การประชุมใหญ่สามัญ
หลุมศพไม่มีชัยชนะ
การประชุมใหญ่สามัญเดือนเมษายน 2021


9:18

หลุมศพไม่มีชัยชนะ

โดยผ่านการชดใช้แห่งการไถ่และการฟื้นคืนพระชนม์อันรุ่งโรจน์ของพระเยซูคริสต์ ใจที่สลายสามารถเยียวยาได้ ความเจ็บปวดรวดร้าวกลับกลายเป็นสันติสุขได้ และความทุกข์ตรมกลับกลายเป็นความหวังได้

ในวันอาทิตย์อีสเตอร์อันรุ่งโรจน์นี้ เด็กๆ ของเราร้องเพลง “ในฤดูใบไม้ผลิแสนงาม พระเยซูทรงลุกขึ้นจากอุโมงค์ ทรงทำลายสายรัดแห่งความตาย”1

เราสำนึกคุณต่อความรู้ของเราเรื่องการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ แม้กระนั้น ในชีวิตบางช่วง เราจะรู้สึกใจสลายหลังการสูญเสียคนที่เรารักยิ่ง จากการระบาดทั่วโลกขณะนี้ เราหลายคนสูญเสียคนรัก—ไม่ว่าจะเป็นญาติสนิทมิตรสหาย2 เราสวดอ้อนวอนให้ผู้โศกเศร้าเพราะการสูญเสียเช่นนั้น

ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันกล่าวว่า:

“ไม่ว่าจะอยู่ในวัยใด เราโศกเศร้าอาลัยคนที่เรารักและสูญเสียไป ความโศกเศร้าอาลัยเป็นหนึ่งในการแสดงออกที่ลึกซึ้งที่สุดของรักบริสุทธิ์ …

“ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่อาจซาบซึ้งกับการกลับมาพบกันด้วยความปีติยินดีอีกครั้งหลังจากนี้ได้หากปราศจากการพรากจากกันด้วยน้ำตาในตอนนี้ วิธีเดียวที่จะนำความเศร้าโศกออกจากความตายคือนำความรักออกจากชีวิต”3

สานุศิษย์สตรีโศกเศร้าอาลัยพระเยซู

เรานึกภาพออกว่าบรรดาสหายของพระเยซูที่ติดตามพระองค์และคอยปรนนิบัติพระองค์4รู้สึกอย่างไรเมื่อได้เห็นพระองค์สิ้นพระชนม์5 เรารู้ว่า “พวกเขากำลังร้องไห้เป็นทุกข์”6 ในวันตรึงกางเขน โดยไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ พวกเขาคงท่วมท้นไปด้วยความทุกข์เป็นแน่ และสงสัยว่าจะดำเนินต่อไปอย่างไรเมื่อไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วยแล้ว กระนั้นพวกเขาก็ยังคงปรนนิบัติพระองค์ต่อไปแม้ในความตาย

โยเซฟแห่งอาริมาเธียขอให้ปีลาตมอบพระศพของพระเยซูแก่เขา เขาอัญเชิญพระศพลงมาพันด้วยผ้าป่านอย่างดี นำไปวางไว้ในอุโมงค์เจาะใหม่ของเขาเอง แล้วกลิ้งหินก้อนใหญ่มาปิดประตูสุสาน7

นิโคเดมัสนำมดยอบกับกฤษณามา เขาช่วยโยเซฟอัญเชิญพระศพลงมาแล้วพันด้วยผ้าป่านที่มีเครื่องหอม8

มารีย์ชาวมักดาลาและสตรีคนอื่นๆ ติดตามโยเซฟและนิโคเดมัสมาดูที่ซึ่งพวกเขาวางพระศพพระเยซูและจัดแจงเครื่องหอมกับน้ำมันหอมเพื่อชโลมพระศพ9 ตามกฎที่เข้มงวดของยุคนั้น พวกเขาชะลอการเตรียมและการชโลมพระศพออกไปเพราะวันเสาร์เป็นวันสะบาโต10 ต่อมาในเช้าตรู่วันอาทิตย์ พวกเขาก็ไปยังสุสานแห่งนั้น หลังจากตระหนักว่าพระศพของพระผู้ช่วยให้รอดไม่ได้อยู่ที่นั่น พวกเขาจึงไปบอกเหล่าสานุศิษย์ผู้เป็นอัครสาวกของพระเยซู เหล่าอัครสาวกกลับมาที่อุโมงค์ด้วยกันและเห็นว่าที่นั่นว่างเปล่า ในที่สุดทุกคนยกเว้นมารีย์ชาวมักดาลาต่างออกไปกันหมด พลางสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระศพของพระผู้ช่วยให้รอด11

มารีย์ชาวมักดาลาอยู่ที่อุโมงค์เพียงลำพัง ก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วัน เธอเห็นความตายอันน่าสลดใจของผู้เป็นเพื่อนและพระอาจารย์ของตนเอง แต่บัดนี้อุโมงค์ว่างเปล่า และเธอไม่รู้ว่าพระองค์อยู่ที่ไหน เรื่องนี้หนักเกินกว่าที่เธอจะรับได้ เธอจึงร่ำไห้ ขณะนั้นเอง พระผู้ช่วยให้รอดผู้ฟื้นคืนพระชนม์เสด็จมาหาเธอและถามว่าเธอร้องไห้ทำไมและกำลังมองหาใคร เธอคิดว่าคนทำสวนพูดด้วย จึงถามไปว่าเขาได้นำพระศพองค์พระเจ้าของเธอไปหรือไม่ ขอให้บอกว่าพระศพอยู่ที่ใด เธอจะไปนำกลับมา12

มารีย์ชาวมักดาลา

ดิฉันจินตนาการว่าพระเจ้าอาจทรงปล่อยให้มารีย์ชาวมักดาลาเศร้าเสียใจและแสดงความรู้สึกเจ็บปวดออกมา13 จากนั้นพระองค์ตรัสเรียกชื่อเธอ แล้วเธอก็หันมาและรู้ว่าเป็นพระองค์ เธอเห็นพระคริสต์ผู้ฟื้นคืนพระชนม์และเห็นการฟื้นคืนพระชนม์อันรุ่งโรจน์นั้น14

เช่นเดียวกับท่าน ดิฉันสามารถเชื่อมโยงกับความเจ็บปวดรวดร้าวที่มารีย์ชาวมักดาลาและเพื่อนๆ มีขณะเศร้าเสียใจต่อการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าของพวกเขา สมัยอายุเก้าขวบ ดิฉันสูญเสียพี่ชายไปในภัยพิบัติแผ่นดินไหว เนื่องจากเรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ดิฉันต้องใช้เวลาสักพักก่อนจะยอมรับความจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ดิฉันใจสลายด้วยความโศกเศร้า และถามตนเองว่า “เกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายฉัน? เขาอยู่ไหน? เขาไปไหน? ฉันจะได้พบเขาอีกไหม?”

ตอนนั้นดิฉันยังไม่รู้เรื่องแผนแห่งความรอดของพระผู้เป็นเจ้า แต่ดิฉันปรารถนาจะรู้ว่าเรามาจากไหน อะไรคือจุดประสงค์ของชีวิต และจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากเราตาย เราทุกคนไม่ได้มีความรู้สึกโหยหาเหล่านั้นเมื่อสูญเสียคนที่เรารักหรือเมื่อเราผ่านความยากลำบากในชีวิตหรอกหรือ?

สองสามปีต่อมา ดิฉันเริ่มคิดถึงพี่ชายอีกแบบหนึ่ง ดิฉันจะจินตนาการว่าเขามาเคาะประตูบ้านเรา ดิฉันจะเปิดประตู เขาจะยืนอยู่ที่นั่นและบอกดิฉันว่า “พี่ยังไม่ตาย พี่ยังมีชีวิตอยู่ ก่อนหน้านี้พี่มาหาน้องไม่ได้ แต่ตอนนี้พี่จะอยู่กับน้องและไม่จากไปไหนอีกแล้ว” จินตนาการที่แทบจะเป็นความฝันนั้นช่วยบรรเทาความเจ็บปวดที่มีต่อการสูญเสียลงได้ ความคิดที่ว่าพี่ชายจะมาอยู่กับดิฉันเข้ามาในความคิดครั้งแล้วครั้งเล่า บางครั้งดิฉันจะจ้องมองไปที่ประตู หวังว่าเขาจะมาเคาะและจะได้เห็นเขาอีกครั้ง

เกือบ 40 ปีต่อมาในช่วงอีสเตอร์ ดิฉันกำลังไตร่ตรองเกี่ยวกับการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์และเริ่มคิดถึงพี่ชาย ขณะนั้นบางอย่างแวบเข้ามาในความคิด ดิฉันจำได้ถึงการจินตนาการว่าพี่ชายมาหา

วันนั้นดิฉันตระหนักว่าพระวิญญาณทรงปลอบโยนดิฉันในช่วงเวลายากๆ ดิฉันได้รับพยานว่าวิญญาณของพี่ชายยังไม่ตาย เขายังมีชีวิตอยู่ เขายังคงก้าวหน้าต่อไปในการดำรงอยู่นิรันดร์ ดิฉันรู้แล้วว่า “[พี่ชายดิฉัน] จะเป็นขึ้นมาอีก”15 ในช่วงเวลาอันงดงามนั้นที่เราทุกคนจะฟื้นคืนชีวิตเนื่องด้วยการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงทำให้เป็นไปได้ที่เราทุกคนจะอยู่ด้วยกันอีกครั้งเป็นครอบครัวและจะมีปีตินิรันดร์ในที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้าหากเราจะเลือกทำและรักษาพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์กับพระองค์

ประธานเนลสันสอนว่า:

“ความตายเป็นองค์ประกอบจำเป็นของการดำรงอยู่นิรันดร์ของเรา ไม่มีใครรู้ว่ามันจะมาถึงเมื่อใด แต่ขาดความตายไม่ได้ในแผนอันสำคัญยิ่งแห่งความสุขของพระผู้เป็นเจ้า เนื่องจากการชดใช้ของพระเจ้า การฟื้นคืนชีวิตในตอนท้ายเป็นเรื่องจริงและชีวิตนิรันดร์เป็นไปได้สำหรับมวลมนุษย์ …

“… สำหรับผู้ที่ถูกทิ้งให้โศกเศร้าอยู่เบื้องหลังจากคนที่เรารัก … ความเจ็บแปลบแห่งความตายถูกบรรเทาลงด้วยศรัทธาอันมั่นคงในพระคริสต์ ความเจิดจ้าอันบริบูรณ์แห่งความหวัง ความรักต่อพระผู้เป็นเจ้าและต่อมนุษย์ทั้งปวง และความปรารถนาอันลึกซึ้งที่จะรับใช้คนเหล่านั้น ศรัทธา ความหวัง และความรักนั้นจะทำให้เราคู่ควรแก่การเข้าสู่ที่ประทับอันศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าและอยู่กับพระองค์ตลอดกาลพร้อมคู่ชีวิตนิรันดร์และครอบครัวของเรา”16

อุโมงค์ในสวน

ดิฉันเป็นพยานว่า “หากพระคริสต์ไม่ทรงลุกขึ้นจากบรรดาคนตาย, หรือไม่ทรงทำให้สายรัดแห่งความตายขาดเพื่อหลุมศพจะไม่มีชัยชนะ, และเพื่อความตายจะไม่มีความเจ็บแปลบ, การฟื้นคืนชีวิตจะมีไม่ได้.

“แต่มีการฟื้นคืนชีวิต, ฉะนั้นหลุมศพจึงไม่มีชัยชนะ, และความเจ็บแปลบแห่งความตายจึงถูกกลืนเข้าไปในพระคริสต์.

“พระองค์ทรงเป็นแสงสว่างและชีวิตของโลก; แท้จริงแล้ว, แสงสว่างอันหาได้สิ้นสุดไม่, ซึ่งจะไม่มีวันทำให้มืดได้เลย; แท้จริงแล้ว, และชีวิตอันหาได้สิ้นสุดไม่ด้วย, เพื่อจะมีความตายอีกไม่ได้”17

พระผู้ช่วยให้รอดผู้ฟื้นคืนพระชนม์

พระ‍เยซูทรงประกาศด้วยพระองค์เองว่า “เราเป็นชีวิตและการเป็นขึ้นจากตาย คนที่วาง‍ใจในเราจะมีชีวิตอีกแม้‍ว่าเขาจะตายไป”18

ดิฉันเป็นพยานว่าโดยผ่านการชดใช้แห่งการไถ่และการฟื้นคืนพระชนม์อันรุ่งโรจน์ของพระเยซูคริสต์ ใจที่สลายสามารถเยียวยาได้ ความเจ็บปวดรวดร้าวกลับกลายเป็นสันติสุขได้ และความทุกข์ตรมกลับกลายเป็นความหวังได้ พระองค์ทรงโอบเราไว้ในอ้อมพระพาหุแห่งความเมตตา คอยปลอบโยน มอบพลัง และเยียวยาเราแต่ละคน ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน