2018
มองดูและมีชีวิต
January 2018


มองดูและมีชีวิต

เมื่อเราหันไปทางพระผู้เป็นเจ้า เราทำให้แหล่งการฟื้นฟูทางวิญญาณเกิดขึ้นสม่ำเสมอ

young man standing by broken down car

ภาพประกอบโดย พอล แมนน์

ขณะข้าพเจ้าเติบใหญ่ กิจกรรมประจำครอบครัวของข้าพเจ้าคือขับรถไปกลับระหว่างนอร์เธิร์นแคลิฟอร์เนียกับยูทาห์ สหรัฐอเมริกา สิ่งที่เราชอบไม่ใช่การเดินทางผ่านทะเลทราย แต่เป็นการถึงจุดหมายและความสุขที่ได้พบปะพูดคุยกับสมาชิกครอบครัวที่นั่น

ฤดูร้อนก่อนข้าพเจ้าไปเป็นผู้สอนศาสนาเต็มเวลา ข้าพเจ้าเดินทางไปเยี่ยมญาติในยูทาห์อีกครั้ง แต่คราวนี้ข้าพเจ้ากับเดวิดน้องชายเดินทางตามลำพัง ตอนนั้นเราอายุ 16 และ 18 ปี เราเคยเดินทาง 10 ชั่วโมงไปกับครอบครัวเราบ่อยๆ จนเรามีความเชื่อมั่นมากว่าเราสามารถเดินทางได้ราบรื่น

เราไปเยี่ยมลุงเคย์ ป้าไดแอน กับมิเชลล์ลูกพี่ลูกน้องของเรา จากนั้นเดวิดอยู่ต่อ ส่วนข้าพเจ้าต้องกลับไปแคลิฟอร์เนียคนเดียวเพราะมีนัดทำฟัน

ตกค่ำข้าพเจ้าเริ่มขับรถข้ามคืนออกจากสแปนิชฟอร์ค ยูทาห์ ตอนแรกทุกอย่างราบรื่น ไม่นานข้าพเจ้าก็ออกจากทางหลวงที่ไปใต้และเหนือ แล้วใช้ทางหลวงที่ไปตะวันออกและตะวันตก ข้าพเจ้าเปิดไฟหน้ารถและรีบขับข้ามยูทาห์ตะวันตก เมื่อขับไปได้หลายไมล์และค่ำคืนกลางทะเลทรายมืดลงทุกขณะ ข้าพเจ้าสังเกตว่าข้าพเจ้ามองเห็นถนนหนทางลำบากขึ้นเรื่อยๆ มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อไฟหน้ารถหรี่ลงๆ จนไฟดับ เครื่องดับ และรถยนต์ไหลไปหยุดอยู่ข้างทาง

แบตเตอรี่หมด รถแล่นต่อไปไม่ได้ ถึงแม้ข้าพเจ้าจะรอบคอบเรื่องที่ต้องมีน้ำมันรถมากพอและถึงกับเขียนข้อความเตือนว่าจะแวะเติมน้ำมันที่ไหน แต่ข้าพเจ้าก็ไม่พร้อมรับสภาพที่ระบบไฟเสียทั้งคัน

ไดชาร์จคืออะไร

ข้าพเจ้าโตมากับคุณพ่อผู้ภาคภูมิใจที่สามารถซ่อมรถยนต์ให้ครอบครัวเราได้ ท่านสอนเราเรื่องเครื่องยนต์ ข้าพเจ้าจึงรู้ว่าแบตเตอรี่ที่ดีจะไม่หมดขณะรถแล่นเว้นแต่ไดชาร์จมีปัญหา ไดชาร์จเป็นตัวปั่นไฟที่เปลี่ยนพลังงานกลให้เป็นพลังงานไฟฟ้า ไดชาร์จใช้พลังงานจลน์ของเครื่องยนต์ที่แล่นอยู่ผลิตพลังงานแม่เหล็กที่ถูกเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้าซึ่งจะชาร์จไฟให้แบตเตอรี่ตลอดเวลา ส่งผลให้ไฟหน้ารถ วิทยุ เครื่องปรับอากาศ และอุปกรณ์ไฟฟ้าตัวอื่นทำงานโดยไม่ติดขัด ทั้งยังทำให้เครื่องยนต์แล่นด้วย

ตอนนี้มีบางอย่างผิดปกติกับไดชาร์จรถยนต์ของข้าพเจ้า จะต้องซ่อมหรือเปลี่ยนใหม่จึงจะเดินทางต่อได้

ในยุคก่อนโทรศัพท์มือถือ ทางเลือกเดียวของข้าพเจ้าคือเริ่มเดิน สุดท้ายก็มีชายคนหนึ่งรับข้าพเจ้าขึ้นรถไปเมืองข้างเคียง ข้าพเจ้าใช้โทรศัพท์หยอดเหรียญโทรขอรถลาก ข้าพเจ้านั่งกับคนขับระหว่างเดินทางหนึ่งชั่วโมงกลับไปที่รถ จากนั้นก็นั่งกับเขาอีกครั้งขณะเราลากรถยนต์ของข้าพเจ้ากลับไปเมืองเล็กๆ เมืองนั้น หลังจากทิ้งรถไว้สี่ชั่วโมง ข้าพเจ้าก็กลับเข้ามานอนหน้าศูนย์บริการจนกระทั่งศูนย์เปิด

เมื่อผู้จัดการมาถึง เขาไม่คิดว่าเมืองเล็กๆ ของเขาจะมีอะไหล่ที่ข้าพเจ้าต้องการ เขาสั่งให้ได้ แต่คงจะมาไม่ถึงภายในสองสามวัน เขาเห็นใจข้าพเจ้า เขาบอกว่าเขาจะชาร์จแบตเตอรี่ให้สักสามชั่วโมง นั่นอาจจะทำให้รถมีไฟมากพอจะขับไปอีกเมืองหนึ่งได้ บางทีพวกเขาอาจจะมีอะไหล่ที่ข้าพเจ้าต้องการ

เมื่อชาร์จแบตเตอรี่เสร็จแล้ว ข้าพเจ้าเริ่มออกเดินทางโดยไม่เปิดอะไรที่จะทำให้เสียพลังงานไฟฟ้าโดยใช่เหตุ ข้าพเจ้าเดินทางถึงเมืองถัดไป แต่พวกเขาไม่มีอะไหล่ที่ข้าพเจ้าต้องการ วนเวียนอยู่แบบนี้—ชาร์จสามชั่วโมงเพื่อขับสองชั่วโมงจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่ง หลังจากพบคนใจดีในเมืองต่างๆ ระหว่างทาง ในที่สุดข้าพเจ้าก็มาจอดหน้าบ้านคุณพ่อคุณแม่ของข้าพเจ้า หมดแรงหลังจากเดินทาง 30 ชั่วโมงแต่กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย

มานาทางวิญญาณ

มีความคล้ายคลึงกันระหว่างการเดินทางของข้าพเจ้ากับการเดินทางในทะเลทรายของชาวอิสราเอลในสมัยพันธสัญญาเดิม เป็นเวลา 40 ปีที่ชาวอิสราเอลเติมพลังสม่ำเสมอด้วยอาหารจากสวรรค์ที่เรียกว่า มานา (ดู อพยพบทที่ 16 และกันดารวิถีบทที่ 11)

gathering of manna

การเก็บมานา โดย เจมส์ ทิสซอท

ในสมัยของเรา เรามีความต้องการอาหารจากสวรรค์ หรืออาหารทางวิญญาณคล้ายกัน โชคดีที่เราสามารถสร้าง “ไดชาร์จทางวิญญาณ” ซึ่งจะ “ปั่น” “มานาทางวิญญาณ” ให้เรา เนื่องจากความต้องการทางวิญญาณของเราได้รับการตอบสนองผ่านการรักษาสัมพันธภาพกับพระบิดาในสวรรค์และพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์ ฉะนั้น เฉกเช่นชาวอิสราเอลใช้เวลาแต่ละวันเก็บมานา ทุกวันนี้เราจึงต้องเก็บมานาทางวิญญาณผ่านการสวดอ้อนวอน การศึกษาพระกิตติคุณ และการขวนขวายให้มีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเพื่อนตลอดเวลา

ในที่สุดชาวอิสราเอลเหนื่อยหน่ายกับการเก็บมานาและ “มีความอยาก” สิ่งที่พวกเขาทิ้งไว้เบื้องหลัง (กันดารวิถี 11:4) ถ้าเราปล่อยให้ตัวเราเหนื่อยหน่ายกับการเก็บมานาทางวิญญาณ เราอาจจะพบตนเองโหยหาสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ทางวิญญาณ เฉกเช่นชาวอิสราเอลที่ท้อแท้ใจ เราอาจมองข้ามจุดประสงค์แรกเริ่มของเรา—ซึ่งคือการมาถึงแผ่นดินที่สัญญาไว้ แม้ถึงกับคิดว่าเราไม่น่าออกจาก “อียิปต์” เลย (ดู กันดารวิถี 11:5–6) สุดท้าย ไดชาร์จทางวิญญาณของเราหยุดทำงาน และเราไม่สามารถก้าวหน้าได้ เราพบตนเองอับจนหนทาง อดอยาก และโหยหาการช่วยชีวิต

มองเห็นปาฏิหาริย์

ประธานสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์ (1895–1985) สอนว่า “บางครั้งดูเหมือนเราเห็นคุณค่าของพระคัมภีร์น้อยนักเพราะเราไม่ตระหนักว่าช่างล้ำค่าเพียงใดที่ได้ครอบครองพระคัมภีร์ และเราได้รับพรอย่างยิ่งเพราะเรามีพระคัมภีร์ ดูเหมือนเราจะสุขสบายเกินไปกับประสบการณ์ของเราในโลกนี้และเคยชินกับการได้ยินพระกิตติคุณที่สอนในบรรดาพวกเราจนเราไม่อาจนึกภาพให้เป็นอื่นไปได้”1

เราควรเห็นคุณค่าของการศึกษาพระคัมภีร์สม่ำเสมอ การสวดอ้อนวอน และการเชื่อฟังเพราะสิ่งเหล่านั้นช่วยเรารักษาความเป็นเพื่อนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ถ้าเราละเลยกิจกรรมที่ชาร์จไฟทางวิญญาณในชีวิต เบื่อกิจกรรมเหล่านั้น หรือแค่ทำไปตามกิจวัตร เมื่อนั้นไดชาร์จทางวิญญาณของเราจะทำงานไม่เต็มที่ เราจะหมดไฟทางวิญญาณอย่างช้าๆ บางทีอาจจะทีละเล็กทีละน้อยจนเราแทบไม่รู้ตัว ในเวลาเช่นนั้น ทางเดียวที่จะมีไฟทางวิญญาณเหมือนเดิมคือหันมาหาพระเยซูคริสต์และกลับใจ โดยผ่านการชดใช้ของพระเยซูคริสต์และการกลับใจอย่างแท้จริง ทุกสิ่งจะคืนมาเหมือนเดิม

มองดูและมีชีวิต

เมื่อชาวอิสราเอลพร่ำบ่น พวกเขาสูญเสียความสำนึกคุณต่อพรของการบำรุงเลี้ยง เพื่อเป็นการลงโทษ “พระยาห์เวห์ทรงส่งพวกงูพิษมาในหมู่ประชาชน งูก็กัดประชาชนและคนอิสราเอลตายเป็นจำนวนมาก” (กันดารวิถี 21:6)

สุดท้าย “ประชาชนมาหาโมเสสกล่าวว่า เราทำบาปเพราะเราต่อว่า พระยาห์เวห์ และต่อว่าท่าน ขอทูลวิงวอนพระยาห์เวห์ให้พระองค์ทรงนำงูไปจากเรา ดังนั้นโมเสสจึงทูลวิงวอนเพื่อประชาชน

“และพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า จงทำงูพิษตัวหนึ่งติดไว้บนเสา และทุกคนที่ถูกงูกัดมองดูงูนั้นก็จะมีชีวิตอยู่ได้

“ดังนั้นโมเสสจึงทำงูทองสัมฤทธิ์ตัวหนึ่งและติดไว้บนเสา และเมื่องูกัดใครถ้าคนนั้นมองดูงูทองสัมฤทธิ์นั้นเขาก็มีชีวิตอยู่ได้” (กันดารวิถี 21:7–9)

brazen serpent

ส่วนหนึ่งจากภาพ งูทองสัมฤทธิ์ โดย เจมส์ ทิสซอท, Jewish Museum, New York/Art Resource นิวยอร์ก

งูทองสัมฤทธิ์ยุคปัจจุบัน

งูทองสัมฤทธิ์หรืองูทองเหลืองเป็นสัญลักษณ์ของพระเยซูคริสต์ถูกยกขึ้นบนกางเขน (ดู ยอห์น 3:14–15) เมื่อเราใส่ใจคำแนะนำของศาสดาพยากรณ์ยุคปัจจุบัน เรากำลังมองไปทางพระคริสต์เพราะพวกท่านนำเราให้หันกลับมาสนใจแผนของพระบิดาและบทบาทอันเป็นศูนย์กลางของพระเยซูคริสต์ เฉกเช่นคนใจดีที่ยอมให้ข้าพเจ้าชาร์จแบตเตอรี่ ศาสดาพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และผู้เปิดเผยที่มีชีวิตอยู่ต่างชาร์จไฟทางวิญญาณให้เราโดยเตือนเราว่าเราเป็นบุตรธิดาของพระบิดาในสวรรค์ และ “งาน … และรัศมีภาพ [ของพระองค์]—คือการทำให้เกิดความเป็นอมตะและชีวิตนิรันดร์ของมนุษย์” (โมเสส 1:39) พวกท่านแนะนำเราเป็นพิเศษว่าเมื่อเรานมัสการอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในวันสะบาโต เราจะมีศรัทธาเพิ่มขึ้นในพระบิดาบนสวรรค์ ในแผนแห่งความสุขของพระองค์ ในพระเยซูคริสต์และการชดใช้ของพระองค์

เรื่องราวของโมเสสและงูทองสัมฤทธิ์มีกล่าวไว้ในพระคัมภีร์มอรมอนด้วย ซึ่งในนั้นบอกเราว่า “หลายคนมองดูและมีชีวิต” (แอลมา 33:19; ดู ข้อ 20–22 ด้วย) แต่อีกหลายคนไม่ยอมมองดู “งานซึ่งพวกเขาต้องทำคือมองดู; และเพราะความเรียบง่ายของทาง, หรือความง่ายของมัน, จึงมีคนตายเป็นอันมาก” (1 นีไฟ 17:41) สักวันจะมีคนพูดถึงเราไหมว่าเราไม่ยอมมองดูศาสดาพยากรณ์และคำแนะนำของพวกท่านเพราะความเรียบง่ายของทาง

“หากท่านได้รับการบำบัดรักษาโดยเพียงแต่กวาดสายตาดูเพื่อท่านจะได้รับการบำบัดรักษา, ท่านจะไม่มองดูโดยเร็วหรือ[?] …

“… จงกวาดสายตาท่านดูและเริ่มเชื่อในพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า” (แอลมา 33:21, 22)

ข้าพเจ้าสำนึกคุณต่อพรที่มาถึงเราเมื่อเราไปตาม “ทางหลวงสู่สวรรค์” อย่างต่อเนื่องและกระตุ้นให้ผู้อื่นทำเหมือนกัน ข้าพเจ้าสำนึกคุณเท่าเทียมกันต่อโอกาสให้กลับใจเมื่อเราหลงผิด ทิ้งนิสัยไม่ดีไว้เบื้องหลัง และกลับสู่เส้นทางที่เหมาะสม พรเหลือคณานับ

อีกข้อความหนึ่งในพระคัมภีร์มอรมอนที่พูดถึงประสบการณ์ของชาวอิสราเอลสรุปว่า “และมากเท่าที่มองดูงูนั้นจะมีชีวิตฉันใด, แม้มากเท่าที่มองดูพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าด้วยศรัทธา, โดยมีวิญญาณที่สำนึกผิด, จะได้มีชีวิตฉันนั้น, แม้จนไปสู่ชีวิตนั้นซึ่งเป็นชีวิตนิรันดร์” (ฮีลามัน 8:15)

การเอาใจใส่คำแนะนำของศาสดาพยากรณ์ยุคปัจจุบันฝึกใจให้เรามีศรัทธา อีกทั้งเพิ่มพลังให้เราเอาชนะอุปสรรคระหว่างการเดินทาง เช่นเดียวกับข้าพเจ้ามุ่งหน้าในคืนฤดูร้อนนั้นในทะเลทราย ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าเมื่อเรามองไปที่พระบิดาในสวรรค์และพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์ เราจะพบความหมายและจุดประสงค์ในการเดินทางของเรา

ท่านสามารถหาแนวคิดการสังสรรค์ในครอบครัวสำหรับบทความนี้ได้ที่ lds.org/go/11811

อ้างอิง

  1. คำสอนของประธานศาสนาจักร: สเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์ (2006), 67.