พระวิหารทำให้เรามีวิสัยทัศน์สูงขึ้น
เหมือนกล้องโทรทรรศน์ใช้ส่องดูดาวที่อยู่ไกลเกินสายตาเรา พระวิหารเปิดความคิดให้มีวิสัยทัศน์สูงขึ้นและกว้างขึ้น
ความทรงจำสำคัญและแจ่มชัดที่สุดบางอย่างของเราเมื่อครั้งอาศัยอยู่ทางภาคตะวันตกตอนกลางของสหรัฐสมัยเป็นพ่อแม่วัยหนุ่มสาวคือการไปพระวิหารในวอชิงตัน ดี.ซี.ปีละครั้ง สมัยนั้นพระวิหารดังกล่าวเป็นแห่งเดียวที่เปิดดำเนินการทางภาคตะวันออกของแม่น้ำมิสซิสซิปปี การรู้ว่าศาสนพิธีพระวิหารจำเป็นต่อบุตรธิดาทุกคนของพระบิดาบนสวรรค์ทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องรีบทำ
เช่นเดียวกับหลายท่าน เราเตรียมการให้เพื่อนๆ ดูแลลูกเล็กๆ ของเรา เดินทางตอนกลางคืนไปกับเพื่อนสมาชิกเต็มรถโดยสาร ใช้เวลาอันมีค่าสองวันทำงานพระวิหารให้มากเท่าที่จะมากได้ จากนั้นจึงนั่งรถโดยสารกลับบ้านตอนกลางคืนเพื่อเราจะสามารถเข้าร่วมการประชุมของศาสนจักรในวันอาทิตย์ การเดินทางเหล่านั้นไม่เหมือนเป็นการเสียสละ เป็นสิ่งที่น่าจดจำเพราะการหนุนใจทางวิญญาณที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณเราหลายเดือนต่อจากนั้น
ไม่กี่ปีต่อมา เราตื่นเต้นที่ได้ต้อนรับพระวิหารชิคาโก อิลลินอยส์ พระวิหารแห่งแรกที่สร้างทางภาคกลางของอเมริกาเหนือตั้งแต่สร้างพระวิหารคาร์ดสตัน แอลเบอร์ตา แคนาดาเมื่อ 62 ปีก่อน เมื่อมีพระวิหารห่างจากบ้านเพียง 45 นาที เราจึงดีใจที่ได้เข้าพระวิหารบ่อยกว่าปีละครั้งและได้รับอาหารทางวิญญาณเป็นประจำ
ทว่าปัจจุบัน แม้พวกเราบางคนอยู่ใกล้พระวิหารมากขึ้น แต่เราก็อาจจะยังพบว่าเข้าพระวิหารบ่อยๆ ได้ยาก การไปพระวิหารสะดวกขึ้นอาจลวงเราให้คิดว่า “ฉันจะไปพรุ่งนี้เมื่อมีเวลามากกว่านี้” แรงกดดันขณะนั้นอาจทำให้เราเขวโดยง่ายและปล่อยให้โอกาสที่สำคัญกว่าหลุดลอยไป เอ็ลเดอร์ริชาร์ด จี. สก็อตต์ (1928–2015) แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองกล่าวว่า “ข้าพเจ้าสนับสนุนท่านให้ตั้งเป้าหมายของตนเองว่าจะใช้ประโยชน์จากศาสนพิธีในพระวิหารที่เปิดดำเนินการของเราบ่อยเพียงใด”1
ถ้าเราละเลยโอกาสเข้าพระวิหารให้บ่อยเท่าที่สภาวการณ์ของเราเอื้ออำนวย ถ้าเราไม่เอาใจใส่โอกาสไปพระวิหารทั้งที่พระวิหารอยู่หลังบ้านเรา พูดได้เลยว่าเราอาจสูญเสียพรในอนาคตและโอกาสที่พระบิดาของเราและพระบุตรของพระองค์ทรงเตรียมไว้ให้เรา “เรา, พระเจ้า,” พระองค์ตรัส “ถูกผูกมัดเมื่อเจ้าทำสิ่งที่เรากล่าว; แต่เมื่อเจ้าไม่ทำสิ่งที่เรากล่าว, เจ้าย่อมไม่มีสัญญา.” (คพ. 82:10)
เมื่อดูเหมือนเหตุการณ์ต่างๆ สมคบกันขัดขวางเราไม่ให้ไปพระวิหาร เราพึงจดจำพระดำรัสรับรองของพระเยซูคริสต์ที่ว่า “ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิดเพราะว่าเราชนะโลกแล้ว” (ยอห์น 16:33) เมื่อเราไม่ย่อท้อและเข้าพระวิหารแม้มีอุปสรรค เราจะมีความช่วยเหลือของพระผู้ช่วยให้รอดให้เอาชนะโลกที่ เรา อยู่ ครั้งหนึ่งเมื่อสามีกับดิฉันเตรียมไปพระวิหาร เกิดปัญหาตามมาติดๆ ในที่สุดขณะที่เรากำลังจะออกจากประตูบ้าน เรามีความตึงเครียดของ “ช่วงเวลาการแต่งงาน” ขณะเราสองคนเดินเงียบๆ ไปที่รถ เราได้ยินลูกสาวคนโตปลอบน้องสาวของเธอว่า “อย่าห่วงเลย พ่อแม่กลับจากพระวิหารอย่างมีความสุขทุกครั้งแหละ” และเธอพูดถูก!
พระวิหารเตือนให้เรานึกถึงช่วงเวลาของนิรันดร
ไม่ว่าเรามาพระวิหารด้วยใจเปี่ยมปีติหรือหนักอึ้งด้วยความโศกเศร้า พระวิหารเป็นสถานที่หนุนใจและเพิ่มพลังให้สมาชิกที่มีค่าควร ทุกคน ที่เปิดใจรับ
เมื่อมาพระวิหารดิฉันแทบจะตัวลอยด้วยความสำนึกคุณอย่างสุดซึ้งต่อพรที่ให้กับบุคคลที่เรารักซึ่งกำลังมีปัญหา ดิฉันหลั่งน้ำตาเงียบๆ ของความโศกเศร้าเสียใจเพราะความล้มเหลวของตนเช่นกัน ดิฉันเคยได้รับการกระตุ้นเตือน คำสั่งสอน และแม้การติเตียนจากพระวิญญาณขณะรับใช้เป็นตัวแทนให้บางคนได้รับศาสนพิธีที่จะช่วยให้เธอก้าวหน้าชั่วนิรันดร์ ประสบการณ์ทั้งหมดนั้นหนุนใจและทำให้ดิฉันเข้มแข็ง ดิฉันเคยนั่งในพระวิหารหลายชั่วโมงเหมือนเป็น “หน้าที่” เพียงทำตามข้อผูกมัดของดิฉัน และแม้กระทั่งพบตนเองสัปหงกช่วงศาสนพิธีพระวิหารในหลายปีที่เป็นครูเซมินารีภาคเช้าตรู่! แต่ทุกครั้งที่ดิฉันไปพระวิหาร ดิฉันได้รับพร ไม่ว่าเราได้รับพรทันทีหรือพยายามให้ได้รับพรภายหลัง แต่ทุกขณะที่เราใช้ในพระวิหารส่งผลให้ตัวเราเพิ่มพูนบางประการ
การอยู่ในพระวิหารเตือนให้เรานึกถึงช่วงเวลาของนิรันดร ทั้งเหลียวหลังมองบรรพชนของเราและตั้งตารอคอยลูกหลานของเรา ลูกๆ ของเรามองไกลถึงนิรันดรมากขึ้นเช่นกันเมื่อพวกเขาจดจ่ออยู่กับพระวิหาร เราจะเตรียมพวกเขาให้พร้อมไปพระวิหารมากที่สุด—อันเป็นขั้นตอนสำคัญยิ่งในความก้าวหน้านิรันดร์ของพวกเขาได้อย่างไร ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน ประธานโควรัมอัครสาวกสิบสองแนะนำว่า “บิดามารดาควรสอนความสำคัญของพระวิหารตั้งแต่บุตรธิดายังเยาว์วัย”2 ประธานสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์ (1895–1985) แนะนำให้บิดามารดาวางภาพพระวิหารไว้ในห้องนอนของบุตรธิดาทั้งนี้เพื่อพวกเขาจะได้มองดูสิ่งเตือนใจอันศักดิ์สิทธิ์นั้นทุกวันจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา3 ท่านสามารถแบ่งปันกับบุตรธิดาได้เช่นกันถึงพรที่ท่านได้จากการเข้าพระวิหารและประจักษ์พยานของท่านถึงปีติที่ท่านคาดหวังในความสัมพันธ์นิรันดร์กับพวกเขา และท่านสามารถสนับสนุนลูกวัยรุ่นของท่านให้ปรารถนาจะรับบัพติศมาแทนผู้วายชนม์ จงจดจำในบทเรียนสังสรรค์ครอบครัวและช่วงการสอนของท่านว่า “พระวิหารเป็นจุดมุ่งหมายของกิจกรรมทุกอย่าง บทเรียนทุกบท และความก้าวหน้าทุกย่างก้าวในศาสนจักร”4
ขณะท่านร้องเพลงกับบุตรธิดาว่า “ฉันชอบมองดูพระวิหาร ฉันต้องการไปที่นั่น ฉันจะทำพันธสัญญากับพระบิดาสวรรค์”5 ท่านจะช่วยให้พวกเขารู้สึกปรารถนาจะเข้าพระนิเวศน์ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า และใจท่านเองจะชื่นบานด้วยความสำนึกคุณต่อพระบิดาบนสวรรค์ ต่อแผนแห่งความรอดของพระองค์ ต่อพระผู้ช่วยให้รอดและการชดใช้ของพระองค์ ซึ่งทำให้ท่านได้อยู่กับคนที่ท่านรักตลอดไป “ทาง [ของพระผู้ช่วยให้รอด] เป็นเส้นทางที่นำไปสู่ความสุขในชีวิตนี้และชีวิตนิรันดร์ในโลกที่จะมาถึง”6 เส้นทางนั้นนำไปถึงและผ่านพระวิหาร!
พระวิหารเป็นที่ลี้ภัยจากโลก
อิทธิพลทางโลกสามารถดึงเราออกห่างจากพระวิหาร เพื่อนเยาวชนที่รักคนหนึ่งกังวลใจกับความคิดเห็นและการคาดเดาต่างๆ นานาเกี่ยวกับศาสนจักรที่เขาอ่านทางอินเทอร์เน็ต เขาตัดสินใจเลิกเข้าพระวิหารจนกว่าจะไขข้อสงสัยของเขาได้ ดิฉันขอร้องท่านสุดหัวใจผู้อาจมีข้อสงสัยอันส่งผลต่อประจักษ์พยานของท่านให้มีส่วนร่วมต่อไปในการสวดอ้อนวอนเป็นส่วนตัวและการศึกษาพระคัมภีร์ และเข้าพระวิหารต่อไปขณะท่านพยายามหาคำตอบอันจะทำให้ท่านเกิดสันติสุข จงจดจ่ออยู่กับพระกิตติคุณเพื่อจะไม่เขวตามแนวความคิดที่ชาญฉลาดแต่ผิด คนเราจะไม่หาทางรักษาความเจ็บป่วยทางกายโดยขอคำแนะนำในการรักษาจากนักฟุตบอลชื่อดัง และผู้มีความเข้าใจจำกัดเกี่ยวกับพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเยซูคริสต์จะไม่สามารถไขข้อสงสัยทางวิญญาณได้อย่างถูกต้องเช่นกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงเป็นพยานถึง “ความจริงของทุกเรื่อง” (โมโรไน 10:5) “จะบอกเจ้าในความนึกคิดเจ้าและในใจเจ้า” (คพ. 8:2) ว่าความจริงนิรันดร์คืออะไร
สถานที่แห่งหนึ่งที่จะเข้าถึงพระวิญญาณองค์นั้นได้มากที่สุดคือในพระวิหาร ถ้าท่านมีค่าควรเข้าพระนิเวศน์ของพระเจ้า (ตามที่ท่านและอธิการตัดสิน) โปรดมาพระวิหารพร้อมข้อสงสัยของท่านและรับความเชื่อมั่นว่าแม้ท่านไม่เข้าใจทุกสิ่งตอนนี้ แต่พระเจ้าเข้าพระทัย จงจำทั้งหมดที่ท่านรู้ จริง และเข้าใจ สิ่งที่ท่านรู้ จริง และได้รับพยานทางวิญญาณจะนำท่านไปสู่ “สันติสุขของพระเจ้าที่เกินความเข้าใจ [และจะ] คุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านทั้งหลายไว้ในพระเยซูคริสต์” (ฟิลิปปี 4:7) ดิฉันเป็นพยานว่าความเข้าใจและสันติสุขที่ท่านแสวงหาจะเกิดขึ้นเมื่อท่านยังคงมีศรัทธาว่าพระบิดาในสวรรค์ของท่านจะทรงนำทางท่านไปพบความจริง
อิสยาห์เตือนเราว่าพระวิหารเป็น “ที่ลี้ภัย … จากพายุ” (อิสยาห์ 4:6) ถ้อยคำของประธานโธมัส เอส. มอนสันปลอบใจเราเช่นกัน “ขณะผ่านเข้าประตูพระวิหาร เราทิ้งความว้าวุ่นใจและความสับสนของโลกไว้เบื้องหลัง ภายในวิสุทธิสถานอันศักดิ์สิทธิ์นี้ เราพบความสวยงามและระเบียบ มีที่พักผ่อนสำหรับจิตวิญญาณของเราและที่หยุดพักจากความห่วงกังวลของชีวิตเรา”7
ขณะที่ความทุกข์ในโลกเพิ่มขึ้นและแรงกดดันของชีวิตประจำวันก่อตัว เราต้องจดจ่อกับสิ่งสำคัญจริงๆ เราจดจ่อได้ง่ายกับเรื่องลบและความทุกข์ร้อนทางโลกประหนึ่งเรากำลังมองดูความล้มเหลวและปัญหาของเราผ่านกล้องจุลทรรศน์ การอยู่ในพระวิหารเตือนให้เรามองไกลถึงนิรันดรเสมอ เฉกเช่นกล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่โฟกัสดวงดาวที่เรามองด้วยตาเปล่าไม่เห็น พระวิหารเปิดความคิดเราให้มีวิสัยทัศน์สูงขึ้นและกว้างขึ้น พระวิหารช่วยให้เราเห็น หวัง และพยายามทำให้เป็นทั้งหมดที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงออกแบบให้เราเป็น พระวิหารช่วยให้เราจดจ่อกับความจริงนิรันดร์—กับพระบิดามารดาบนสวรรค์ผู้ทรงรักเราและปรารถนาจะช่วยเรา จดจ่อกับคุณค่าแท้จริงของเราในฐานะบุตรธิดาของพระองค์ และจดจ่อกับสิ่งที่เราสามารถเป็นได้ในฐานะ “ทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์” (โรม 8:17) ในพระวิหารสอนแผนของพระผู้เป็นเจ้าและเราทำพันธสัญญานิรันดร์ ในพระวิหารเราได้รับเครื่องมือให้เป็นตัวตนนิรันดร์ที่ดีที่สุดและสูงส่งที่สุดของเรา
“เมื่อเราเข้าพระวิหาร” ประธานมอนสันแนะนำ “เราจะเกิดความเข้มแข็งทางวิญญาณและความรู้สึกสันสันติสุขซึ่งจะมากกว่าความรู้สึกอื่นที่เข้ามาในใจมนุษย์ได้ เราจะเข้าใจความหมายแท้จริงของพระวจนะของพระผู้ช่วยให้รอดเมื่อพระองค์ตรัสว่า ‘เรามอบสันติสุขไว้กับพวกท่าน สันติสุขของเราที่ให้กับท่าน … อย่าให้ใจของท่านเป็นทุกข์ อย่ากลัวเลย’ [ยอห์น 14:27]”8
การรับใช้ในพระวิหารของท่านจะมีผลต่อผู้อื่น
วิญญาณที่ท่านนำมาจากการรับใช้ในพระวิหารจะมีผลต่อคนมากมายในแวดวงอิทธิพลของท่าน—บางคนท่านอาจนึกไม่ถึงด้วยซ้ำ ระหว่างทางกลับจากการไปพระวิหารครั้งหนึ่งของเราในวอชิงตัน ดี.ซี. กลุ่มสมาชิกแบ่งปันประจักษ์พยานให้กันเมื่อรถโดยสารแล่นตลอดระยะทางหลายไมล์จนถึงบ้าน ผู้เข้าพระวิหารคนแล้วคนเล่าแบ่งปันปีติและความสำนึกคุณต่อพรที่พวกเขาได้รับทันทีและพรนิรันดร์ของพระวิหาร จนคนขับรถโดยสารที่ไม่เป็นสมาชิกทนฟังไม่ไหว เขาคว้าไมโครโฟนมากล่าวขอบคุณที่ได้อยู่กับพวกเรา เขาพูดต่อจากนั้นว่า “ผมไม่รู้ว่าพวกคุณมีอะไร แต่ผมรู้สึกบางอย่างผิดธรรมดาที่นี่” หัวหน้าเผยแผ่วอร์ดของเราบนรถโดยสารจึงขอข้อมูลติดต่อและมอบให้ผู้สอนศาสนาหลังจากนั้น
ดิฉันขอเชื้อเชิญให้ท่านใช้ประโยชน์จากของประทานของพระวิหารที่อยู่ใกล้ท่านให้บ่อยเท่าที่สภาวการณ์ของท่านเอื้ออำนวย ท่านจะเข้มแข็งขึ้นและจะพบสันติสุขในพระนิเวศน์ของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ เพราะพระองค์ทรงเป็นแสงสว่าง ชีวิต และความหวังของโลก ขณะที่ยุคสุดท้ายนี้ก้าวหน้าสู่การเสด็จกลับตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ ขอให้ท่านรับแสงสว่างของพระองค์และรู้สึกถึงความหวังที่มอบให้ในพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์