พระผู้ช่วยให้รอดส่วนตัวของเรา
เพราะการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ พระผู้ช่วยให้รอดจึงทรงมีเดชานุภาพในการชำระล้าง เยียวยา และเพิ่มพลังให้เราทีละคน
ข้าพเจ้าสำนึกคุณที่ได้อยู่กับท่านในเช้าอีสเตอร์แสนวิเศษนี้ เมื่อนึกถึงอีสเตอร์ ข้าพเจ้าชอบท่องในใจถ้อยคำที่เทพพูดกับคนที่อยู่ตรงอุโมงค์ในสวนว่า: “พวกท่านแสวงหาคนเป็นในพวกคนตายทำไม? พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว”1 ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระเยซูแห่งนาซาเร็ธฟื้นคืนพระชนม์แล้วและยังทรงพระชนม์อยู่
คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องพระคริสต์?
สามสิบสี่ปีที่แล้ว ข้าพเจ้ากับคู่ผู้สอนศาสนาพบชายที่ฉลาดมากและสอนเขา เขาเป็นคนเขียนบทความส่งให้หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในเมืองดาเวา ฟิลิปปินส์ เราชอบสอนเขาเพราะเขามีคำถามมากมายและเคารพความเชื่อของเราอย่างมาก คำถามที่น่าจดจำที่สุดที่เขาถามคือ “คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องพระคริสต์?”2 แน่นอนว่าเราแบ่งปันความรู้สึกและแสดงประจักษ์พยานถึงพระเยซูคริสต์อย่างตื่นเต้น ต่อมาเขาพิมพ์บทความในหัวข้อเดียวกันที่มีคำและสำนวนดีๆ เกี่ยวกับพระผู้ช่วยให้รอด ข้าพเจ้าจำได้ว่าประทับใจแต่ใช่ว่าจะยกระดับจิตใจ บทความมีข้อมูลที่ดีแต่รู้สึกกลวงและขาดพลังทางวิญญาณ
ทำความรู้จักพระองค์มากขึ้นเรื่อยๆ
“ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องพระคริสต์?” ข้าพเจ้าตระหนักว่าการรู้จักพระผู้ช่วยให้รอดอย่างสนิทสนมมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อความสามารถในการได้ยินพระองค์และวิธีที่ข้าพเจ้าตอบสนอง ไม่กี่ปีก่อน เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์ถามคำถามต่อไปนี้อันเป็นคำปราศรัยส่วนหนึ่งของท่าน: “เรารู้เกี่ยวกับพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้นหรือ หรือเรากำลังทำความรู้จักพระองค์มากขึ้น? เราจะทำความรู้จักพระเจ้าอย่างไร?”3
ขณะศึกษาไตร่ตรอง ข้าพเจ้าตระหนักชัดว่าข้าพเจ้ารู้เกี่ยวกับพระผู้ช่วยให้รอดมากกว่าที่รู้จักพระองค์จริงๆ เสียอีก ข้าพเจ้าตกลงใจในตอนนั้นว่าจะพยายามรู้จักพระองค์มากขึ้น ข้าพเจ้าสำนึกคุณอย่างยิ่งต่อพระคัมภีร์และประจักษ์พยานของสานุศิษย์ชายหญิงผู้ซื่อสัตย์ของพระเยซูคริสต์ การเดินทางของข้าพเจ้าตลอดไม่กี่ปีที่ผ่านมานำข้าพเจ้าไปตามถนนหลายสายของการศึกษาและการค้นพบ ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงถ่ายทอดข่าวสารให้ท่านวันนี้ยิ่งกว่าถ้อยคำที่ข้าพเจ้าเขียนไว้ซึ่งยังไม่ดีพอ
หนึ่ง เราต้องรับรู้ว่าการรู้จักพระผู้ช่วยให้รอดเป็นการแสวงหาสำคัญที่สุดของชีวิตเรา และควรมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
“และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือการที่พวกเขารู้จักพระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา”4
“พระเยซูตรัสกับเขาว่า เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา”5
“เราเป็นความสว่างของโลก คนที่ตามเรามาจะไม่ต้องเดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต”6
สอง ขณะที่เราทำความรู้จักพระผู้ช่วยให้รอดมากขึ้นเรื่อยๆ ข้อพระคัมภีร์และถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์จะมีความหมายต่อตัวเราอย่างใกล้ชิดจนกลายเป็นถ้อยคำของเราเอง นี่ไม่เกี่ยวกับการลอกเลียนคำพูด ความรู้สึก และประสบการณ์ของผู้อื่น เท่ากับการทำความรู้จักด้วยตัวเราเอง ในวิธีของเราเอง โดยการทดลองถ้อยคำ7และรับพยานจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังที่ศาสดาพยากรณ์แอลมาประกาศ:
“ท่านไม่คิดหรือว่าข้าพเจ้ารู้ด้วยตนเองถึงเรื่องเหล่านี้? ดูเถิด, ข้าพเจ้าเป็นพยานแก่ท่านว่าข้าพเจ้ารู้ว่าเรื่องเหล่านี้ที่ข้าพเจ้าพูดมาแล้วเป็นเรื่องจริง. และท่านคิดว่าข้าพเจ้ารู้ถึงความแน่นอนของเรื่องเหล่านี้ด้วยวิธีใด?
“ดูเถิด, ข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่านว่าเรื่องเหล่านี้เป็นที่รู้แก่ข้าพเจ้าโดยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า. ดูเถิด, ข้าพเจ้าอดอาหารและสวดอ้อนวอนมาหลายวันเพื่อข้าพเจ้าจะรู้เรื่องเหล่านี้ด้วยตนเอง. และบัดนี้ข้าพเจ้ารู้ด้วยตนเองว่าเรื่องเหล่านี้จริง; เพราะพระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าทรงแสดงเรื่องเหล่านี้ให้ประจักษ์แก่ข้าพเจ้าโดยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์; และนี่คือวิญญาณแห่งการเปิดเผยซึ่งอยู่กับข้าพเจ้า”8
สาม การเข้าใจเพิ่มขึ้นว่าการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ประยุกต์ใช้กับเราเป็นส่วนตัวและเป็นรายบุคคลจะช่วยให้เรารู้จักพระองค์ บ่อยครั้งเรานึกถึงและพูดถึงการชดใช้ของพระคริสต์ด้วยคำพูดทั่วไปได้ง่ายกว่าการรับรู้ความสำคัญส่วนตัวของการชดใช้ในชีวิตเรา การชดใช้ของพระเยซูคริสต์ไม่มีขอบเขตและเป็นนิรันดร์ ครอบคลุมทั้งความกว้างและความลึก แต่มีผลส่วนตัวเป็นรายบุคคลอย่างเต็มที่ เพราะการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ พระผู้ช่วยให้รอดจึงทรงมีเดชานุภาพในการชำระล้าง เยียวยา และเพิ่มพลังให้เราทีละคน
ความปรารถนาเดียว จุดประสงค์เดียวของพระผู้ช่วยให้รอดตั้งแต่ต้น คือทำตามพระประสงค์ของพระบิดา พระประสงค์ของพระบิดาคือให้พระองค์ทรงช่วย “ทำให้เกิดความเป็นอมตะและชีวิตนิรันดร์ของมนุษย์”9 โดยทรงเป็น “ผู้ช่วยทูลขอพระบิดา” แทนเรา10 ดังนั้น “ถึงแม้ว่าพระองค์เป็นพระบุตร พระองค์ก็ทรงเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังโดยการทนทุกข์ต่างๆ เมื่อพระเจ้าทรงทำให้พระเยซูเพียบพร้อมแล้ว พระเยซูจึงทรงเป็นแหล่งกำเนิดแห่งความรอดนิรันดร์สำหรับทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์”11
“และพระองค์จะเสด็จออกไป, ทรงทนความเจ็บปวดและความทุกข์และการล่อลวงทุกอย่าง …
“และพระองค์จะทรงรับเอาความตาย, เพื่อพระองค์จะทรงทำให้สายรัดแห่งความตาย … หลุดออก; และพระองค์จะทรงรับเอาความทุพพลภาพของพวกเขา, เพื่ออุทรของพระองค์จะเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา, … เพื่อพระองค์จะทรงรู้ตามเนื้อหนังว่าจะทรงช่วยผู้คนของพระองค์ตามความทุพพลภาพของพวกเขาได้อย่างไร
“… พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้ายังทรงรับทุกขเวทนาตามเนื้อหนังเพื่อพระองค์จะทรงรับเอาบาปของผู้คนของพระองค์, เพื่อพระองค์จะทรงลบการล่วงละเมิดของพวกเขาตามพระพลานุภาพแห่งการปลดปล่อยของพระองค์”12
ข้าพเจ้าอยากเล่าประสบการณ์ง่ายๆ เพื่ออธิบายการต่อสู้ดิ้นรนที่บางครั้งเราต้องน้อมรับลักษณะความเป็นส่วนตัวของการชดใช้ของพระเจ้า
หลายปีก่อน ตามคำเชื้อเชิญของผู้นำที่ดูแลข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอ่านพระคัมภีร์มอรมอนตั้งแต่ต้นจนจบและทำเครื่องหมายข้อที่พูดถึงการชดใช้ของพระเจ้า ผู้นำเชื้อเชิญให้ข้าพเจ้าเตรียมสรุปสิ่งที่เรียนรู้มาหนึ่งหน้าด้วย ข้าพเจ้าพูดกับตัวเองว่า “หนึ่งหน้า? ได้เลย ง่ายมาก” แต่ข้าพเจ้าประหลาดใจเมื่อพบว่างานนั้นยากอย่างยิ่ง และข้าพเจ้าล้มเหลว
ข้าพเจ้าตระหนักตั้งแต่นั้นว่าข้าพเจ้าล้มเหลวเพราะพลาดเป้าและมีสมมติฐานไม่ถูกต้อง หนึ่ง ข้าพเจ้าคาดหวังให้บทสรุปนั้นดึงดูดใจทุกคน แต่บทสรุปนั้นมีเพื่อข้าพเจ้าไม่ใช่เพื่อคนอื่น มีเพื่อแสดงความรู้สึกและอารมณ์ของข้าพเจ้าเกี่ยวกับพระผู้ช่วยให้รอดและสิ่งที่พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้า เพื่อว่าทุกครั้งที่อ่านจะได้ดึงประสบการณ์ทางวิญญาณที่ดีๆ ที่สะเทือนอารมณ์ และเป็นส่วนตัวออกมาให้ชัดเจนขึ้น
สอง ข้าพเจ้าคาดหวังจะให้บทสรุปนั้นสวยหรู ซับซ้อน มีศัพท์สูงๆ และสำนวนยากๆ แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับศัพท์สูงๆ เลย บทสรุปนั้นมีเพื่อประกาศความเชื่อมั่นอันเรียบง่ายและชัดเจน “เพราะจิตวิญญาณข้าพเจ้าเบิกบานในความแจ้งชัด; เพราะตามวิธีนี้พระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าทรงทำงานในบรรดาลูกหลานมนุษย์. เพราะพระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าประทานความสว่างให้แก่ความเข้าใจ.”13
สาม ข้าพเจ้าคาดหวังให้บทสรุปนั้นสมบูรณ์แบบ เป็นตัวจบของทุกบทสรุป—บทสรุปสุดท้ายที่ไม่มีใครเพิ่มเติมอะไรได้และไม่ควรเพิ่มเติม—แทนที่จะเป็นงานทำไปเรื่อยๆ ที่ข้าพเจ้าสามารถเพิ่มคำตรงนี้หรือวลีตรงนั้นได้เมื่อมีความเข้าใจเรื่องการชดใช้ของพระเยซูคริสต์เพิ่มขึ้น
ประจักษ์พยานและคำเชื้อเชิญ
สมัยเป็นเยาวชนชาย ข้าพเจ้าเรียนรู้มากจากการสนทนากับอธิการ ในช่วงวัยเยาว์นั้น ข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะชอบคำร้องเหล่านี้จากเพลงสวดที่โปรดปราน:
ฉันเฝ้าพิศวงต่อความรักพระเยซูให้ฉัน
ทั้งงงงันต่อพระคุณท่วมท้นที่พระองค์ประทาน
ฉันสะท้านกายาเมื่อทราบว่าพระองค์วายเพื่อฉัน
และเพื่อฉันคนบาป พระองค์ทนทุกข์หลั่งเลือดวายปราณ
ศาสดาพยากรณ์โมโรไนเชื้อเชิญเรา: “และบัดนี้, ข้าพเจ้าอยากกระตุ้นเตือนท่านให้แสวงหาพระเยซูองค์นี้ผู้ซึ่งศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกเขียนไว้”15
ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันสัญญาว่า “หาก [เรา] เริ่มเรียนรู้ ทั้งหมด ที่ [เรา] สามารถทำได้เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ … ความสามารถ [ของเรา] ในการหันหลังให้บาปจะเพิ่มขึ้น ความปรารถนา [ของเรา] ในการรักษาพระบัญญัติจะทวีขึ้น”16
ในวันอาทิตย์อีสเตอร์นี้ เฉกเช่นพระผู้ช่วยให้รอดที่เสด็จออกจากสุสานหิน ขอให้เราตื่นจากความหลับใหลทางวิญญาณและอยู่เหนือเมฆหมอกแห่งความสงสัย การเกาะกุมของความกลัว ความมัวเมาแห่งความจองหอง และการขับกล่อมของความพึงใจ พระเยซูคริสต์และพระบิดาบนสวรรค์ทรงพระชนม์ ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงความรักอันสมบูรณ์แบบที่ทั้งสองพระองค์ทรงมีให้เรา ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน