แบ่งปันความสว่างของท่าน
เราต้องยืนหยัดในศรัทธาของเราและเปล่งเสียงเพื่อประกาศหลักคำสอนที่แท้จริง
ค่ำคืนนี้ดิฉันขอพิจารณาหน้าที่รับผิดชอบสำคัญสองอย่างที่เรามี อย่างแรกคือการเพิ่มความสว่างและความจริงแห่งพระกิตติคุณให้ชีวิตเราอย่างสม่ำเสมอ และสอง การแบ่งปันความสว่างและความจริงนั้นกับผู้อื่น
ท่านทราบไหมว่าท่านสำคัญเพียงใด พวกท่านทุกคน—ขณะนี้—มีคุณค่าและจำเป็นต่อแผนแห่งความรอดของพระบิดาบนสวรรค์ เรามีงานต้องทำ เรารู้ความจริงของพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟู เราพร้อมจะปกป้องความจริงนั้นไหม เราต้องดำเนินชีวิตตามนั้น เราต้องแบ่งปัน เราต้องยืนหยัดในศรัทธาของเราและเปล่งเสียงเพื่อประกาศหลักคำสอนที่แท้จริง
ใน เอ็นไซน์ และ เลียโฮนา ฉบับเดือนกันยายน 2014เอ็ลเดอร์เอ็ม. รัสเซลล์ บัลลาร์ดเขียนว่า “เราต้องการเสียงและศรัทธาอันเด่นชัดและทรงอิทธิพลของสตรีมากขึ้น เราต้องการให้พวกเธอเรียนรู้หลักคำสอนและเข้าใจสิ่งที่เราเชื่อ เพื่อที่พวกเธอจะสามารถเป็นประจักษ์พยานถึงความจริงของทุกเรื่อง”1
พี่น้องทั้งหลาย ท่านเสริมสร้างศรัทธาของดิฉันในพระเยซูคริสต์ ดิฉันเฝ้ามองแบบอย่างของท่าน ได้ยินประจักษ์พยานของท่าน และสัมผัสถึงศรัทธาของท่านตั้งแต่บราซิลถึงบอตสวานา! ท่านมีแวดวงอิทธิพลอยู่กับท่านไม่ว่าจะไปที่ไหน คนรอบข้างท่านรู้สึกได้—ตั้งแต่ครอบครัวจนถึงรายชื่อผู้ติดต่อในโทรศัพท์ และจากเพื่อนในสื่อสังคมออนไลน์จนถึงผู้ที่นั่งอยู่ข้างท่านคืนนี้ ดิฉันเห็นด้วยกับซิสเตอร์แฮร์เรียต อุคท์ดอร์ฟ ผู้เขียนว่า “ท่าน…คือกระโจมไฟที่มีพลังแสงเจิดจ้าในโลกที่มืดมนเสมอเมื่อท่านแสดงให้เห็นว่าพระกิตติคุณคือข่าวสารที่น่าเบิกบานใจ ผ่านวิธีดำเนินชีวิตของท่าน”2
ประธานโธมัส เอส. มอนสันชี้ให้เห็นว่า “ถ้าท่านจะให้ความสว่างแก่ใคร ท่านต้องทำให้ตนเองสว่างไสวก่อน”3 เราจะทำให้แสงสว่างแห่งความจริงนั้นเรืองรองภายในเราได้อย่างไร บางครั้งดิฉันรู้สึกเหมือนหลอดไฟสลัว เราจะทำให้สว่างขึ้นได้อย่างไร
พระคัมภีร์สอนเราว่า “สิ่งซึ่งมาจากพระผู้เป็นเจ้าเป็นความสว่าง; และคนที่รับความสว่าง, และดำเนินอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าต่อไป, รับความสว่างมากขึ้น”4 เราต้องดำเนินอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าต่อไป ดังที่พระคัมภีร์กล่าว เราต้องไปหาแหล่งที่มาของความสว่าง—ไปหาพระบิดาบนสวรรค์ พระเยซูคริสต์ และพระคัมภีร์ เราไปพระวิหารได้เช่นกัน โดยรู้ว่าทุกสิ่งภายในกำแพงพระวิหารชี้ไปสู่พระคริสต์และการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระองค์
ลองนึกถึงผลที่เกิดจากการมีพระวิหารในบริเวณนั้น พระวิหารทำให้เมืองด้านในสวยงามกว่าเดิม พระวิหารส่องสว่างจากเนินเขา เหตุใดพระวิหารจึงทำให้สวยงามและส่องสว่างได้ เพราะ ดังที่พระคัมภีร์บอกว่า “ความจริงนี้ส่องสว่าง”5 พระวิหารมีความจริงและจุดประสงค์นิรันดร์ ท่านก็เช่นกัน
ในปี 1877 ประธานจอร์จ คิว. แคนนอน กล่าวว่า “พระวิหารทุกแห่ง…ลดพลังของซาตานบนแผ่นดินโลก”6 ดิฉันเชื่อ ไม่ว่าพระวิหารจะสร้างขึ้นที่ใดบนแผ่นดินโลก พระวิหารจะผลักความมืดกลับไป จุดประสงค์ของพระวิหารคือเพื่อรับใช้มนุษยชาติและให้ความสามารถที่จะทำให้บุตรธิดาของพระบิดาบนสวรรค์กลับไปอยู่กับพระองค์ได้ จุดประสงค์ของเราเหมือนกับอาคารที่ได้รับการอุทิศเหล่านี้ใช่ไหม พระนิเวศน์ของพระเจ้า เพื่อรับใช้ผู้อื่น ช่วยพวกเขาผลักความมืดและกลับไปหาความสว่างของพระบิดาบนสวรรค์
งานพระวิหารอันศักดิ์สิทธิ์จะเพิ่มศรัทธาของเราในพระเยซูคริสต์ จากนั้นเราจะมีอิทธิพลที่ดีขึ้นต่อศรัทธาของผู้อื่นได้ โดยการบำรุงเลี้ยงวิญญาณของพระวิหาร เราสามารถเรียนรู้ความเป็นจริง พลังอำนาจ และความหวังของการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิตเรา
หลายปีมาแล้วครอบครัวเราเผชิญกับการท้าทายครั้งใหญ่ ดิฉันไปพระวิหารและตั้งใจสวดอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ ดิฉันได้รับชั่วขณะแห่งความจริง ดิฉันรู้สึกถึงความอ่อนแอของตนเองอย่างชัดเจน และดิฉันอึ้ง ในชั่วขณะแห่งการเรียนรู้ทางวิญญาณนั้น ดิฉันเห็นสตรีจองหองที่ทำสิ่งต่างๆ ในวิธีของเธอ และไม่ใช่วิธีของพระเจ้า ทั้งยังแอบรับเอาความดีความชอบในสิ่งที่ทึกทักว่าเป็นความสำเร็จทุกครั้ง ดิฉันทราบว่าดิฉันมองแต่ตนเอง ดิฉันร่ำร้องหาพระบิดาบนสวรรค์อยู่ในใจว่า “ลูกไม่อยากเป็นสตรีแบบนั้น แต่ลูกจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร”
โดยวิญญาณบริสุทธิ์ของการเปิดเผยในพระวิหาร ดิฉันเรียนรู้ว่าต้องการพระผู้ไถ่มากที่สุด ดิฉันคิดในใจถึงพระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์ทันทีและรู้สึกว่าความปวดร้าวละลายหายไปและความหวังผุดขึ้นในใจ พระองค์คือความหวังเดียวของดิฉัน และดิฉันต้องการยึดมั่นกับพระองค์ ดิฉันรู้ชัดว่าสตรีที่เป็นมนุษย์ปุถุชน นึกถึงแต่ตนเอง “เป็นศัตรูต่อพระผู้เป็นเจ้า”7 และต่อผู้คนในแวดวงอิทธิพลของเธอ วันนั้นในพระวิหารดิฉันเรียนรู้ว่าโดยการชดใช้ของพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่จะเปลี่ยนนิสัยจองหองของดิฉันได้และทำให้ดิฉันทำความดีได้ ดิฉันสัมผัสถึงความรักของพระองค์อย่างแรงกล้า และดิฉันทราบว่าพระองค์จะทรงสอนดิฉันโดยพระวิญญาณและเปลี่ยนแปลงดิฉันหากดิฉันถวายใจแด่พระองค์อย่างที่สุด
ดิฉันยังคงต่อสู้กับความอ่อนแอ แต่ดิฉันวางใจในความช่วยเหลือจากสวรรค์ของการชดใช้ คำสั่งสอนอันบริสุทธิ์นี้เกิดขึ้นเพราะดิฉันเข้าพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ แสวงหาการปลดเปลื้องและคำตอบ ดิฉันเข้าพระวิหารด้วยภาระหนักอึ้ง และจากมาโดยรู้ว่าดิฉันมีพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงเดชานุภาพและเปี่ยมด้วยความรักทั้งปวง ดิฉันรู้สึกเบาลงและเบิกบานใจเพราะดิฉันได้รับความสว่างและยอมรับแผนซึ่งพระองค์ทรงมีให้ดิฉัน
พระวิหารมีอยู่ทั่วโลก ภายนอกพระวิหารแต่ละแห่งมีลักษณะพิเศษและรูปแบบเฉพาะ แต่ภายในมีความสว่าง จุดประสงค์ และความจริงนิรันดร์เหมือนกัน ใน 1 โครินธ์ 3:16 อ่านว่า “ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าพวกท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่าน?” เราก็เช่นกันในฐานะธิดาของพระผู้เป็นเจ้าที่มีอยู่ทั่วโลกเหมือนพระวิหาร เราแต่ละคนมีลักษณะพิเศษและรูปแบบเฉพาะภายนอกที่แตกต่างกัน เหมือนพระวิหาร เรามีความสว่างทางวิญญาณอยู่ภายในเราเช่นกัน เหมือนพระวิหาร ความสว่างทางวิญญาณนี้คือเงาสะท้อนความสว่างของพระผู้ช่วยให้รอด คนอื่นๆ จะเข้ามาหาความสว่างนี้
เราต่างมีบทบาทของตนเองบนแผ่นดินโลก—ตั้งแต่ธิดา มารดา ผู้นำ และครูไปจนถึงพี่น้องสตรี พนักงาน ภรรยา และอีกมากมาย แต่ละบทบาทมีอิทธิพล และจะมีพลังทางศีลธรรมเมื่อเราสะท้อนความจริงพระกิตติคุณและพันธสัญญาพระวิหารในชีวิตเรา
เอ็ลเดอร์ดี. ทอดด์ คริสทอฟเฟอร์สันกล่าวว่า “ในทุกสถานการณ์ มารดาสามารถแผ่อิทธิพลอันหาที่เปรียบมิได้ในความสัมพันธ์อันหาที่เปรียบมิได้”8
เมื่อลูกของเรายังเล็ก ดิฉันรู้สึกเหมือนเป็นผู้ช่วยกัปตันเรือให้เดวิด สามีดิฉัน ดิฉันนึกภาพลูก 11 คน เป็นกองเรือเล็กๆ ลอยไปมารอบๆ เราในท่าเรือแห่งหนึ่ง กำลังเตรียมออกทะเลของโลก ดิฉันกับเดวิดรู้สึกว่าจำเป็นต้องปรึกษาเข็มทิศของพระเจ้าทุกวันเพื่อจะรู้ทิศทางที่ดีที่สุดในการล่องไปพร้อมกับกองเรือเล็กๆ ของเรา
วันเวลาของดิฉันเต็มไปด้วยสิ่งที่ลืมง่ายเช่นพับผ้า อ่านหนังสือเด็ก และทำอาหารมื้อเย็นใส่หม้อตุ๋น บางครั้งในท่าเรือของบ้านเรา เราไม่เห็นว่าโดยการกระทำที่เรียบง่ายและสม่ำเสมอเหล่านี้—การสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัว ศึกษาพระคัมภีร์ และการสังสรรค์ในครอบครัว—สิ่งสำคัญจะเกิดขึ้น แต่ดิฉันเป็นพยานว่าการกระทำเหล่านี้มีความสำคัญนิรันดร์ ปีติอันใหญ่หลวงเกิดขึ้นเมื่อเรือเล็กๆ เหล่านั้น—หรือลูกของเรา—เติบโตเป็นเรือเดินทะเลลำใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยความสว่างแห่งพระกิตติคุณและพร้อมจะ “[ลงเรือ] ในการรับใช้พระผู้เป็นเจ้า”9 การกระทำแห่งศรัทธาและการรับใช้อันเล็กน้อยของเราคือวิธีที่เราส่วนใหญ่สามารถดำเนินอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าต่อไป นำความสว่างและรัศมีภาพนิรันดร์มาสู่ครอบครัว มิตรสหาย และผู้ร่วมงานของเราในที่สุด โดยแท้แล้วท่านมีแวดวงอิทธิพลกับอยู่กับท่าน!
ลองนึกถึงอิทธิพลที่ศรัทธาของเด็กหญิงปฐมวัยจะมีต่อครอบครัวของเธอได้ ศรัทธาของลูกสาวเราเป็นพรให้ครอบครัวเมื่อลูกชายคนเล็กของเราหลงทางที่สวนสนุก เรารีบตามหาเขาอย่างกระวนกระวาย ในที่สุด ลูกสาวอายุ 10 ขวบกระตุกแขนดิฉันและบอกว่า “แม่คะ เราสวดอ้อนวอนดีไหมคะ” เธอพูดถูก! ครอบครัวยืนรวมกันท่ามกลางฝูงชนที่มุงดู เราสวดอ้อนวอนขอให้พบลูกของเรา เราพบเขา ดิฉันขอกล่าวกับเด็กหญิงปฐมวัยทุกคนว่า “หนูต้องเตือนคุณพ่อคุณแม่ให้สวดอ้อนวอน!”
ฤดูร้อนนี้ดิฉันมีโอกาสไปเข้าค่ายเยาวชนหญิง 900 คนในอะแลสกา พวกเธอมีอิทธิพลต่อดิฉันอย่างลึกซึ้ง พวกเธอมาที่ค่ายด้วยความพร้อมทางวิญญาณ โดยอ่านพระคัมภีร์มอรมอนและท่องจำ “พระคริสต์ผู้ทรงพระชนม์: ประจักษ์พยานของอัครสาวก” ในคืนที่สามของค่าย เยาวชนหญิงทั้ง 900 คนยืนรวมกันและท่องบทความดังกล่าวทุกคำ
ห้องโถงกว้างใหญ่เปี่ยมด้วยพระวิญญาณ และดิฉันอยากจะร่วมท่องด้วย แต่ทำไม่ได้ ดิฉันไม่ได้จ่ายราคาของการท่องจำ
เวลานี้ ดิฉันได้เริ่มเรียนรู้ถ้อยคำของ “พระคริสต์ผู้ทรงพระชนม์” เหมือนสตรีเหล่านี้ และเพราะอิทธิพลของพวกเธอ ดิฉันซึมทราบมากขึ้นถึงพันธสัญญาศีลระลึกที่จะระลึกถึงพระผู้ช่วยให้รอดตลอดเวลา เมื่อดิฉันท่องประจักษ์พยานของอัครสาวกถึงพระคริสต์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ศีลระลึกมีความหมายมากขึ้นสำหรับดิฉัน
ดิฉันหวังว่าจะถวายของขวัญคริสต์มาสปีนี้แด่พระผู้ช่วยให้รอดโดยการท่องจำ “พระคริสต์ผู้ทรงพระชนม์” และจำขึ้นใจก่อนวันที่ 25 ธันวาคม ดิฉันหวังว่าดิฉันจะเป็นอิทธิพลดี—ดังเช่นอิทธิพลที่สตรีในอะแลสกามีต่อดิฉัน
ท่านพบตัวท่านเองไหมในถ้อยคำต่อไปนี้ของบทความ “พระคริสต์ผู้ทรงพระชนม์” “พระองค์ทรงวิงวอนให้ทุกคนทำตามแบบอย่างของพระองค์ พระองค์ทรงดำเนินไปตามท้องถนนในปาเลสไตน์ ทรงรักษาคนป่วย ทรงทำให้คนตาบอดมองเห็นได้ และทรงชุบชีวิตคนตาย10
เรา พี่น้องสตรีของศาสนจักร เราไม่เดินไปตามท้องถนนในปาเลสไตน์เพื่อรักษาผู้ป่วย แต่เราสามารถสวดอ้อนวอนและประยุกต์ใช้ความรักอันเยียวยาของการชดใช้กับสัมพันธภาพที่ป่วยและตึงเครียด
แม้เราจะไม่สามารถทำให้คนตาบอดมองเห็นได้ในวิธีของพระผู้ช่วยให้รอด แต่เราเป็นพยานถึงแผนแห่งความรอดต่อผู้ที่มืดบอดทางวิญญาณได้ เราเปิดดวงตาแห่งความเข้าใจของพวกเขาถึงความจำเป็นของอำนาจฐานะปุโรหิตในพันธสัญญานิรันดร์ได้
เราจะไม่ชุบชีวิตคนตายดังที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงทำ แต่เราให้พรพวกเขาได้โดยหารายชื่อของพวกเขาเพื่องานพระวิหาร จากนั้นเราจะชุบชีวิตพวกเขาจากคุกวิญญาณและเสนอทางสู่ชีวิตนิรันดร์ให้พวกเขาได้จริง
ดิฉันเป็นพยานว่าเรามีพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงพระชนม์ ด้วยเดชานุภาพและความสว่างของพระองค์ เราจะผลักความมืดของโลก ประกาศความจริงที่เรารู้ และมีอิทธิพลต่อผู้อื่นให้มาหาพระองค์ได้ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน