2017
จงเดินกับเรา
พฤษภาคม 2017


“จงเดินกับเรา”

การแต่งตั้งสู่ฐานะปุโรหิตเป็นการเชื้อเชิญจากพระเจ้าให้เราเดินกับพระองค์ ทำสิ่งที่พระองค์ทรงทำ รับใช้ในวิธีที่พระองค์ทรงรับใช้

พี่น้องผู้ดำรงฐานะปุโรหิตทั้งหลาย วันนี้จุดประสงค์ของข้าพเจ้าคือทำให้ท่านมั่นใจและเสริมพลังในงานรับใช้ฐานะปุโรหิตแก่ท่าน ในบางวิธี จะเหมือนกับพระประสงค์ของพระผู้ช่วยให้รอดในจินตนาการของข้าพเจ้า เมื่อพระองค์ทรงพบกับเศรษฐีหนุ่มผู้ทูลถามว่า “ข้าพเจ้าจะต้องทำความดีอะไรบ้าง จึงจะได้ชีวิตนิรันดร์?” (ดู มัทธิว 19:16) บางทีท่านอาจมาการประชุมใหญ่ครั้งนี้เหมือนชายหนุ่มไปเฝ้าพระผู้ช่วยให้รอด โดยสงสัยว่าการรับใช้ของท่านเป็นที่ยอมรับหรือไม่ ในขณะเดียวกันท่านอาจสำนึกได้ว่ายังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมาก—อาจมากยิ่งกว่าเดิม! ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนให้สามารถถ่ายทอดความเห็นชอบที่พระเจ้าทรงมีต่อสิ่งที่ท่านทำมาแล้ว ขณะเดียวกันก็กระตุ้นท่านเล็กน้อยเกี่ยวกับสิ่งที่ท่านควรทำให้สำเร็จด้วยความช่วยเหลือจากพระองค์ในฐานะผู้ดำรงฐานะปุโรหิตศักดิ์สิทธิ์

พระผู้ช่วยให้รอดทรงขอให้ชายหนุ่มขายทุกสิ่งที่มีและมอบให้คนยากจนและติดตามพระองค์ไป ความก้าวหน้าในอนาคตอาจไม่เรียกร้องจากท่านมากเช่นนั้น แต่จะต้องเรียกร้องการเสียสละระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม หวังว่าข่าวสารของข้าพเจ้าคงไม่ทำให้ท่าน “ออกไปเป็นทุกข์” เหมือนชายหนุ่ม (ดู มัทธิว 19:20–22) ในทางกลับกัน ข้าพเจ้าวางใจว่าท่านจะ “ไปตามทางของเจ้าด้วยความชื่นชมยินดี” (คพ. 84:105) เพราะท่านต้องการพัฒนาและท่านคิดว่าท่านพัฒนาได้

แม้กระนั้น เมื่อพิจารณาสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกให้เราทำ เป็นธรรมดาที่เราจะรู้สึกไม่คู่ควร อันที่จริง ถ้าท่านบอกข้าพเจ้าว่าท่านรู้สึกเพียบพร้อมด้วยความสามารถที่จะทำหน้าที่ฐานะปุโรหิตให้เกิดสัมฤทธิผล ข้าพเจ้าคงกังวลว่าท่านไม่เข้าใจเรื่องนี้ ในอีกด้านหนึ่ง ถ้าท่านบอกว่าท่านรู้สึกยอมแพ้เพราะงานนั้นยากเกินขีดความสามารถของท่าน ข้าพเจ้าก็จะต้องการช่วยให้ท่านเข้าใจว่าพระเจ้าทรงทำให้ผู้ดำรงฐานะปุโรหิตขยายความสามารถและเข้มแข็งขึ้นได้อย่างไรเพื่อทำสิ่งที่พวกเขาไม่มีวันทำได้โดยลำพัง

นี่คือเรื่องจริงสำหรับการเรียกของข้าพเจ้าเท่าๆ กับการเรียกของท่าน ไม่มีใครทำงานฐานะปุโรหิตได้ และทำได้ดีโดยอาศัยปัญญาและพรสวรรค์ของตนเองเท่านั้น ทั้งนี้เพราะงานนี้ไม่ใช่งานของเรา—แต่เป็นงานของพระเจ้า วิธีเดียวที่จะประสบความสำเร็จคือพึ่งพาพระองค์ ไม่ว่าท่านจะเป็นมัคนายกคนใหม่ที่ได้รับความวางใจในงานซึ่งจะนำอำนาจทางวิญญาณระดับหนึ่งไปปฏิบัติศาสนพิธีศีลระลึก หรือเป็นผู้สอนประจำบ้านหนุ่มตามที่ได้รับมอบหมายจากพระเจ้าให้รักและปรนนิบัติครอบครัวที่ท่านไม่รู้จักและดูเหมือนว่าครอบครัวนั้นไม่ได้ต้องการความรักและการปรนนิบัติจากท่าน หรืออาจเป็นบิดาที่รู้ว่าท่านต้องควบคุมดูแลให้ครอบครัวอยู่ในความชอบธรรม แต่ไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไร เวลาก็ดูจะหมดไปทุกที เพราะลูกๆ โตเร็วมาก โลกก็ดูเกรี้ยวกราดไร้ความเป็นมิตร

ดังนั้นถ้าท่านรู้สึกหนักใจเล็กน้อย จงถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี แสดงว่าท่านสำนึกได้ถึงขนาดของความวางใจที่พระผู้เป็นเจ้าทรงวางไว้ในตัวท่าน ความหมายก็คือท่านยังเข้าใจอยู่บ้างว่าแท้จริงแล้วฐานะปุโรหิตคืออะไร

ในโลกนี้มีไม่กี่คนที่เข้าใจเรื่องนี้ แม้ผู้ที่สามารถท่องจำนิยามที่สมเหตุสมผลได้ก็อาจไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ มีพระคัมภีร์บางข้อซึ่งโดยผ่านอำนาจของพระวิญญาณ สามารถทำให้เราสำนึกในความยำเกรงฐานะปุโรหิตอันศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น พระคัมภีร์บางข้อที่กล่าวไว้มีดังนี้

“พลังอำนาจและสิทธิอำนาจของ … ฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดค, คือการถือกุญแจทั้งหลายของพรทางวิญญาณทั้งปวงของศาสนจักร—

“การมีเอกสิทธิ์ได้รับความลี้ลับของอาณาจักรแห่งสวรรค์, ให้สวรรค์เปิดต่อพวกเขา, ติดต่อกับการชุมนุมใหญ่และศาสนจักรของพระบุตรหัวปี, และปีติยินดีกับการติดต่อและพระสิริแห่งพระผู้เป็นเจ้า พระบิดา, และพระเยซู สื่อกลางแห่งพันธสัญญาใหม่.

“พลังอำนาจและสิทธิอำนาจของ … ฐานะปุโรหิตแห่งอาโรน, คือการถือกุญแจทั้งหลายแห่งการปฏิบัติของเหล่าเทพ” (คพ. 107:18–20)

“ในศาสนพิธี [ของฐานะปุโรหิตนี้], พลังอำนาจของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้าจึงแสดงให้ประจักษ์. …

“เพราะปราศจากสิ่งนี้ไม่มีมนุษย์คนใดจะเห็นพระพักตร์ของพระผู้เป็นเจ้า, แม้พระบิดา, และมีชีวิตอยู่ได้” (คพ. 84:20, 22)

“ฐานะปุโรหิตระดับสูงนี้ [เป็นไป] ตามระเบียบของพระบุตร [ของพระผู้เป็นเจ้า], ซึ่งระเบียบนี้เป็นมานับจากการวางรากฐานของโลก; หรืออีกนัยหนึ่ง, ไม่มีการเริ่มต้นของวันหรือการสิ้นสุดของปี, โดยเตรียมไว้จากนิรันดรจนตลอดนิรันดร, ตามความรู้ล่วงหน้าในสิ่งทั้งปวงของพระองค์” (แอลมา 13:7)

“ทุกคนที่ได้รับแต่งตั้งตามระเบียบและการเรียกนี้จะมีพลัง, โดยศรัทธา, ที่จะทลายภูเขา, แยกท้องทะเล, ทำให้ผืนน้ำเหือดแห้ง, เพื่อแปรเปลี่ยนสายน้ำออกจากเส้นทางเดิม;

“ต้านทานเหล่ากองทัพของบรรดาประชาชาติ, แยกผืนดิน, บั่นสายรัดทุกเส้น, ยืนในที่ประทับของพระ ผู้เป็นเจ้า; ทำสิ่งทั้งปวงตามพระประสงค์ของพระองค์, ตามพระบัญชาของพระองค์, พิชิตบรรดามณฑลและอำนาจให้ศิโรราบ; และสิ่งนี้โดยพระประสงค์ของพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงดำรงอยู่นับแต่ก่อนการวางรากฐานของโลก.” (งานที่เลือกสรรจากงานแปลพระคัมภีร์ไบเบิลของโจเซฟ สมิธ, ปฐมกาล 14:30–31 [คู่มือพระคัมภีร์, ท้ายพระคัมภีร์รวมสามเล่ม], หน้า 223.)

วิธีหนึ่งที่จะตอบสนองต่อคำอธิบายเกี่ยวกับพลังอำนาจฐานะปุโรหิตซึ่งดลใจให้เกิดความยำเกรงเช่นนั้นคือสรุปว่าสิ่งนี้ประยุกต์ใช้กับเราไม่ได้ อีกวิธีหนึ่งคือใช้คำถามที่ขุดค้นลึกลงไปในจิตวิญญาณถามใจตนเองดังนี้ ฉันเคยรู้สึกว่าสวรรค์เปิดต่อฉันหรือไม่ มีใครใช้วลี “การปฏิบัติของเหล่าเทพ” อธิบายการรับใช้ด้วยฐานะปุโรหิตของฉันหรือไม่ ฉันนำ “พลังอำนาจของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้า” เข้าสู่ชีวิตของผู้ที่ฉันรับใช้หรือไม่ ฉันเคยทลายภูเขา ต้านทานกองทัพ บั่นสายรัดของใครบางคน หรือพิชิตอำนาจทางโลก—เพื่อให้พระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าสำเร็จหรือไม่—แม้จะเป็นเพียงการเปรียบเทียบก็ตาม

การพินิจภายในเช่นนี้มักจะทำให้รู้สึกว่าเราสามารถมีวิธีรับใช้พระเจ้าได้มากขึ้น ข้าพเจ้าหวังเช่นกันว่าจะทำให้ท่านรู้สึก ต้องการ ทำมากขึ้น—ปรารถนาที่จะมีส่วนร่วมโดยสมบูรณ์มากขึ้นในงานอัศจรรย์ของพระเจ้า ความรู้สึกเช่นนั้นเป็นก้าวแรกที่นำไปสู่การเป็นลูกผู้ชายที่เห็นว่าการรับใช้ด้วยฐานะปุโรหิตหมายถึงการสร้างสรรค์

ก้าวต่อไปบรรยายไว้ในปฏิสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับเอโนค เรารู้จักเอโนคในฐานะศาสดาพยากรณ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สถาปนาไซอันท่ามกลางความชั่วร้ายอย่างหนัก แต่ก่อนที่ท่านจะเป็นศาสดาพยากรณ์ผู้ยิ่งใหญ่ เอโนคมองตนเองว่าเป็น “เพียงคนหนุ่ม … เชื่องช้าในการพูด,” และคนทั้งปวงพากันเกลียดชัง (โมเสส 6:31) จงฟังพระวจนะที่พระเจ้าประทานกำลังใจแก่เอโนค พระวจนะเหล่านี้ใช้กับท่านที่ได้รับเรียกให้ปฏิบัติต่อผู้อื่นในฐานะผู้ดำรงฐานะปุโรหิตเช่นกัน

“และพระเจ้าตรัสกับเอโนค: จงออกไปและทำดังที่เราบัญชาเจ้า, และไม่มีมนุษย์คนใดจะทิ่มแทงเจ้า. จงอ้าปากของเจ้า, และเราจะเติมให้เต็ม, และเราจะให้เจ้าเอ่ยปาก, เพราะเนื้อหนังทั้งปวงอยู่ในมือเรา, และเราจะทำตามที่เราเห็นว่าดี. …

ดูเถิด พระวิญญาณของเราอยู่กับเจ้า, ดังนั้นถ้อยคำทั้งหมดของเจ้าเราจะรับรอง; และภูเขาจะหลบหนีไปต่อหน้าเจ้า, และแม่น้ำจะหันไปจากวิถีของมัน; และเจ้าจะอยู่กับเรา, และเรากับเจ้า; ฉะนั้นจงเดินกับเรา” (โมเสส 6:32, 34)

พี่น้องทั้งหลาย การแต่งตั้งสู่ฐานะปุโรหิตเป็นการเชื้อเชิญจากพระเจ้าให้เราเดินกับพระองค์ การเดินกับพระองค์หมายถึงอะไรหรือ หมายถึงการทำสิ่งที่พระองค์ทรงทำ รับใช้ในวิธีที่พระองค์ทรงรับใช้ พระองค์ทรงสละความสุขสบายเพื่อเป็นพรแก่ผู้ขัดสน และนั่นคือสิ่งที่เราต้องพยายามทำ พระองค์สนพระทัยเป็นพิเศษกับคนที่สังคมมองข้ามและรังเกียจเดียดฉันท์ เราจึงควรทำอย่างนั้นเช่นกัน พระองค์ทรงเป็นพยานอย่างห้าวหาญแต่เปี่ยมด้วยความรักถึงหลักคำสอนแท้ที่ทรงรับมาจากพระบิดา ถึงแม้จะไม่เป็นที่นิยม แต่เราต้องรับเช่นกัน พระองค์ตรัสแก่คนทั้งปวงว่า “จงมาหาเรา” (มัทธิว 11:28) เรากล่าวแก่คนทั้งหลายว่า “จงมาหาพระองค์” ในฐานะผู้ดำรงฐานะปุโรหิต เราเป็นตัวแทนของพระองค์ เราไม่ได้ทำเพื่อตนเองแต่เราทำเพื่อพระองค์ ถ้อยคำที่เราพูดไม่ใช่ของเราแต่เป็นพระวจนะของพระองค์ ผู้คนที่เรารับใช้รู้จักพระองค์ดีขึ้นจากการรับใช้ของเรา

ทันทีที่เรายอมรับการเชื้อเชิญจากพระเจ้า “จงเดินกับเรา” ลักษณะการรับใช้ด้วยฐานะปุโรหิตของเราจะเปลี่ยนไป ทุกอย่างจะสูงส่งและเลอเลิศกว่าเดิมแต่มีผลสำเร็จมากขึ้นเช่นกัน เพราะเรารู้ว่าเราไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ข้าพเจ้ารู้สึกอย่างนี้ด้วยพลังแรงกล้าที่สุดเมื่อประธานโธมัส เอส. มอนสันวางมือบนศีรษะข้าพเจ้าเมื่อเก้าปีก่อนและให้พรข้าพเจ้าขณะเริ่มรับใช้ในการเรียกปัจจุบัน ในพรนั้นท่านท่องพระวจนะต่อไปนี้ของพระผู้ช่วยให้รอด “และผู้ใดที่รับเจ้า, ที่นั่นเราจะอยู่ด้วย, เพราะเราจะไปเบื้องหน้าเจ้า. เราจะอยู่ทางขวามือเจ้าและทางซ้ายเจ้า, และพระวิญญาณของเราจะอยู่ในใจเจ้า, และเหล่าเทพของเราห้อมล้อมเจ้า, เพื่อประคองเจ้าไว้.” (คพ. 84:88)

ข้าพเจ้าพึ่งพาสัญญานั้นหลายครั้ง และข้าพเจ้าได้เห็นสัญญาดังกล่าวมีสัมฤทธิผลในวิธีต่างๆ มากมาย ตลอดระยะเวลา 72 ปีของการรับใช้ด้วยฐานะปุโรหิต เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ดำรงฐานะปุโรหิตแห่งอาโรนคนใหม่พร้อมงานมอบหมายให้ส่งผ่านศีลระลึก โดยกลัวว่าจะทำพลาด ข้าพเจ้าออกไปนอกอาคารก่อนเริ่มการประชุมและสวดอ้อนวอนด้วยความสิ้นหวังว่าพระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วย คำตอบมาถึง ข้าพเจ้ารู้สึกว่าพระเจ้าประทับอยู่ด้วย ข้าพเจ้ารู้สึกว่าพระองค์ทรงมั่นใจในตัวข้าพเจ้า ดังนั้นข้าพเจ้าจึงรู้สึกมั่นใจกับส่วนที่ข้าพเจ้าทำ ในงานของพระองค์

เรื่องนี้เกิดอีกครั้งเมื่อรับใช้เป็นอธิการ ข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์จากสตรีที่ทำผิดร้ายแรงและขณะนั้นเผชิญกับการตัดสินใจที่ยุ่งยากและเปลี่ยนชีวิต ขณะสนทนากับเธอและรู้สึกว่าข้าพเจ้ามีคำตอบให้เธอ แต่รู้สึกอย่างแรงกล้าด้วยว่า ข้าพเจ้า ไม่ควรให้คำตอบนั้นแก่เธอ—เธอจำเป็นต้องได้คำตอบนั้นมาด้วยตนเอง ถ้อยคำที่ข้าพเจ้าพูดกับเธอคือ “ผมเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าจะทรงบอกคุณว่าต้องทำอะไรถ้าคุณทูลถาม” ต่อมาเธอรายงานว่าเธอทูลถามและพระองค์ทรงบอกเธอจริงๆ

อีกครั้งหนึ่ง เมื่อข้าพเจ้าเป็นอธิการ มีโทรศัพท์มา—คราวนี้มาจากตำรวจ เขาบอกข้าพเจ้าว่ามีคนเมาขับรถชนกระจกเข้าไปอยู่ในล็อบบี้ของธนาคาร เมื่อคนขับรถที่กำลังมึนงงกับเหตุการณ์เห็นเจ้าหน้าที่เล็งปืนมาที่เขา เขาร้องลั่นว่า “อย่ายิงนะ! ผมเป็นมอรมอน!”

เราพบว่าผู้เมาแล้วขับเป็นสมาชิกวอร์ดของข้าพเจ้า เพิ่งจะรับบัพติศมา ขณะรอพูดกับเขาในห้องอธิการ ข้าพเจ้าวางแผนว่าจะพูดอย่างไรให้เขาสำนึกผิดอย่างมากที่ละเมิดพันธสัญญาและทำให้ศาสนจักรขายหน้า แต่ขณะนั่งมองเขา ข้าพเจ้าได้ยินสุรเสียงในความคิด ชัดเจนราวกับมีใครบางคนพูดกับข้าพเจ้าว่า “ขอให้เจ้าเห็นเขาอย่างที่เราเห็น” จากนั้นในช่วงเวลาสั้นๆ รูปลักษณ์ของเขาก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงสำหรับข้าพเจ้า แทนที่จะเห็นชายหนุ่มท่าทางเด๋อด๋า ข้าพเจ้ากลับเห็นเขาเป็นบุตรผู้สูงส่ง สดใสของพระผู้เป็นเจ้า ทันใดนั้นข้าพเจ้ารู้สึกถึงความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเขา นิมิตนั้นเปลี่ยนการสนทนาของเรา และเปลี่ยนข้าพเจ้าด้วย

ข้าพเจ้าเรียนรู้บทเรียนสำคัญจากประสบการณ์ที่ได้เดินกับพระเจ้าในการทำงานของพระองค์หลายเรื่อง ข้าพเจ้าขอแบ่งปันกับท่านสามเรื่อง เรื่องแรก พระผู้เป็นเจ้าทรงสังเกตและจะสนับสนุนแม้มัคนายกที่ใหม่ที่สุดและอายุน้อยที่สุด ท่านไม่ต้องรู้สึกว่าท่านเล็กน้อยเกินไป หรือไม่มีความสำคัญต่อพระองค์ให้เป็นที่สังเกตทั้งตัวท่านและการรับใช้ที่ท่านทำในพระนามของพระองค์

บทเรียนที่สอง งานของพระเจ้าไม่เพียงแก้ปัญหา แต่เสริมสร้างคน ดังนั้นขณะเดินกับพระองค์ในการรับใช้ด้วยฐานะปุโรหิต บางครั้งท่านอาจพบว่าการแก้ปัญหาที่ดูเหมือนมีประสิทธิภาพที่สุดไม่ใช่วิธีที่พระเจ้าทรงเลือก เพราะการแก้ปัญหาแบบนั้นไม่ช่วยให้ผู้คนเติบโต ถ้าท่านฟัง พระองค์จะทรงสอนวิธีของพระองค์ จงจำไว้ว่างานและรัศมีภาพของพระผู้เป็นเจ้าไม่เพียงดำเนินงานองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่คือ “การทำให้เกิดความเป็นอมตะและชีวิตนิรันดร์ของมนุษย์” (โมเสส 1:39) สรุปได้ว่านี่คือเหตุผลที่พระองค์ประทานสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตแก่มนุษย์ผู้มีความบกพร่องอย่างท่านกับข้าพเจ้า และทรงเชื้อเชิญให้เรามีส่วนร่วมในงานของพระองค์ ความก้าวหน้าของเรา คือ งานของพระองค์!

ต่อไปเป็นบทเรียนที่สาม การเดินกับพระผู้ช่วยให้รอดในการรับใช้ด้วยฐานะปุโรหิตจะเปลี่ยนวิธีที่ท่านมองผู้อื่น พระองค์จะทรงสอนให้ท่านเห็นพวกเขาด้วยสายพระเนตรของพระองค์ ซึ่งหมายถึงการมองผ่านรูปลักษณ์ภายนอกเข้าไปในจิตใจ (ดู 1 ซามูเอล 16:7) นี่คือวิธีที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงเห็นว่าซีโมนไม่ใช่ชาวประมงผู้วู่วามแต่เป็นเปโตร ศิลาที่แข็งแกร่ง ผู้นำในอนาคตของศาสนจักร (ดู ลูกา 5:1–11) นี่คือวิธีที่ทรงเห็นว่าศักเคียสไม่ใช่ผู้เก็บภาษีที่คดโกงอย่างคนอื่นเห็น แต่เป็นบุตรของอับราฮัมผู้ซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม (ดู ลูกา 19:1–9) ถ้าท่านเดินกับพระผู้ช่วยให้รอดนานพอ ท่านจะเรียนรู้การเห็นทุกคนเป็นลูกของพระผู้เป็นเจ้าผู้มีศักยภาพไร้ขีดจำกัด โดยไม่สนใจสิ่งที่เป็นมาในอดีต และหากท่านเดินกับพระผู้ช่วยให้รอดต่อไป ท่านจะพัฒนาของประทานอีกอย่างหนึ่งที่ทรงมี นั่นคือ—ความสามารถในการช่วยให้ผู้คนเห็นศักยภาพในตนเองและจากนั้นกลับใจ

พี่น้องฐานะปุโรหิตทั้งหลาย ในหลายวิธี เราเป็นเหมือนสานุศิษย์สองคนที่เดินอยู่บนถนนสู่เอมมาอูสในวันอาทิตย์อีสเตอร์แรก นั่นคือเช้าของวันที่ฟื้นคืนพระชนม์ แต่ทั้งสองยังไม่แน่ใจว่ามีการฟื้นคืนชีวิตหรือไม่หรือการฟื้นคืนชีวิตหมายถึงอะไร พวกเขาเคย “มีความหวังว่า [เยซูแห่งนาซาเร็ธ] จะเป็นผู้นั้นที่มาไถ่ชนชาติอิสราเอล” แต่พวกเขา “มีใจเฉื่อยช้าในการเชื่อ” ทุกสิ่งที่พระคัมภีร์สอนเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีวิต ขณะพวกเขาเดินไปด้วยกันและพยายามหาเหตุผลกันอยู่ “พระเยซูก็เสด็จเข้ามาใกล้ดำเนินด้วยกัน แต่ตาของเขาทั้งสองถูกปิดกั้นทำให้จำพระองค์ไม่ได้” (ดู ลูกา 24:13–32)

ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าเมื่อเราเดินในวิถีทางของการรับใช้ด้วยฐานะปุโรหิต พระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคริสต์ทรงดำเนินไปกับเรา เพราะนั่นเป็นวิถีทางของพระองค์ แสงสว่างของพระองค์ส่องทางให้เรา และเหล่าเทพห้อมล้อมเรา เราอาจไม่เข้าใจทั้งหมดดังที่พระองค์ทรงเข้าใจว่าฐานะปุโรหิตคืออะไรหรือจะใช้อย่างไร แต่ถ้าเราจดจ่ออยู่กับชั่วขณะที่ใจเรา “รุ่มร้อนภายใน” (ลูกา 24:32) ดวงตาของเราจะเปิด เราจะเห็นพระหัตถ์ในชีวิตและในการรับใช้ของเรา ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าเรารู้จักพระองค์ได้ดีที่สุดโดยทำงานกับพระองค์และรับใช้พระองค์ในงานอันยิ่งใหญ่คือการนำความรอดมาสู่บุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้า “เพราะคนจะรู้จักผู้เป็นนายซึ่งเขาไม่เคยรับใช้, และเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขา, และอยู่ไกลจากความนึกคิดและเจตนาของใจเขาได้อย่างไร?” (โมไซยาห์ 5:13) พระเยซูคริสต์คือองค์เจ้านายของเรา นี่คือศาสนจักรของพระองค์ เราดำรงฐานะปุโรหิตของพระองค์ ขอให้เราแต่ละคนเลือกเดินกับพระองค์และตระหนักว่าพระองค์ทรงเดินกับเราอย่างไร

ข้าพเจ้าให้คำพยานอันศักดิ์สิทธิ์ว่าพระเยซูคือพระคริสต์ พระเจ้าผู้ฟื้นคืนพระชนม์ ข้าพเจ้าแสดงประจักษ์พยานว่าฐานะปุโรหิตที่ทรงฝากฝังไว้กับเราคือพลังอำนาจที่จะพูดและกระทำในพระนามของพระองค์ เราคือบุตรธิดาของพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงรักเราทรงตอบคำสวดอ้อนวอนและทรงส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์มาเสริมสร้างความเข้มแข็งให้เราในทุกหน้าที่รับผิดชอบของฐานะปุโรหิตซึ่งเป็นพรแก่เรา โจเซฟ สมิธเห็นพระบิดาและพระบุตร ท่านรับกุญแจฐานะปุโรหิตที่สืบทอดมาสู่ประธานโธมัส เอส. มอนสัน ผู้ใช้กุญแจนั้นในปัจจุบัน ข้าพเจ้าเป็นพยานในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน