ทำให้การใช้ศรัทธาเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก
เนื่องจากสิ่งท้าทายทางลบทั้งหมดที่มีอยู่ในชีวิตเรา เราจึงต้องใช้เวลาที่จะใช้ศรัทธาของเราอย่างแข็งขัน
เมื่ออาดัมและเอวาอาศัยอยู่ในสวนเอเดน ทั้งสองได้รับทุกสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในแต่ละวันอย่างเหลือเฟือ ไม่มีเรื่องยากลำบาก ไม่มีสิ่งท้าทาย หรือความเจ็บปวดใดๆ เนื่องจากไม่เคยประสบกับช่วงเวลายากลำบากทั้งสองจึงไม่รู้ว่าตนเองสามารถมีความสุขได้ ทั้งไม่เคยรู้สึกวุ่นวายใจ จึงไม่รู้ว่ามีสันติสุขได้
ในที่สุดอาดัมและเอวาก็ละเมิดพระบัญญัติที่ห้ามไม่ให้กินผลของต้นไม้แห่งการรู้ความดีและความชั่ว เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเขาจึงพ้นจากสภาพของความไร้เดียงสาเช่นที่เคยเป็นมา พวกเขาเริ่มรู้หลักธรรมแห่งการตรงกันข้าม พวกเขาเริ่มเผชิญกับความเจ็บป่วยซึ่งทำให้สุขภาพเสื่อมลง พวกเขาเริ่มรู้สึกถึงความเศร้าโศกเท่ากับรู้สึกถึงปีติสุข
จากการที่อาดัมและเอวารับส่วนผลไม้ต้องห้าม ความรู้เรื่องความดีและความชั่วจึงเป็นที่รู้ในโลก การเลือกของพวกเขาทำให้เราแต่ละคนสามารถมาในโลกนี้เพื่อรับการทดลองและการทดสอบ1 เราได้พรคือสิทธิ์เสรีซึ่งเป็นความสามารถในการตัดสินใจและรับภาระรับผิดชอบที่มาจากการตัดสินใจเหล่านั้น การตกทำให้ในชีวิตเราสามารถรู้สึกได้ทั้งความสุขและเศร้า เราสามารถเข้าใจสันติสุขเพราะเรารู้สึกถึงความวุ่นวาย2
พระบิดาในสวรรค์ทรงทราบว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับเรา นี่คือแผนทั้งหมดแห่งความสุขอันสมบูรณ์แบบของพระองค์ พระองค์ทรงเตรียมทางผ่านพระชนม์ชีพของพระบุตร พระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเราผู้ทรงเชื่อฟังอย่างแท้จริง เพราะการชดใช้ของพระองค์มีชัยชนะเหนือความยากลำบากทุกอย่างที่เราจะต้องประสบในความเป็นมรรตัยนี้
เรามีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาแห่งการทดลอง ข้าพเจ้าไม่จำต้องให้รายละเอียดแหล่งของความชั่วร้ายในโลกนี้ ไม่จำต้องอธิบายถึงสิ่งท้าทายและเรื่องปวดร้าวใจที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมรรตัย เราแต่ละคนรู้ซึ้งถึงการต่อสู้ดิ้นรนของตนเองที่มีทั้งการล่อลวง ความปวดร้าว และเศร้าโศก
ในโลกก่อนเกิดเราเรียนรู้ว่าจุดประสงค์ที่ลงมาอยู่ที่นี่คือเพื่อรับการทดสอบ การทดลองและสิ่งท้าทาย3 เรารู้ว่าจะต้องเผชิญกับความชั่วร้ายของปฏิปักษ์ บางครั้งเราอาจรู้สึกถึงเรื่องทางลบในความเป็นมรรตัยมากกว่าเรื่องทางบวก ศาสดาพยากรณ์ลีไฮสอนว่า “เพราะจำเป็นต้อง, มีการตรงกันข้ามในสิ่งทั้งปวง”4 เนื่องจากสิ่งท้าทายทางลบทั้งหมดที่มีอยู่ในชีวิตเรา เราจึงต้องใช้เวลาที่จะใช้ศรัทธาของเราอย่างแข็งขัน การใช้ศรัทธาเช่นนั้นจะนำพลังในทางบวก ที่เปี่ยมด้วยศรัทธาแห่งการชดใช้ของพระเยซูคริสต์มาสู่ชีวิตเรา
พระบิดในสวรรค์ประทานเครื่องมือที่ช่วยให้เรามาหาพระคริสต์และใช้ศรัทธาในการชดใช้ของพระองค์ เมื่อเครื่องมือเหล่านี้กลายเป็นนิสัยที่หยั่งรากลึก เราจะมีหนทางสะดวกที่สุดที่จะพบสันติสุขในสิ่งท้าทายแห่งมรรตัย วันนี้ข้าพเจ้าเลือกจะพูดถึงเครื่องมือสี่อย่าง ขณะข้าพเจ้าพูด ให้ท่านพิจารณาประเมินผลการใช้เครื่องมือแต่ละอย่างของตนเอง แล้วแสวงหาการนำทางของพระเจ้าเพื่อพิจารณาว่าท่านจะพัฒนาการใช้เครื่องมือแต่ละอย่างให้ดีขึ้นได้อย่างไร
การสวดอ้อนวอน
เครื่องมืออันดับแรกคือการสวดอ้อนวอน จงสนทนากับพระบิดาในสวรรค์บ่อยๆ จัดหาเวลาทูลพระองค์ทุกวันว่าท่านคิดอะไรและรู้สึกอย่างไร ทูลทุกเรื่องเกี่ยวกับท่าน พระองค์สนพระทัยเรื่องที่สำคัญที่สุดเท่าๆ กับเสี้ยวส่วนที่ธรรมดาที่สุดของชีวิตท่าน จงทูลพระองค์อย่างเต็มที่ถึงความรู้สึกและประสบการณ์ตั้งแต่เรื่องเล็กที่สุดจนถึงเรื่องใหญ่ที่สุด
เพราะทรงเคารพในสิทธิ์เสรีของท่าน พระบิดาในสวรรค์จะไม่ทรงบังคับให้ท่านสวดอ้อนวอน แต่เมื่อท่านใช้สิทธิ์เสรีนั้นโดยมีพระองค์อยู่ในทุกแง่มุมของชีวิตประจำวัน ใจท่านจะเริ่มเพิ่มพูนด้วยสันติสุขที่เต็มไปด้วยความเบิกบานใจ สันติสุขดังกล่าวจะรวมแสงนิรันดร์ส่องบนความยากลำบากของท่าน ซึ่งจะช่วยให้ท่านรับมือกับเรื่องท้าทายเหล่านั้นได้จากมุมมองนิรันดร์
บิดามารดา จงช่วยกันปกป้องลูกๆ โดยติดยุทธภัณฑ์ให้พวกเขาทุกเช้าค่ำด้วยอำนาจแห่งการสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัว ทุกวันเด็กๆ ถูกจู่โจมด้วยความชั่วแห่งตัณหา ความละโมบ ความจองหอง พฤติกรรมบาปอื่นๆ อีกเป็นขบวน จงปกป้องลูกๆ ของท่านจากอิทธิพลฝ่ายโลกในทุกๆ วันโดยเสริมกำลังป้องกันพวกเขาด้วยพรอันทรงพลังซึ่งเป็นผลมาจากการสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัว การสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัวควรเป็นลำดับความสำคัญที่ไม่อาจต่อรองได้ในชีวิตประจำวันของท่าน
การศึกษาพระคัมภีร์
เครื่องมืออันดับที่สองคือการศึกษาพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าในพระคัมภีร์และถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิต เราสนทนากับพระผู้เป็นเจ้าโดยสวดอ้อนวอน ส่วนใหญ่พระองค์ทรงสื่อสารกลับมาด้วยพระวจนะที่เขียนไว้ เพื่อรู้ว่าเสียงจากสวรรค์เป็นอย่างไรและให้ความรู้สึกเช่นไร จงอ่านพระวจนะของพระองค์ ศึกษาพระคัมภีร์และไตร่ตรองถ้อยคำเหล่านั้น5 ให้สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญในชีวิตทุกวัน หากท่านต้องการให้ลูกๆ รู้ เข้าใจและกระทำตามการกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณท่านต้องศึกษาพระคัมภีร์กับพวกเขา
อย่ายอมฟังคำเท็จของซาตานที่หลอกว่าท่านไม่มีเวลาศึกษาพระคัมภีร์ จงเลือกการใช้เวลาศึกษาพระคัมภีร์ การดื่มด่ำพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าในแต่ละวันสำคัญกว่าการนอนหลับ การศึกษา การทำงาน การดูโทรทัศน์ วีดิโอเกมส์ หรือสังคมออนไลน์ ท่านอาจต้องจัดลำดับความสำคัญใหม่เพื่อให้มีเวลาศึกษาพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า ถ้าต้องทำเช่นนั้น จงทำ!
มีสัญญาจากศาสดาพยากรณ์หลายท่านถึงพรจากการศึกษาพระคัมภีร์ทุกวัน6
ข้าพเจ้าขอพูดเพิ่มเติมด้วยคำสัญญานี้: เมื่อท่านอุทิศเวลาทุกวันทั้งส่วนตัวและกับครอบครัวเพื่อศึกษาพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า ชีวิตท่านจะเต็มไปด้วยสันติสุข สันติสุขดังกล่าวไม่ได้มาจากโลกภายนอก แต่มาจากภายในบ้าน ภายในครอบครัว และจากภายในใจของท่านเอง เป็นของประทานจากพระวิญญาณ และจะขยายวงจากท่านเป็นอิทธิพลดีต่อผู้อื่นในโลกรอบตัวท่าน ท่านกำลังทำสิ่งสำคัญมากซึ่งช่วยเพิ่มพูนสันติสุขที่สั่งสมไว้ในโลกอย่างต่อเนื่อง
ข้าพเจ้าไม่ได้ประกาศว่าชีวิตท่านจะหมดสิ้นสิ่งท้าทาย จำไว้ว่าเมื่ออาดัมและเอวาอยู่ในสวน พวกเขาปลอดจากสิ่งท้าทาย พวกเขาจึงไม่สามารถพบกับความสุข ปีติและสันติสุข7 สิ่งท้าทายเป็นส่วนสำคัญของสภาพมรรตัย ด้วยการศึกษาพระคัมภีร์ทุกวันอย่างสม่ำเสมอ ท่านจะพบสันติสุขในความวุ่นวายรอบข้างและพลังที่จะต่อต้านสิ่งล่อลวง ท่านจะพัฒนาศรัทธาอันแรงกล้าในพระคุณของพระผู้เป็นเจ้าและรู้ว่าผ่านการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ทุกคนจะได้รับการรังสรรค์ให้ถูกต้องตามจังหวะเวลาของพระผู้เป็นเจ้า
การสังสรรค์ในครอบครัว
ขณะทำงานเพื่อเสริมสร้างครอบครัวและบำรุงเลี้ยงสันติสุข จงนึกถึงเครื่องมืออันดับที่สามนี้: การสังสรรค์ในครอบครัวทุกสัปดาห์ ระวังอย่าทำให้การสังสรรค์ในครอบครัวเป็นเพียงสิ่งที่เอาไว้คิดทีหลังในวันที่มีงานยุ่ง จงตัดสินใจให้แน่วแน่ว่าคืนวันจันทร์ครอบครัวของท่านจะอยู่บ้านด้วยกันเพื่อการสังสรรค์นี้ อย่าปล่อยให้ข้อเรียกร้องของการทำงาน กีฬา กิจกรรมเสริมหลักสูตร การบ้านหรือสิ่งอื่นใดสำคัญกว่าช่วงเวลานี้ที่ท่านจะอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวที่บ้าน
โครงสร้างของการสังสรรค์ของท่านไม่สำคัญเท่ากับเวลาที่ให้ ควรมีการสอนพระกิตติคุณทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ จงทำให้การสังสรรค์นี้เป็นประสบการณ์ที่มีความหมายสำหรับสมาชิกในครอบครัวทุกคน การสังสรรค์ในครอบครัวเป็นช่วงเวลาอันล้ำค่าในการแสดงประจักษ์พยานในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ฝึกการสอน วางแผนและทักษะในการวางระเบียบ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของสัมพันธภาพในครอบครัว เพื่อพัฒนาธรรมเนียมของครอบครัว พูดคุยกัน และที่สำคัญกว่านั้น เพื่อมีเวลาพิเศษร่วมกัน!
ในการประชุมใหญ่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ซิสเตอร์ลินดา เอส. รีฟส์ประกาศอย่างอาจหาญว่า ” ดิฉันจึง ต้องเป็นพยานถึงพรของการศึกษาพระคัมภีร์ประจำวัน และการสวดอ้อนวอน และการสังสรรค์ในครอบครัวทุกสัปดาห์ ข้อปฏิบัติเหล่านี้จะช่วยขจัดความเครียด ชี้ทางชีวิตเราและเพิ่มความคุ้มครองแก่ครอบครัว”8 ซิสเตอร์ รีฟส์เป็นสตรีที่ฉลาดมาก ขอกระตุ้นเตือนท่านให้แสวงหาประจักษ์พยานเกี่ยวกับนิสัยที่สำคัญยิ่งทั้งสามประการนี้
การเข้าพระวิหาร
เครื่องมืออันดับที่สี่คือการไปพระวิหาร เราทุกคนทราบว่าไม่มีสถานที่ใดในโลกนี้มีสันติมากไปกว่าในพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า ถ้าท่านยังไม่มีใบรับรองพระวิหาร จงพิสูจน์ค่าควรเพื่อที่จะได้รับ เมื่อได้รับแล้วจงใช้บ่อยๆ9 กำหนดการเข้าพระวิหารเป็นตารางเวลาประจำ อย่ายอมให้ใครหรืออะไรขัดขวางท่านจากการไปอยู่ที่นั่น
ขณะอยู่ในพระวิหาร จงฟังถ้อยคำของศาสนพิธี ไตร่ตรอง สวดอ้อนวอนและพยายามเข้าใจความหมายของถ้อยคำเหล่านั้น พระวิหารเป็นสถานที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งที่จะไปเพื่อเข้าใจถึงอำนาจการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ แสวงหา พระองค์ ที่นั่น จำไว้ว่าพรจะเพิ่มพูนขึ้นอีกมากมายจากการเตรียมรายชื่อครอบครัวของท่านเองเพื่อใช้ในพระวิหาร
เครื่องมือสี่อย่างนี้คือนิสัยพื้นฐานของความมั่นคงแก่ชีวิตท่านในอำนาจการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ จำไว้ว่าพระผู้ช่วยให้รอดคือเจ้าชายสันติ สันติของชีวิตมรรตัยมาจากการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระองค์ เมื่อเราเสมอต้นเสมอปลายในการสวดอ้อนวอนทุกเช้าค่ำ ศึกษาพระคัมภีร์ทุกวัน สังสรรค์ในครอบครัวทุกสัปดาห์ และเข้าพระวิหารเป็นประจำ เราตอบรับอย่างแข็งขันต่อการเชื้อเชิญให้ “มาหาพระองค์” ยิ่งเราพัฒนานิสัยเหล่านี้ ซาตานก็ยิ่งมุ่งทำร้ายเรา แต่ความสามารถในการทำร้ายของเขาจะลดลง ด้วยเครื่องมือเหล่านี้ เราใช้สิทธิ์เสรีที่จะยอมรับของประทานแห่งการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระองค์อย่างสมบูรณ์
ข้าพเจ้าไม่ได้แนะนำว่าขณะท่านทำสิ่งเหล่านี้ความยากลำบากในชีวิตจะสลายไปสิ้น ที่ถูกต้องคือ เรามายังชีวิตมรรตัยเพื่อเติบโตจากการทดลองและการทดสอบ สิ่งท้าทายช่วยให้เราเป็นเหมือนพระบิดาในสวรรค์ยิ่งขึ้น และการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ทำให้การอดทนต่อสิ่งท้าทายเหล่านี้เป็นไปได้10 ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าขณะเรามาหาพระองค์อย่างแข็งขัน เราสามารถอดทนต่อการล่อลวง ความปวดร้าวใจ สิ่งท้าทายที่เราเผชิญได้ทุกอย่าง ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน