การประชุมใหญ่สามัญ
จงจำทางกลับบ้าน
การประชุมใหญ่สามัญเดือนเมษายน 2021


8:26

จงจำทางกลับบ้าน

เรามีแบบอย่างดีพร้อมของพระเยซูคริสต์ไว้ทำตาม และการเดินทางสู่บ้านนิรันดร์ของเราเป็นไปได้ด้วยพระดำรัสสอน พระชนม์ชีพ และการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระองค์เท่านั้น

ในปี 1946 อาร์เธอร์ แฮสเลอร์ นักวิจัยหนุ่มเดินเลาะลำธารภูเขาใกล้บ้านในวัยเด็ก ครั้งนั้นเขามีประสบการณ์ที่นำไปสู่การค้นพบสำคัญเกี่ยวกับวิธีที่ปลาหาทางกลับสู่ลำธารถิ่นกำเนิดของพวกมัน

ระหว่างเดินขึ้นเขา แม้จะมองไม่เห็นน้ำตกที่โปรดปรานในวัยเด็ก แต่แฮสเลอร์พลันหวนนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่หลงลืมไปแล้ว เขากล่าวว่า “ขณะสายลมเย็นโชยหอบเอากลิ่นมอสและกลิ่นดอกคอลัมไบน์อบอวลไปทั่วแนวหินลาดชัน รายละเอียดของน้ำตกแห่งนี้และบรรยากาศด้านหน้าภูเขาผุดขึ้นมาในมโนภาพของผม”1

กลิ่นเหล่านั้นจุดประกายความทรงจำวัยเด็กของเขาและเตือนให้นึกถึงบ้าน

ถ้ากลิ่นสามารถกระตุ้นความทรงจำนั้นของเขาได้ เขาให้เหตุผลว่ากลิ่นอาจเป็นสิ่งย้อนรำลึกให้ปลาแซลมอนที่อาศัยอยู่ในทะเลเปิดนานหลายปี ให้กลับไปยังลำธารถิ่นกำเนิดเพื่อวางไข่ได้อย่างถูกต้อง

จากประสบการณ์นี้ แฮสเลอร์พร้อมด้วยนักวิจัยคนอื่นๆ สาธิตให้เห็นต่อว่าปลาแซลมอนจดจำกลิ่นซึ่งช่วยนำทางพวกมันเป็นระยะทางหลายพันไมล์ให้หาทางกลับบ้านจากทะเลได้

เรื่องนี้ทำให้ข้าพเจ้าคิดว่าหนึ่งในเรื่องสำคัญที่สุดที่เราทำได้ในชีวิตนี้คือรับรู้และจดจำหนทางกลับไปหาพระบิดาบนสวรรค์ของเราและบากบั่นไปตลอดการเดินทางด้วยศรัทธาและปีติเต็มเปี่ยม

ข้าพเจ้านึกถึงเครื่องเตือนใจสี่ข้อซึ่งเมื่อเรานำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตอยู่เสมอ จะช่วยจุดประกายความรู้สึกเกี่ยวกับบ้านบนสวรรค์ของเราได้

ข้อแรก เราสามารถจดจำว่าเราคือบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้า

เรามีมรดกแห่งสวรรค์ การรู้ว่าเราเป็นบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าและรู้ว่าพระองค์ต้องการให้เรากลับไปยังที่ประทับของพระองค์เป็นขั้นแรกของการเดินทางกลับบ้านบนสวรรค์ของเรา

จงเตือนตนเองเรื่องมรดกชิ้นนี้ จัดเวลาให้สม่ำเสมอเพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันทางวิญญาณโดยระลึกถึงพรที่ท่านได้รับจากพระเจ้า วางใจการนำทางที่พระองค์ประทานให้แทนการหันไปหาโลกเพียงอย่างเดียวเพื่อวัดคุณค่าส่วนตัวและหาหนทางตนเอง

ไม่นานมานี้ข้าพเจ้าไปเยี่ยมคนที่ข้าพเจ้ารักหลังจากเธอออกจากโรงพยาบาล เธอบอกข้าพเจ้าด้วยอารมณ์ความรู้สึกว่าขณะนอนอยู่ที่โรงพยาบาล ทั้งหมดที่เธอปรารถนาคือให้ใครสักคนมาร้องเพลง “ฉันลูกพระผู้เป็นเจ้า” ให้ฟัง เธอบอกว่าแค่ความคิดนี้อย่างเดียวก็ยังให้สันติสุขที่เธอต้องการในยามทุกข์ทนเช่นนั้น

การรู้ว่าท่านเป็นใครเปลี่ยนความรู้สึกและการกระทำของท่าน

การเข้าใจว่าแท้จริงแล้วท่านเป็นใครจะเตรียมท่านให้รับรู้และจดจำหนทางกลับบ้านบนสวรรค์ได้ดีขึ้นและปรารถนาจะไปอยู่ที่นั่น

ข้อสอง เราสามารถจดจำรากฐานที่ปกป้องเรา

เราได้รับความเข้มแข็งเมื่อเราคงความชอบธรรม แน่วแน่ และซื่อสัตย์ในพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ แม้ในขณะที่คนอื่นๆ ไม่เอาใจใส่พระบัญญัติและหลักธรรมแห่งความรอดกันมาก2

ในพระคัมภีร์มอรมอน ฮีลามันสอนบุตรชายของท่านให้จำไว้ว่าพวกเขาต้องสร้างรากฐานของตนอยู่บนพระเยซูคริสต์เพื่อให้มีความเข้มแข็งพอที่จะต่อต้านการล่อลวงของปฏิปักษ์ พายุและลมแรงของซาตานอาจพัดกระหน่ำใส่เรา แต่สิ่งเหล่านั้นจะไม่มีพลังลากเราลงไป หากเราวางใจในสถานที่ปลอดภัยที่สุด—ในพระผู้ไถ่ของเรา3

จากประสบการณ์ส่วนตัวข้าพเจ้ารู้ว่าขณะเราเลือกที่จะฟังสุรเสียงและทำตามพระองค์ เราจะได้รับความช่วยเหลือจากพระองค์ เราจะได้รับมุมมองที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับสภาวการณ์ของเราและมีความเข้าใจจุดประสงค์ของชีวิตลึกซึ้งขึ้น เราจะรู้สึกถึงการกระตุ้นทางวิญญาณที่จะนำทางเรากลับยังบ้านบนสวรรค์

ข้อสาม เราสามารถจดจำว่าต้องสวดอ้อนวอนเสมอ

เราอาศัยอยู่ในยุคที่เพียงสัมผัสครั้งเดียวหรือสั่งด้วยเสียงก็สามารถเริ่มค้นหาคำตอบของเกือบทุกเรื่องได้จากคลังข้อมูลมหาศาลที่จัดเก็บไว้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่และซับซ้อน

ในอีกทางหนึ่ง เราได้รับคำเชื้อเชิญเรียบง่ายให้เริ่มแสวงหาคำตอบจากสวรรค์ “จงสวดอ้อนวอนเสมอ, และเราจะเทพระวิญญาณของเราลงมาให้เจ้า” จากนั้นพระเจ้าทรงสัญญา “และพรของเจ้าจะยิ่งใหญ่นัก—แท้จริงแล้ว, แม้ยิ่งกว่าที่เจ้าจะได้ทรัพย์ของแผ่นดินโลก”4

พระผู้เป็นเจ้าทรงทราบดีเกี่ยวกับเราแต่ละคนและทรงพร้อมจะฟังเราสวดอ้อนวอน เมื่อเราจดจำที่จะสวดอ้อนวอน เราจะพบความรักมั่นคงของพระองค์ ยิ่งเราสวดอ้อนวอนพระบิดาในสวรรค์ในพระนามของพระคริสต์มากเท่าใด เราจะยิ่งนำพระผู้ช่วยให้รอดมาสู่ชีวิตเรามากเท่านั้น และเราจะรู้ดีขึ้นถึงเส้นทางที่ทรงทำเครื่องหมายไว้ไปสู่บ้านบนสวรรค์

ข้อสี่ เราสามารถจดจำว่าต้องรับใช้ผู้อื่น

เมื่อเราพยายามทำตามพระเยซูคริสต์โดยรับใช้และแสดงน้ำใจต่อผู้อื่น เราทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น

การกระทำของเราสามารถเป็นพรแก่ชีวิตคนรอบข้างและชีวิตเราเองอย่างมีนัยสำคัญ การรับใช้ด้วยความรักเพิ่มความหมายแก่ชีวิตทั้งผู้ให้และผู้รับ

อย่าประเมินศักยภาพของท่านในการเป็นอิทธิพลดีต่อผู้อื่นต่ำเกินไป ทั้งจากการรับใช้ด้วยการกระทำและด้วยการเป็นแบบอย่าง

การรับใช้ผู้อื่นด้วยความรักนำเราตามเส้นทางไปสู่บ้านบนสวรรค์—เส้นทางของการเป็นเหมือนพระผู้ช่วยให้รอดของเรา

ในปี 1975 จากผลของสงครามกลางเมือง อาร์นัลโดและยูยีนนีอา เทเลสกริโลกับลูกๆ ต้องทิ้งบ้านและทุกสิ่งที่เคยสร้างสมจากการทำงานหนักหลายสิบปีไว้เบื้องหลัง ในโปรตุเกสประเทศบ้านเกิด บราเดอร์และซิสเตอร์เทเลสกริโลเผชิญความท้าทายที่จะต้องเริ่มต้นใหม่ทุกอย่างอีกครั้ง แต่หลายปีต่อมา หลังจากเข้าร่วมศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย พวกเขากล่าวว่า “เราสูญเสียทุกสิ่งที่เรามี แต่ก็เป็นสิ่งที่ดีเพราะมันบีบให้เราต้องพิจารณาความสำคัญของพรนิรันดร์”5

พวกเขาสูญเสียบ้านบนแผ่นดินโลก แต่พบทางกลับบ้านบนสวรรค์

ไม่ว่าท่านต้องทิ้งสิ่งใดไว้เบื้องหลังเพื่อไปตามเส้นทางกลับบ้านบนสวรรค์ วันหนึ่งจะดูเหมือนว่าท่านไม่ได้เสียสละสิ่งใดเลย

เรามีแบบอย่างดีพร้อมของพระเยซูคริสต์ไว้ทำตาม และการเดินทางสู่บ้านนิรันดร์เป็นไปได้ด้วยพระดำรัสสอน พระชนม์ชีพ และการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระองค์เท่านั้น—รวมถึงการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์อันเรืองโรจน์ด้วย

ข้าพเจ้าเชื้อเชิญให้ท่านประสบปีติจากการจดจำว่าเราคือบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าและว่าพระองค์ทรงรักโลกมากจนทรงส่งพระบุตรมา6เพื่อแสดงทางนั้นแก่เรา ข้าพเจ้าเชื้อเชิญให้ท่านจดจำว่าจะต้องซื่อสัตย์ เพื่อหันชีวิตไปหาพระผู้ช่วยให้รอดและสร้างรากฐานของท่านบนพระองค์ จดจำว่าจะต้องสวดอ้อนวอนเสมอในการเดินทางและรับใช้ผู้อื่นไปตลอดทาง

พี่น้องที่รัก ในวันอาทิตย์อีสเตอร์นี้ ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระผู้ไถ่และพระผู้ช่วยให้รอดของโลก พระองค์ทรงเป็นผู้เดียวที่สามารถเชิญเราไปนั่งโต๊ะแห่งชีวิตอันเปี่ยมปีติและนำทางเราในการเดินทาง ขอให้เราจดจำและติดตามพระองค์กลับบ้าน ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน