พระเยซูทอดพระเนตรดูคนนั้น ทรงเอ็นดูเขา
เมื่อรู้สึกว่ามีผู้ขอให้ท่านทำบางอย่างที่ยาก จงนึกว่าพระเจ้ากำลังทอดพระเนตรดูท่าน ทรงเอ็นดูท่าน ทรงเชื้อเชิญให้ท่านติดตามพระองค์
หลายปีก่อนข้าพเจ้าได้รับเรียกพร้อมแจคกี ภรรยาข้าพเจ้าให้ควบคุมดูแลคณะเผยแผ่สโปแคน วอชิงตัน เรามาถึงสนามเผยแผ่ด้วยความรู้สึกหวั่นใจระคนตื่นเต้นในหน้าที่รับผิดชอบของการทำงานกับผู้สอนศาสนาหนุ่มสาวที่โดดเด่นมากมาย พวกเขามาจากพื้นเพต่างกันและเป็นเสมือนบุตรธิดาของเราเองอย่างรวดเร็ว
แม้ส่วนใหญ่จะทำได้ดีเยี่ยม แต่บางคนมีปัญหากับความคาดหวังอันสูงลิ่วของการเรียก ข้าพเจ้าจำผู้สอนศาสนาคนหนึ่งได้ เขาบอกว่า “ประธานครับ ผมแค่ไม่ชอบผู้คน” อีกหลายคนบอกว่าพวกเขาไม่อยากทำตามกฎผู้สอนศาสนาที่ค่อนข้างเข้มงวด ข้าพเจ้ากังวลและสงสัยว่าจะทำอะไรได้บ้างเพื่อเปลี่ยนใจผู้สอนศาสนาไม่กี่คนเหล่านั้นซึ่งยังไม่ได้เรียนรู้ถึงปีติของการเป็นคนเชื่อฟัง
วันหนึ่งขณะขับรถเข้าไปในทุ่งข้าวสาลีที่ไหวพลิ้วเป็นระลอกสวยงามแถบชายแดนวอชิงตัน-ไอดาโฮ ข้าพเจ้าฟังการบันทึกเสียงพันธสัญญาใหม่ เมื่อฟังมาถึงเรื่องราวที่คุ้นเคยของเศรษฐีหนุ่มผู้เข้ามาทูลถามพระผู้ช่วยให้รอดว่าจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อมีชีวิตนิรันดร์ ข้าพเจ้าได้รับการเปิดเผยส่วนตัวอันลึกซึ้งอย่างไม่คาดฝันซึ่งเวลานี้เป็นความทรงจำอันศักดิ์สิทธิ์
หลังจากได้ยินพระเยซูทรงแจกแจงพระบัญญัติ ชายหนุ่มตอบว่าเขารักษาพระบัญญัติทุกข้อมาตั้งแต่เด็ก ข้าพเจ้าได้ยินพระผู้ช่วยให้รอดตรัสแก้ไขอย่างอ่อนโยนว่า “ท่านยังขาดอยู่อย่างหนึ่ง … จงไปขายบรรดาสิ่งของที่ท่านมีอยู่ แล้วจงกลับมา … ติดตามเรา”1 แต่ข้าพเจ้าแปลกใจที่ตนเองกลับได้ยินคำหกคำที่อยู่ก่อนข้อความนี้ของข้อพระคัมภีร์ซึ่งดูเหมือนจะไม่เคยได้ยินหรืออ่านมาก่อน ราวกับมีใครเพิ่มคำเหล่านั้นเข้าไปในพระคัมภีร์ ข้าพเจ้าประหลาดใจกับความเข้าใจที่มาจากการดลใจซึ่งเผยออกมาขณะนั้น
ช่างเป็นคำหกคำที่ส่งผลอย่างลึกซึ้ง ลองฟังดูว่าท่านจะจำได้หรือไม่ถึงถ้อยคำที่ดูธรรมดาเหล่านี้ซึ่งไม่มีอยู่ในเรื่องราวพระกิตติคุณอื่นแต่มีอยู่ในพระกิตติคุณของมาระโกเท่านั้น
“มีคนหนึ่งวิ่งมาหา… ถามพระองค์ว่า อาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะทำอย่างไร ถึงจะได้ชีวิตนิรันดร์?
“พระเยซูตรัสกับคนนั้นว่า …
“ท่านก็รู้จักบัญญัติแล้วที่ว่า ห้ามฆ่าคน ห้ามล่วงประเวณีผัวเมียเขา ห้ามลักทรัพย์ ห้ามเป็นพยานเท็จ ห้ามโกงเขา จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า
“คนนั้นจึงทูลพระองค์ว่า … ท่านอาจารย์ บัญญัติเหล่านั้นข้าพเจ้าถือรักษาไว้ตั้งแต่เด็ก
“พระเยซูทอดพระเนตรดูคนนั้น ทรงเอ็นดูเขา แล้วตรัสว่า ท่านยังขาดอยู่อย่างหนึ่ง จงไปขายบรรดาสิ่งของที่ท่านมีอยู่ แจกจ่ายให้กับคนยากจน ท่านจึงจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงกลับมาติดตามเรา”2
“พระเยซูทอดพระเนตรดูคนนั้น ทรงเอ็นดูเขา”
ขณะได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ มโนภาพที่ชัดเจนของข้าพเจ้าคือพระผู้ช่วยให้รอดทรงหยุดและ ทอดพระเนตรดู ชายหนุ่มคนนี้ ทอดพระเนตรดู—ดูลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของเขา ทรงตระหนักในคุณงามความดีและศักยภาพของเขารวมทั้งสิ่งที่เขาต้องการที่สุดด้วย
จากนั้นเป็นถ้อยคำที่เรียบง่าย—พระเยซู ทรงเอ็นดูเขา พระองค์ทรงรู้สึกรักและเมตตาชายหนุ่มที่ดีคนนี้มาก และ เพราะ ความรักนี้และ ด้วย ความรักนี้ พระเยซูจึงทรงขอจากเขามากขึ้น ข้าพเจ้านึกภาพว่าชายหนุ่มคนนี้จะรู้สึกอย่างไร คงเหมือนถูกห่อหุ้มไว้ด้วยความรักนั้นแม้ขณะมีผู้ขอให้ทำบางอย่างที่ยากที่สุดเช่นการขายทุกสิ่งที่มีแล้วแจกจ่ายให้แก่คนยากจน
ช่วงเวลานั้น ข้าพเจ้ารู้ว่าไม่เพียงใจของผู้สอนศาสนาบางคนเท่านั้นที่ต้องเปลี่ยน แต่เป็นใจข้าพเจ้าด้วย คำถามไม่ใช่ “ประธานคณะเผยแผ่ที่ท้อแท้จะทำอย่างไรให้ผู้สอนศาสนาที่ไร้ความสุขประพฤติตัวดีขึ้น” อีกต่อไป แต่จะเป็น “ทำอย่างไรข้าพเจ้าจึงจะมีความรักเหมือนพระคริสต์ เพื่อให้ผู้สอนศาสนารู้สึกถึงความรักของพระผู้เป็นเจ้าผ่านข้าพเจ้าและปรารถนาจะเปลี่ยนแปลง” ทำอย่างไรข้าพเจ้าจะ มองดู เขาในวิธีเดียวกันกับที่พระเจ้าทอดพระเนตรดูเศรษฐีหนุ่ม โดยมองดูว่าจริงๆ แล้วพวกเขาคือใครและพวกเขาสามารถเป็นใคร แทนที่จะดูว่าพวกเขาทำหรือไม่ทำสิ่งใดในขณะนี้ ข้าพเจ้าจะเป็นเหมือนพระผู้ช่วยให้รอดมากขึ้นได้อย่างไร
“พระเยซูทอดพระเนตรดูคนนั้น ทรงเอ็นดูเขา”
นับจากนั้นเป็นต้นมา ขณะนั่งประจันหน้ากับผู้สอนศาสนาที่มีปัญหาบางอย่างเรื่องการเชื่อฟัง ในตอนนั้นใจข้าพเจ้าจะเห็นผู้สอนศาสนาหนุ่มสาวที่ซื่อสัตย์ว่าเป็นผู้ทำตามความตั้งใจจะรับใช้งานเผยแผ่ ข้าพเจ้าจึงสามารถบอกเล่าความรู้สึกได้ทุกอย่างเหมือนบิดาผู้อ่อนโยนว่า3 “เอ็ลเดอร์หรือซิสเตอร์ ถ้าผมไม่รักคุณ ผมคงไม่ใส่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับงานเผยแผ่ของคุณ แต่ผมรักคุณจริงๆ และเพราะผมรักคุณ ผมจึงเป็นห่วงว่าคุณจะเป็นคนอย่างไร ดังนั้นผมเชื้อเชิญให้คุณเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ที่ยากสำหรับคุณและมาเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงต้องการให้คุณเป็น”
ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าไปสัมภาษณ์ผู้สอนศาสนา ก่อนอื่นข้าพเจ้าจะสวดอ้อนวอนขอของประทานแห่งจิตกุศลและขอให้เห็นเอ็ลเดอร์หรือซิสเตอร์แต่ละคนได้อย่างที่พระเจ้าทรงเห็น
ก่อนประชุมโซน ซิสเตอร์พอลเมอร์และข้าพเจ้าจะทักทายผู้สอนศาสนาทีละคน ข้าพเจ้าจะหยุดและมองลึกเข้าไปในดวงตา มองดู พวกเขา—สัมภาษณ์โดยปราศจากคำพูด—และไม่เคยพลาด ข้าพเจ้าเปี่ยมด้วย ความรัก มากมายต่อบุตรธิดาอันล้ำค่าของพระผู้เป็นเจ้า
ข้าพเจ้าเรียนรู้บทเรียนเปลี่ยนชีวิตหลายบทจากประสบการณ์อันลึกซึ้งส่วนตัวซึ่งมาจาก มาระโกบทที่ 10 นี้ ต่อไปนี้คือบทเรียนสี่บทที่ข้าพเจ้าเชื่อว่าจะช่วยเราแต่ละคนได้
-
เมื่อเราเรียนรู้การมองผู้อื่นดังที่พระเจ้าทรงมองพวกเขาแทนที่จะมองด้วยตาของเราเอง ความรักที่เรามีต่อพวกเขาจะเพิ่มขึ้นและความปรารถนาที่เราจะช่วยพวกเขาจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน เราจะเห็นศักยภาพในผู้อื่นที่พวกเขามักจะมองไม่เห็นในตนเอง ด้วยความรักเหมือนพระคริสต์เราจะไม่กลัวการพูดอย่างห้าวหาญเพราะ “ความรักที่สมบูรณ์นั้นก็ขับไล่ความกลัวออกไป”4 และเราจะไม่ยอมแพ้ โดยจำไว้ว่าผู้ที่รักได้ยากที่สุดคือผู้ที่ต้องการความรักมากที่สุด
-
ไม่มีการเรียนการสอนที่แท้จริงใดจะเกิดขึ้นหากทำด้วยความท้อแท้หรือคับข้องใจ และใจจะไม่มีวันเปลี่ยนได้หากไม่มีความรักอยู่ที่นั่น ไม่ว่าเราจะทำในบทบาทของพ่อแม่ ครู หรือผู้นำ การสอนที่แท้จริงจะเกิดได้เฉพาะในบรรยากาศของความไว้วางใจไม่ใช่การกล่าวโทษ บ้านของเราควรเป็นสถานที่หลบภัยสำหรับลูกเราเสมอ—ไม่ใช่บรรยากาศของความเป็นศัตรูกัน
-
ความรักไม่ควรเสื่อมคลายเมื่อลูก เพื่อน หรือสมาชิกในครอบครัวไม่อาจดำเนินชีวิตตามความคาดหวังของเราได้ เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐีหนุ่มหลังจากที่เขาออกไปด้วยความโศกเศร้า แต่ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระเยซูยังทรงรักเขาอย่างแท้จริงแม้ว่าเขาจะเลือกทางที่ง่ายกว่า บางทีด้วยวัยที่มากขึ้น เมื่อเขาพบว่าสมบัติมากมายที่มีนั้นไร้ความหมายสำหรับเขา เขาอาจจำได้และทำตามประสบการณ์เดียวนั้นที่พระเจ้าของเขาทอดพระเนตรดูเขา ทรงเอ็นดูเขาและเชื้อเชิญให้เขาติดตามพระองค์
-
เพราะพระเจ้าทรงรักเรา พระองค์จึงทรงคาดหวังจากเรามาก หากเรานอบน้อมถ่อมตน เราจะยอมรับพระดำรัสเชิญของพระเจ้าให้กลับใจ เสียสละ และรับใช้ ซึ่งเป็นหลักฐานแห่งความรักอันแท้จริงที่ทรงมีต่อเรา คำเชื้อเชิญให้กลับใจคือคำเชื้อเชิญให้รับของประทานอันล้ำเลิศแห่งการให้อภัยและสันติสุขด้วย ฉะนั้น “อย่าละเลย … การตีสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า และอย่าท้อใจเมื่อพระองค์ทรงตักเตือน เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก”5
พี่น้องทั้งหลาย ต่อไปนี้ทุกครั้งที่ท่านรู้สึกว่ามีผู้ขอให้ท่านทำบางอย่างที่ยาก—ไม่ว่าจะเป็นการเลิกนิสัยที่ไม่ดีหรือสิ่งเสพติด ละทิ้งเรื่องทางโลก สละกิจกรรมที่โปรดปรานเพราะตรงกับวันสะบาโต ให้อภัยคนที่ทำผิดต่อท่าน—จงนึกว่าพระเจ้า ทอดพระเนตรดู ท่าน ทรงเอ็นดู ท่าน ทรงเชื้อเชิญให้ท่านปล่อยวางและ ติดตาม พระองค์ จงขอบพระทัยพระองค์ที่ทรงรักท่านมากพอจะเชื้อเชิญให้ท่านทำมากขึ้น
ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคริสต์ เฝ้ารอวันที่พระองค์จะทรงโอบกอดเราแต่ละคน ทอดพระเนตรดู เราและทรงโอบเราไว้ด้วย ความรัก อย่างแท้จริง ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน