใดเวลาได้ยินบทเพลงของเด็กๆ ที่เรียนรู้จากบิดามารดาของเขาให้ร้องเพลง “ฉันลูกพระผู้เป็นเจ้า”5

4. ฉันต้องการให้คุณกอดฉัน

คำว่า “ฉันรักเธอ” “ขอบคุณมาก” และ “โปรดให้อภัยฉัน” เป็นยาสำหรับจิตวิญญาณ สิ่งนี้เปลี่ยนน้ำตาให้เป็นความสุข และนำการปลอบประโลมไปสู่จิตวิญญาณที่หนักอึ้งและยืนยันถึงความรู้สึกอันละเอียดอ่อนของใจเรา เหมือนพืชที่เหี่ยวเฉาเพราะขาดน้ำอันล้ำค่า ความรักของเราร่วงโรยและตายไปเมื่อเราหยุดพูดและแสดงความรัก

ข้าพเจ้ายังจำสมัยที่เราเคยส่งจดหมายรักทางไปรษณีย์หรือเก็บเหรียญสองสามเหรียญเพื่อโทรศัพท์หาคนที่เรารักจากตู้โทรศัพท์หรือวาดรูปและเขียนกลอนรักบนกระดาษเปล่า

วันนี้สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดฟังดูเหมือนวัตถุในพิพิธภัณฑ์ไปแล้ว!

เทคโนโลยีทุกวันนี้และสมัยนี้ช่วยให้เราทำสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ เป็นเรื่องง่ายเพียงใดที่จะส่งข้อความแห่งความรักและความขอบคุณผ่านเครื่องมือสื่อสาร วัยรุ่นทำกันตลอดเวลา ข้าพเจ้าสงสัยว่าวิธีปฏิบัติแบบนี้และการปฏิบัติที่สวยงามแบบอื่น ๆ จะเกิดขึ้นต่อไปเมื่อบ้านของเราสร้างเสร็จแล้วหรือไม่ เมื่อเร็ว ๆ นี้ข้าพเจ้าได้รับข้อความโทรศัพท์จากภรรยาของข้าพเจ้าที่เขียนแบบนี้ “อ้อมกอดเหมือนสรวงสวรรค์ จุมพิตดุจดวงตะวัน และสายัณห์ดั่งจันทรา ขอให้วันนี้มีความสุข ฉันรักคุณ”

ข้าพเจ้าอดรู้สึกเหมือนอยู่ในสวรรค์ไม่ได้เวลาได้รับข้อความแบบนี้

พระบิดาบนสวรรค์ของเราทรงเป็นแบบอย่างที่สมบูรณ์แบบของการแสดงความรัก เมื่อพระองค์ทรงนำเสนอพระบุตรของพระองค์พระองค์ทรงใช้คำว่า “นี่คือ​บุตรที่รัก​ของ​เรา, ผู้​ที่​เรา​พอใจมาก”6

5. ฉันรักพระคัมภีร์มอรมอนและพระผู้ช่วยให้รอดของฉัน พระเยซูคริสต์

ข้าพเจ้าเปี่ยมด้วยความตื้นตันใจเวลาที่ข้าพเจ้าเห็นภรรยาของข้าพเจ้าอ่านพระคัมภีร์มอรมอนทุกวัน เมื่อเธออ่านข้าพเจ้าสามารถสัมผัสถึงประจักษ์พยานของเธอเมื่อได้เห็นความสุขบนใบหน้าขณะเธออ่านข้อพระคัมภีร์ที่เป็นพยานถึงพันธกิจของพระผู้ช่วยให้รอด

พระวจนะของพระผู้ช่วยให้รอดของเราช่างปราดเปรื่องเพียงใด “พวกท่านค้นดูในพระคัมภีร์เพราะท่านคิดว่าในนั้นมีชีวิตนิรันดร์ และพระคัมภีร์นั้นเองเป็นพยานให้กับเรา”7

ด้วยแรงบันดาลใจจากถ้อยคำนี้ ข้าพเจ้าถามราเคลหลานสาวที่เพิ่งเรียนการอ่านว่า “หลานจะว่ายังไงเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายอ่านพระคัมภีร์มอรมอน”

คำตอบของเธอคือ “แต่คุณปู่ขา มันยากนะคะ มันหนามากเลย”

ข้าพเจ้าจึงขอให้เธออ่านหนึ่งหน้ากระดาษให้ข้าพเจ้าฟัง ข้าพเจ้าหยิบนาฬิกาจับเวลาออกมาและจับเวลา และพูดว่า “หลานใช้เวลาแค่สามนาทีเท่านั้นเอง พระคัมภีร์มอรมอนฉบับภาษาสเปนมี 642 หน้า เพราะฉะนั้นหลานต้องใช้เวลา 1,926 นาที”

นั่นอาจทำให้เธอกลัวมากไปอีก ข้าพเจ้าจึงนำตัวเลขนั้นมาหารด้วย 60 นาทีและบอกเธอว่าเธอจะใช้เวลาเพียง 32 ชั่วโมงที่จะอ่านจนจบ—น้อยกว่าหนึ่งวันครึ่งเสียอีก!

จากนั้นเธอบอกข้าพเจ้าว่า “นั่นง่ายมากเลยค่ะ คุณปู่”

ท้ายที่สุดราเคล เอสเตบานน้องชายของเธอ และหลานคนอื่น ๆ ของเราใช้เวลามากกว่านั้นเพราะหนังสือเล่มนี้คือพระคัมภีร์ที่ต้องอ่านด้วยวิญญาณแห่งการสวดอ้อนวอนและการตรึกตรอง

เมื่อเวลาผ่านไปดั่งที่เราเรียนรู้ที่จะเบิกบานในพระคัมภีร์ เราจะป่าวร้องเฉกเช่นผู้กล่าวคำสดุดีว่า “พระดำรัสของพระองค์นั้น ข้าพระองค์ชิมแล้วหวานจริง ๆ หวานกว่าน้ำผึ้งเมื่อถึงปากข้าพระองค์”8

6. การรู้พระคัมภีร์นั้นยังไม่เพียงพอ เราต้องดำเนินชีวิตตามนั้น

ข้าพเจ้าจำได้ว่าเมื่อข้าพเจ้าเป็นอดีตผู้สอนศาสนาและได้ค้นคว้าพระคัมภีร์อย่างพากเพียร ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้ารู้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง ช่วงที่เราคบหากันข้าพเจ้าและบลังกีจะศึกษาพระคัมภีร์ด้วยกัน ข้าพเจ้าใช้บันทึกและข้ออ้างอิงต่างๆ มากมายเพื่อแบ่งปันความรู้พระกิตติคุณของข้าพเจ้ากับเธอ หลังจากที่เราแต่งงานแล้วข้าพเจ้าตระหนักอย่างจริงจังจากการเรียนรู้บทเรียนที่ยิ่งใหญ่จากเธอว่า ข้าพเจ้าอาจพยายาม สอน พระกิตติคุณแก่เธอ แต่เธอสอนให้ข้าพเจ้า ดำเนินชีวิตตาม พระกิตติคุณ

เมื่อพระผู้ให้รอดทรงจบการเทศนาบนภูเขาพระองค์ประทานคำแนะนำที่ปราดเปรื่องนี้ “เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและประพฤติตาม ก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างบ้านของตนไว้บนศิลา”9

บรรดาผู้ที่ดำเนินชีวิตตามหลักธรรมแห่งอาณาจักรซีเลสเชียลดังที่พบในพระคัมภีร์จะปลอบประโลมผู้ที่เป็นทุกข์ พวกเขานำปีติมาสู่ผู้ที่เศร้าโศก การนำทางแก่ผู้ที่หลงทาง สันติสุขแก่ผู้ที่โศกเศร้า และแนวทางอันแน่นอนแก่ผู้แสวงหาความจริง

สรุปคือ

  1. พระวิหารคือสถานที่ถูกต้อง

  2. การโต้เถียงต้องมีสองคน และฉันจะไม่มีวันเป็นหนึ่งในสองคนนั้น

  3. เด็กที่ร้องเพลงเป็นเด็กที่มีความสุข

  4. ฉันต้องการให้คุณกอดฉัน

  5. ฉันรักพระคัมภีร์มอรมอนและพระผู้ช่วยให้รอดของฉัน พระเยซูคริสต์

  6. การรู้พระคัมภีร์นั้นยังไม่เพียงพอ เราต้องดำเนินชีวิตตามพระคัมภีร์ด้วย

สิ่งต่างๆ เหล่านี้และบทเรียนอื่น ๆ อีกมากมายเรียนรู้ในบ้าน—สถานที่ซึ่งสามารถเป็นสวรรค์น้อยๆ ที่นี่บนแผ่นดินโลก10 ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์และแผนของพระบิดาบนสวรรค์ของเรามอบการนำทางที่แน่นอนในชีวิตนี้และสัญญาแห่งชีวิตนิรันดร์ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน