2017
รากฐานแห่งศรัทธา
พฤษภาคม 2017


รากฐานแห่งศรัทธา

ข้าพเจ้าวิงวอนให้เราเสียสละและมีความอ่อนน้อมถ่อมตนเพื่อเสริมสร้างรากฐานแห่งศรัทธาของเราในพระเจ้าพระเยซูคริสต์

นี่เป็นการประชุมใหญ่สามัญที่งดงาม เราได้รับการจรรโลงใจอย่างแท้จริง จุดประสงค์สำคัญที่สุดของการประชุมใหญ่สามัญ คือการสร้างศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าพระบิดา และพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระเจ้า พระเยซูคริสต์

คำพูดของข้าพเจ้าเกี่ยวข้องกับรากฐานแห่งศรัทธานั้น

เช่นเดียวกับการแสวงหาสิ่งที่คุ้มค่า รากฐานส่วนตัวสร้างขึ้นอย่างช้าๆ—ทีละขั้น ทีละประสบการณ์ ทีละความท้าทาย ทีละความปราชัย และทีละความสำเร็จ ประสบการณ์ทางกายที่มีคุณค่าอย่างหนึ่งคือก้าวแรกของทารก เป็นสิ่งที่งดงามมาก สีหน้าเปี่ยมสุข—รวมไว้ด้วยความมุ่งมั่น ปีติ ความประหลาดใจ และความสำเร็จ ล้วนเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญมาก

ในครอบครัวเรา มีเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นที่น่าจดจำคือ เมื่อลูกชายคนเล็กวัยประมาณสี่ขวบของเราเข้ามาในบ้านและประกาศอย่างเบิกบานต่อครอบครัวด้วยความภูมิใจว่า “ตอนนี้ผมทำได้ทุกอย่างแล้ว ผมผูก ผมปั่น ผมซิปได้” เราเข้าใจว่าเขากำลังบอกว่าเขาผูกเชือกรองเท้าได้ เขาปั่นจักรยานสามล้อคันใหญ่ได้ และเขารูดซิปเสื้อโค้ทของเขาได้ เราพากันหัวเราะและตระหนักว่านี่เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของเขา เขาคิดว่าเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

การพัฒนาทางร่างกาย จิตใจ และวิญญาณเหมือนกันในหลายด้าน เรามองเห็นการพัฒนาทางร่างกายได้ง่าย เริ่มด้วยการก้าวของทารกและการเติบโตวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า เป็นการเติบโตและการพัฒนาอันนำไปสู่การเติบโตทางร่างกายที่สมบูรณ์ การพัฒนาจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

เมื่อเรามองนักกีฬาหรือนักดนตรีที่เก่งมากๆ เรามักจะกล่าวว่าพวกเขามีพรสวรรค์ ซึ่งเป็นความจริง แต่ความสามารถนี้เกิดจากการเตรียมและการฝึกฝนมานานหลายปี มัลคอล์ม แกลดเวลล์ นักเขียนมีชื่อคนหนึ่งเรียกสิ่งนี้ว่า กฎ 10,000 ชั่วโมง นักวิจัยสรุปว่าจำนวนชั่วโมงในการฝึกจำเป็นต่อนักกีฬา การเล่นดนตรี ความเชี่ยวชาญทางวิชาการ ทักษะการทำงานเฉพาะด้าน ความเชี่ยวชาญทางกฎหมายหรือการแพทย์ เป็นต้น งานวิจัยงานหนึ่งกล่าวว่า “ต้องฝึกหนึ่งหมื่นชั่วโมงจึงจะถึงระดับความเชี่ยวชาญจนติดกลุ่มยอดฝีมือระดับโลก—ในด้านใดด้านหนึ่ง”1

หลายคนยอมรับว่าเพื่อจะบรรลุถึงความมีประสิทธิภาพสูงสุดทางร่างกายและจิตใจ การเตรียมและการฝึกฝนเช่นนั้นเป็นสิ่งจำเป็น

น่าเสียดาย ในโลกที่มุ่งจะส่งเสริมเรื่องของวัตถุและเน้นเรื่องของการเติบโตทางวิญญาณน้อยลง ซึ่งสิ่งนี้จำเป็นต่อการเป็นเหมือนพระคริสต์และการสร้างรากฐานอันนำไปสู่ศรัทธาที่ยั่งยืน เรามุ่งเน้นไปยังช่วงเวลาของความเข้าใจทางวิญญาณอยู่บ่อยครั้ง สิ่งเหล่านี้มีค่าเมื่อเรารู้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพยานแก่ความเข้าใจลึกซึ้งทางวิญญาณที่พิเศษต่อใจและความคิดของเรา เราชื่นชมยินดีในช่วงเวลาเหล่านี้ที่ไม่ควรเลือนหาย การมีศรัทธาที่ยั่งยืนและมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเพื่อนที่ยั่งยืนต้องแลกด้วยการรักษาพระบัญญัติ เปรียบได้กับการพัฒนาร่างกายและจิตใจ เราควรสร้างประสบการณ์เหล่านี้ ซึ่งบางครั้งเปรียบได้กับการก้าวเดินของทารก เราทำได้ด้วยการอุทิศถวายคำมั่นสัญญาในการประชุมศีลระลึกอันศักดิ์สิทธิ์ ศึกษาพระคัมภีร์ สวดอ้อนวอน และรับใช้ตามการเรียก ในคำไว้อาลัยบิดาของบุตร 13 คนเมื่อไม่นานมานี้ผู้พูดกล่าวว่า “การสวดอ้อนวอนและการศึกษาพระคัมภีร์อย่างซื่อสัตย์ในแต่ละวันของเขามีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อลูกๆ เสริมสร้างรากฐานอันมั่นคงให้ศรัทธาของพวกเขาในพระเจ้าพระเยซูคริสต์”2

ข้าพเจ้ามีประสบการณ์หนึ่งเมื่ออายุ 15 ปี ซึ่งเป็นรากฐานให้ข้าพเจ้า คุณแม่ผู้ซื่อสัตย์พยายามอย่างยิ่งที่จะช่วยสร้างรากฐานแห่งศรัทธาในชีวิตข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเข้าร่วมการประชุมศีลระลึก ปฐมวัย เยาวชนชายและเซมินารี ข้าพเจ้าอ่านพระคัมภีร์มอรมอนและสวดอ้อนวอนส่วนตัวอย่างสม่ำเสมอ เวลานั้นมีเหตุการณ์ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในครอบครัวเรา เมื่อพี่ชายที่รักของข้าพเจ้ากำลังวางแผนสมัครเป็นผู้สอนศาสนา แต่คุณพ่อซึ่งเป็นสมาชิกแข็งขันน้อย ต้องการให้เขาศึกษาต่อและไม่เป็นผู้สอนศาสนา เรื่องนี้จึงกลายเป็นความขัดแย้ง

เมื่อข้าพเจ้าสนทนากับพี่ชาย ซึ่งอายุมากกว่าข้าพเจ้าห้าปี โดยเขาเป็นผู้นำการสนทนา เราสรุปว่าการตัดสินใจว่าเขาควรจะรับใช้เป็นผู้สอนศาสนาหรือไม่ ขึ้นอยู่กับประเด็นสำคัญสามข้อ (1) พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าหรือไม่ (2) พระคัมภีร์มอรมอนเป็นความจริงหรือไม่ (3) โจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์แห่งการฟื้นฟูหรือไม่

เมื่อข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนอย่างจริงใจในคืนนั้น พระวิญญาณทรงยืนยันกับข้าพเจ้าถึงความจริงของคำถามทั้งสามข้อ และข้าพเจ้าเข้าใจว่าการตัดสินใจเกือบทุกครั้งในชีวิตข้าพเจ้า ต่างอยู่บนพื้นฐานของคำตอบที่มาจากคำถามทั้งสามข้อนี้ ข้าพเจ้าตระหนักว่าศรัทธาในพระเจ้าพระเยซูคริสต์เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เมื่อมองย้อนกลับไป ข้าพเจ้าจำได้ว่า เป็นเพราะคุณแม่ข้าพเจ้า ที่ท่านวางรากฐานไว้ให้ข้าพเจ้ารับการยืนยันทางวิญญาณในคืนนั้น พี่ชายซึ่งมีประจักษ์พยานแล้ว ตัดสินใจรับใช้เป็นผู้สอนศาสนาและในที่สุดได้รับการสนับสนุนจากคุณพ่อ

เราได้รับการนำทางทางวิญญาณในยามต้องการ ตามตารางเวลาของพระเจ้า และตามพระประสงค์ของพระองค์3 พระคัมภีร์มอรมอน พยานหลักฐานอีกเล่มหนึ่งของพระเยซูคริสต์คือตัวอย่างที่ดีเยี่ยม ข้าพเจ้าเพิ่งอ่านพระคัมภีร์มอรมอนฉบับจัดพิมพ์ครั้งที่หนึ่ง โจเซฟ สมิธทำงานแปลเสร็จเมื่อท่านอายุ 23 ปี เรารู้บางอย่างเกี่ยวกับกระบวนการและเครื่องมือที่ท่านใช้ในการแปล ในการจัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1830 โจเซฟเขียนคำนำสั้นๆ และประกาศอย่างชัดเจนว่า พระคัมภีร์แปลโดย “ของประทานและพลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า”4 แล้วเครื่องมือช่วยแปล อูริมกับทูมมิมและศิลาผู้หยั่งรู้ สิ่งเหล่านี้จำเป็นไหม หรือเป็นเหมือนล้อพยุงในการฝึกปั่นจักรยาน จนกว่าโจเซฟจะสามารถใช้ศรัทธาที่จำเป็นในการรับการเปิดเผยโดยตรงมากขึ้น5

หน้าปกพระคัมภีร์มอรมอนปี 1830
คำนำพระคัมภีร์มอรมอนปี 1830

การฝึกสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจต้องใช้ความพยายามในการฝึกซ้ำๆ อย่างสม่ำเสมอฉันใด เรื่องทางวิญญาณก็ต้องทำเช่นเดียวกันฉันนั้น พึงระลึกว่าโมโรไนมาเยือนศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธหลายครั้ง ท่านให้ถ้อยคำเดียวกันถึงสี่ครั้งเพื่อเตรียมรับแผ่นจารึก ข้าพเจ้าเชื่อว่าการมีส่วนร่วมในการประชุมศีลระลึกทุกสัปดาห์ มีนัยทางวิญญาณที่เราไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ การไตร่ตรองพระคัมภีร์เป็นประจำ—แทนที่จะอ่านเป็นครั้งคราว สามารถเสริมสร้างความเข้าใจและเพิ่มพลังศรัทธาให้เราเปลี่ยนชีวิตได้

ศรัทธาคือหลักธรรมแห่งพลังอำนาจ ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างดังนี้ เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้สอนศาสนาหนุ่ม ประธานคณะเผยแผ่ที่ยอดเยี่ยม6 แนะนำวิธีที่ลึกซึ้งให้ข้าพเจ้าเข้าถึงเรื่องราวของพระคัมภีร์ที่อยู่ในลูกาบทที่ 8 เรื่องราวของหญิงที่ตกเลือดเป็นเวลา 12 ปีและทำทุกอย่างเพื่อหาทางรักษา แต่ก็ไม่เป็นผล พระคัมภีร์ข้อนี้เป็นข้อที่ข้าพเจ้าชื่นชอบจนทุกวันนี้

ท่านคงจำได้ สตรีผู้นี้มีศรัทธาว่าหากเธอสัมผัสชายฉลองพระองค์ของพระผู้ช่วยให้รอด เธอก็จะหายจากโรค เมื่อเธอทำเช่นนั้น เธอหายจากโรคทันที ขณะนั้นพระผู้ช่วยให้รอดทรงดำเนินอยู่กับสานุศิษย์ พระองค์ตรัสว่า “ใครแตะต้องเรา”

คำตอบของเปโตรคือ ทุกคนแตะต้องพระองค์เพราะต่างเดินเบียดเสียดพระองค์

“แต่พระเยซูตรัสว่า มีคนหนึ่งแตะต้องตัวเรา เพราะเรารู้สึกได้ว่าฤทธิ์ซ่านออกจากตัวเรา”

รากศัพท์ของคำว่า ฤทธิ์ แปลง่ายๆ ว่า “พลัง” ในภาษาสเปนและโปรตุเกสแปลว่า “พลัง” เช่นกัน พระผู้ช่วยให้รอดไม่ทรงเห็นเธอ พระองค์ยังไม่ทรงทราบความจำเป็นของเธอ แต่ด้วยศรัทธานั้น ทำให้การสัมผัสชายฉลองพระองค์นำไปสู่พลังแห่งการรักษาจากพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า

และพระเยซูตรัสตอบเธอว่า “ลูกหญิงเอ๋ย ที่หายโรคนั้นก็เพราะลูกเชื่อ จงไปเป็นสุขเถิด”7

ข้าพเจ้าใคร่ครวญเรื่องราวนี้ตลอดช่วงวัยผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าตระหนักว่าการสวดอ้อนวอนส่วนตัวและการวิงวอนพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงรักเรา ในพระนามพระเยซูคริสต์ สามารถนำพรมาสู่ชีวิตเราเกินกว่าที่เราจะเข้าใจได้ รากฐานแห่งศรัทธาในลักษณะเดียวกันกับสตรีผู้นี้ควรเป็นสิ่งที่ใจเราปรารถนาอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม รากฐานแห่งศรัทธาที่มีมาแต่เดิม แม้จะมีการยืนยันทางวิญญาณ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่เผชิญความท้าทาย การเปลี่ยนใจเลื่อมใสสู่พระกิตติคุณไม่ได้หมายความว่าปัญหาทั้งหมดของเราจะได้รับการแก้ไข

จากประวัติศาสนจักรในยุคแรกและการเปิดเผยที่บันทึกไว้ในหลักคำสอนและพันธสัญญามีตัวอย่างที่ดีเยี่ยมของการสร้างรากฐานแห่งศรัทธาและการรับมือกับความผันผวนและความท้าทายที่ทุกคนต้องเผชิญ

การสร้างพระวิหารเคิร์ทแลนด์เสร็จสมบูรณ์คือรากฐานของทั้งศาสนจักร นำมาสู่การหลั่งเทพระวิญญาณ การเปิดเผยหลักคำสอน และการฟื้นฟูกุญแจที่จำเป็นต่อการสถาปนาศาสนจักรต่อไป เช่นเดียวกับเหล่าอัครสาวกในสมัยโบราณในวันเพ็นเทคอสต์ สมาชิกมากมายมีประสบการณ์ทางวิญญาณที่น่าอัศจรรย์ในการอุทิศพระวิหารเคิร์ทแลนด์8 เฉกเช่นชีวิตเราเอง ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่เผชิญกับความท้าทายหรือความยากลำบากในอนาคต สมาชิกในยุคแรกรู้เพียงน้อยนิดว่าพวกเขาจะต้องเผชิญกับวิกฤตทางการเงินของสหรัฐ—เหตุการณ์ตื่นตระหนกในปี 1837—สิ่งเหล่านั้นจะทดสอบแก่นแท้ในจิตวิญญาณพวกเขา9

ตัวอย่างหนึ่งของความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตทางการเงินคือประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับเอ็ลเดอร์พาร์ลีย์ พี. แพรทท์ ผู้นำที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของการฟื้นฟู ท่านเป็นสมาชิกดั้งเดิมของโควรัมอัครสาวกสิบสอง เมื่อต้นปี 1837 แธงค์ฟูล ภรรยาอันเป็นที่รักของท่านสิ้นชีวิตหลังจากให้กำเนิดบุตรคนแรก พาร์ลีย์กับแธงค์ฟูลแต่งงานกันมาเกือบ 10 ปี ความตายของเธอทำให้ท่านทุกข์ใจที่สุด

ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น เอ็ลเดอร์แพรทท์ต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของศาสนจักร ท่ามกลางวิกฤตในชาติ ปัญหาเศรษฐกิจในท้องที่ ซึ่งรวมถึงการเก็งกำไรที่ดินและปัญหาที่รุมเร้าอยู่ในสถาบันการเงินซึ่งโจเซฟ สมิธและสมาชิกศาสนจักรคนอื่นๆ ร่วมก่อตั้ง—สร้างความบาดหมางและความขัดแย้งในเคิร์ทแลนด์ ผู้นำศาสนจักรไม่ได้ตัดสินใจเรื่องทางโลกในชีวิตพวกเขาได้อย่างชาญฉลาดเสมอไป พาร์ลีย์ต้องทนรับสภาพความสูญเสียแทบสิ้นเนื้อประดาตัวและในช่วงเวลาหนึ่งท่านไม่พอใจศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ10 ท่านเขียนวิพากษ์วิจารณ์โจเซฟอย่างเจ็บแสบและกล่าวต่อต้านท่านบนแท่นพูด แต่ในเวลาเดียวกัน พาร์ลีย์กล่าวว่าท่านยังเชื่อในพระคัมภีร์มอรมอนและหลักคำสอนและพันธสัญญา11

เอ็ลเดอร์แพรทท์สูญเสียภรรยา สูญเสียที่ดินและบ้านของท่าน พาร์ลีย์ออกจากมิสซูรีโดยไม่บอกโจเซฟ ระหว่างทาง ท่านพบกับเพื่อนอัครสาวกโธมัส บี. มาร์ชและเดวิด แพทเทนโดยบังเอิญ พวกเขากำลังเดินทางกลับเคิร์ทแลนด์ คนเหล่านั้นรู้สึกว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องนำความปรองดองกลับคืนมาสู่โควรัมและเกลี้ยกล่อมให้พาร์ลีย์กลับไปพร้อมกับพวกเขา ท่านตระหนักว่าไม่มีใครสูญเสียมากไปกว่าโจเซฟ สมิธและครอบครัวท่านอีกแล้ว

พาร์ลีย์เข้าไปพบศาสดาพยากรณ์ ร่ำไห้สารภาพถึงสิ่งที่ท่านทำผิดไป หลายเดือนหลังจากแธงค์ฟูล ภรรยาท่านสิ้นชีวิต พาร์ลีย์ถูกครอบงำด้วย“เมฆฝน” สิ้นหวังและหวาดหวั่น12 โจเซฟ ซึ่งรู้ว่าการดิ้นรนต่อสู้กับปฏิปักษ์และการล่อลวงเป็นอย่างไร “ยกโทษ” ให้พาร์ลีย์ สวดอ้อนวอนให้ท่านและให้พรท่าน13 พาร์ลีย์และคนอื่นๆ ที่ยังคงซื่อสัตย์ได้รับประโยชน์จากความท้าทายในเคิร์ทแลนด์ พวกเขาเพิ่มพูนปัญญา ความสูงส่ง และคุณธรรม ประสบการณ์นี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของรากฐานแห่งศรัทธา

เราไม่ควรมองความยากลำบากว่าเป็นผลจากความไม่พอพระทัยของพระเจ้าหรือการถูกถอนตัวจากพรของพระองค์ การตรงกันข้ามในทุกสิ่งเป็นส่วนหนึ่งของไฟช่างหลอมที่จะเตรียมเราให้พร้อมสำหรับจุดหมายซีเลสเชียลนิรันดร์14 เมื่อศาสดาพยากรณ์โจเซฟ อยู่ในคุกลิเบอร์ตี้ มีพระคำของพระเจ้าถึงท่าน— ทรงอธิบายถึงความท้าทายทุกรูปแบบ รวมถึงความทุกข์ยาก ข้อกล่าวหาเท็จ และสรุปว่า

“หากขากรรไกรแห่งนรกนั่นเองจะอ้าปากกว้างเพื่องับเจ้า, จงรู้ไว้เถิด, ลูกพ่อ, ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้จะเป็นประสบการณ์แก่เจ้า, และจะเกิดขึ้นเพื่อความดีของเจ้า.

“บุตรแห่งพระมหาบุรุษเคยลดพระฐานะลงต่ำกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด. เจ้ายิ่งใหญ่กว่าพระองค์หรือ?”15

ในคำแนะนำที่ประทานแก่โจเซฟ สมิธ พระเจ้าทรงแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าวันเวลาของท่านเป็นที่รู้ และจะไม่นับปีของท่านให้น้อยลง พระเจ้าทรงสรุปว่า “อย่ากลัวสิ่งที่มนุษย์จะทำได้, เพราะพระผู้เป็นเจ้าจะทรงอยู่กับเจ้าตลอดกาลและตลอดไป.”16

อะไรคือพรของศรัทธา ศรัทธาบรรลุผลในเรื่องใด มีคำตอบมากมายแทบไม่สิ้นสุด

บาปของเราได้รับการให้อภัยเพราะศรัทธาในพระคริสต์17

ผู้มีศรัทธาย่อมมีการใกล้ชิดกับพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์18

ความรอดมาโดยศรัทธาในพระนามของพระคริสต์19

เรารับพละกำลังตามศรัทธาที่เรามีอยู่ในพระคริสต์20

ไม่มีสิ่งใดเข้าไปในสถานพักผ่อนของพระเจ้านอกจากผู้ที่ล้างอาภรณ์ของพวกเขาในพระโลหิตของพระคริสต์เพราะศรัทธาของพวกเขา21

การสวดอ้อนวอนได้รับคำตอบตามศรัทธา22

หากไม่มีศรัทธา พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำปาฏิหาริย์ในบรรดาพวกเขาไม่ได้23

สุดท้าย ศรัทธาในพระเยซูคริสต์เป็นรากฐานสำคัญยิ่งสำหรับความรอดนิรันดร์และความสูงส่งของเรา ฮีลามันสอนลูกชายของท่านว่า “จงจำไว้ว่าบนศิลาของพระผู้ไถ่ของเรา, ผู้ทรงเป็นพระคริสต์, พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า, ที่ลูกต้องสร้างรากฐานของลูก … , ซึ่งเป็นรากฐานอันแน่นอน, รากฐานซึ่งหากมนุษย์จะสร้างบนนั้นแล้วพวกเขาจะตกไม่ได้.”24

ข้าพเจ้าสำนึกคุณสำหรับการเสริมความแข็งแกร่งของรากฐานแห่งศรัทธาที่มาจากการประชุมนี้ ข้าพเจ้าวิงวอนให้เราเสียสละและมีความอ่อนน้อมถ่อมตนเพื่อเสริมสร้างรากฐานแห่งศรัทธาของเราในพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้ากล่าวคำพยานอันหนักแน่นถึงพระองค์ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. ดู Malcolm Gladwell, Outliers: The Story of Success (2008), 40. เขาอ้างอิงคำพูดของ Daniel Levitin นักประสาทวิทยา.

  2. Obituary of Bryant Hinckley Wadsworth, Deseret News, Jan. 15, 2017, legacy.com/obituaries/deseretnews.

  3. ดู 2 นีไฟ 28:30. เราไม่ได้รับความรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือหลักธรรมทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง สิ่งเหล่านี้มาเมื่อคราวจำเป็น: บรรทัดมาเติมบรรทัดและกฎเกณฑ์มาเติมกฎเกณฑ์.

  4. ในพระคัมภีร์มอรมอนฉบับแรกที่พิมพ์เมื่อปี 1830 ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธเขียนไว้ว่า “ข้าพเจ้าต้องการแจ้งให้ท่านทราบว่าข้าพเจ้าแปล ด้วยของประทานและอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า” (ดู คำนำพระคัมภีร์มอรมอน ฉบับ [1830] ) ในฉบับตีพิมพ์ต่อมาได้กล่าวคล้ายๆ กันว่า “ได้มอบแผ่นจารึกให้แก่โจเซฟ สมิธ ผู้แปลด้วยของประทานและพลังของพระผู้เป็นเจ้า” (ดู บทนำพระคัมภีร์มอรมอน ฉบับ [2013]).

  5. ออร์สัน แพรทท์เล่าว่าเขาอยู่กับโจเซฟ สมิธหลายครั้งขณะที่ท่านกำลังแปลพันธสัญญาใหม่ และสงสัยว่าเหตุใดท่านไม่ได้ใช้เครื่องมือช่วยแปลในกระบวนการนี้ “ราวกับท่านอ่านความคิดเขาได้ โจเซฟเงยหน้าและอธิบายว่า พระเจ้าประทานอูริมและทูมมิมให้ท่านเมื่อท่านยังขาดประสบการณ์ในพระวิญญาณแห่งการดลใจ แต่เวลานี้ท่านก้าวหน้าขึ้นถึงขนาดที่ท่านเข้าใจวิธีการทำงานของพระวิญญาณนั้น และไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือช่วยแปล” (“Two Days’ Meeting at Brigham City, June 27 and 28, 1874,” Millennial Star, Aug. 11, 1874, 499; ดู ริชาร์ด อี. เทอร์ลีย์ จูเนียร์, รอบิน เอส. เจนเซ็น, และ มาร์ค แอสเฮิร์สต์-แม็คกี, “โจเซฟผู้หยั่งรู้,” เลียโฮนา, ต.ค. 2015, 10–17 ด้วย).

  6. ประธานคณะเผยแผ่นท่านนั้นคือเอ็ลเดอร์แมเรียน ดี. แฮงค์ส ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่เช่นกัน.

  7. ดู ลูกา 8:43–48.

  8. ดู กิจการของอัครทูต 2.

  9. ดู โมไซยา 2:36–37; ดู เฮนรีย์ บี. อายริงก์, “การเตรียมพร้อมทางวิญญาณ:เริ่มต้นแต่เนิ่นๆ และมุ่งมั่น,” เลียโฮนา, พ.ย. 2005, 38: “ดังนั้นการทดสอบที่ยิ่งใหญ่ของชีวิตคือเพื่อจะดูว่าเราจะตั้งใจฟังและปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า แม้อยู่ท่ามกลางมรสุมชีวิตหรือไม่ การทดสอบนั้นไม่ได้ทดสอบความอดทนต่อมรสุม แต่ทดสอบว่าเราจะเลือกสิ่งที่ถูกต้องขณะเกิดความโกรธได้หรือไม่ และเรื่องร้ายๆ ในชีวิต คือการไม่ผ่านการทดสอบ และการไม่มีค่าสมที่จะกลับไปบ้านของเราบนสวรรค์อย่างสมศักดิ์ศรี.”

  10. ดู Terryl L. Givens and Matthew J. Grow, Parley P. Pratt: The Apostle Paul of Mormonism (2011), 91–98; volume introduction and introduction to part 5, The Joseph Smith Paperss, Documents, Volume 5: October 1835–January 1838, ed. Brent M. Rogers and others (2017), xxviii-xxxi, 285–93.

  11. ดู “Letter from Parley P. Pratt , 23 May 1837,” ใน The Joseph Smith Papers, Documents, Volume 5: October 1835–January 1838, 386–91.

  12. ดู “History of John Taylor by Himself,” 15, ใน Histories of the Twelve, 1856–1858, 1861, Church History Library; Givens and Grow, Parley P. Pratt, 101–2.

  13. ดู The Autobiography of Parley P. Pratt, ed. Parley P. Pratt Jr. (1874), 183–84.

  14. ดู 2 นีไฟ 2:11.

  15. หลักคำสอนและพันธสัญญา 122:7–8.

  16. หลักคำสอนและพันธสัญญา 122:9.

  17. ดู อีนัส 1:5–8.

  18. ดู เจรอม 1:4.

  19. ดู โมโรไน 7:26, 38.

  20. ดู แอลมา 14:26.

  21. ดู 3 นีไฟ 27:19.

  22. ดู โมโรไน 7:26.

  23. ดู อีเธอร์ 12:12.

  24. ฮีลามัน 5:12.