บทที่ 3
แผ่นจารึกทองคำ
บทนี้เป็นบทที่ 3 ของประวัติศาสนจักรเชิงบรรยายสี่เล่มชุดใหม่ชื่อ วิสุทธิชน: เรื่องราวของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ในยุคสุดท้าย หนังสือจะมีอยู่ในรูปแบบที่พิมพ์แล้ว 14 ภาษา ในหมวดประวัติศาสนจักรของแอปพลิเคชันคลังค้นคว้าพระกิตติคุณ และออนไลน์ที่ วิสุทธิชน.lds.org อีกหลายบทจะจัดพิมพ์ในฉบับต่อๆ ไปจนกว่าจะออกเล่ม 1 ช่วงปลายปีนี้ บทเหล่านั้นจะมีให้อ่าน 47 ภาษาในแอปพลิเคชันคลังค้นคว้าและที่ วิสุทธิชน.lds.org บทที่ 2 พูดถึงนิมิตแรกของโจเซฟ—การเห็นพระบิดาและพระบุตรในฤดูใบไม้ผลิ ปี 1820
สามปีผ่านไป และสามฤดูเก็บเกี่ยว โจเซฟใช้เวลาส่วนใหญ่หักร้างถางพง ไถดิน และทำงานเป็นลูกมือเพื่อให้มีรายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายประจำปีในที่ดินของครอบครัว งานทำให้ท่านไปโรงเรียนได้ไม่บ่อยนัก ท่านใช้เวลาว่างส่วนใหญ่อยู่กับครอบครัวและคนงานอื่นๆ
โจเซฟกับเพื่อนๆ ยังเยาว์วัยจึงสดใสร่าเริง บางครั้งพวกท่านทำผิดด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และโจเซฟพบว่าเมื่อท่านได้รับการให้อภัยครั้งหนึ่งไม่ได้หมายความว่าท่านไม่ต้องกลับใจอีก อีกทั้งนิมิตอันรุ่งโรจน์ของท่านก็ไม่ได้ตอบคำถามทุกข้อหรือไม่ได้ทำให้ความสับสนของท่านจบสิ้น1 ด้วยเหตุนี้ท่านจึงพยายามอยู่ใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้า ท่านอ่านพระคัมภีร์ไบเบิล วางใจในเดชานุภาพของพระเยซูคริสต์ที่จะช่วยท่านให้รอด และเชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้าไม่ให้นับถือนิกายใด
โจเซฟเชื่อเหมือนคนจำนวนมากในละแวกนั้น รวมทั้งบิดาท่าน ว่าพระผู้เป็นเจ้าจะทรงเปิดเผยความรู้ผ่านวัตถุสิ่งของอย่างกิ่งไม้หรือหิน ดังที่พระองค์ทรงเปิดเผยกับโมเสส อาโรน และคนอื่นๆ ในพระคัมภีร์ไบเบิล2 วันหนึ่ง ขณะโจเซฟกำลังช่วยเพื่อนบ้านขุดบ่อน้ำ ท่านบังเอิญเจอหินก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่งฝังลึกอยู่ในดิน โจเซฟทราบว่าบางครั้งผู้คนใช้หินพิเศษค้นหาของหายหรือสมบัติที่ซ่อนอยู่ ท่านสงสัยว่าท่านพบหินเช่นนั้นแล้วหรือ ขณะสำรวจหินก้อนนั้น ท่านเห็นบางอย่างที่ดวงตาฝ่ายธรรมชาติมองไม่เห็น3
ของประทานของโจเซฟในการใช้หินก้อนนั้นทำให้สมาชิกครอบครัวประทับใจเพราะเห็นว่านั่นเป็นเครื่องหมายแสดงความโปรดปรานของสวรรค์4 แต่ถึงแม้โจเซฟมีของประทานของผู้หยั่งรู้ แต่ท่านก็ยังไม่แน่ใจว่าพระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยท่านหรือไม่ ท่านไม่รู้สึกถึงการให้อภัยและสันติสุขที่เคยรู้สึกอีกเลยหลังจากท่านเห็นนิมิตถึงพระบิดาและพระบุตร แต่ท่านมักจะรู้สึกผิดเนื่องจากความอ่อนแอและความไม่ดีพร้อมของท่าน5
วันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1823 โจเซฟวัยสิบเจ็ดปีนอนไม่หลับอยู่ในห้องใต้หลังคาที่ท่านใช้ร่วมกับพี่ชายน้องชาย คืนนั้นท่านอยู่ฟังครอบครัวพูดคุยกันเกี่ยวกับนิกายต่างๆ และหลักคำสอนที่พวกเขาสอนจนดึก ตอนนี้ทุกคนหลับหมดแล้ว และบ้านเงียบกริบ6
ในความมืดของห้องนั้น โจเซฟเริ่มสวดวิงวอนด้วยศรัทธาแรงกล้าทูลขอพระผู้เป็นเจ้าให้ทรงยกโทษบาปของท่าน ท่านปรารถนาจะสื่อสารกับผู้ส่งสารจากสวรรค์ผู้จะรับรองสถานะของท่านต่อพระเจ้าและให้ความรู้แก่ท่านเกี่ยวกับพระกิตติคุณที่ทรงสัญญาไว้กับท่านในป่า โจเซฟรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงตอบคำสวดอ้อนวอนของท่านก่อนหน้านี้ และท่านมีความเชื่อมั่นเต็มที่ว่าพระองค์จะทรงตอบอีกครั้ง
ขณะโจเซฟสวดอ้อนวอน แสงสว่างปรากฏข้างเตียงท่าน แสงนั้นสว่างขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ทั้งห้องสว่างจ้า โจเซฟเงยหน้า ท่านเห็นเทพองค์หนึ่งยืนอยู่ในอากาศ เทพองค์นั้นสวมเสื้อคลุมสีขาวไร้รอยตะเข็บยาวถึงข้อมือและข้อเท้า แสงสว่างแผ่รังสีออกมาจากท่าน และใบหน้าท่านเรืองรองดุจสายฟ้า
ตอนแรกโจเซฟกลัว แต่ไม่นานท่านก็รู้สึกสงบ เทพเรียกชื่อท่านและแนะนำตนเองว่าชื่อโมโรไน เทพกล่าวว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงยกโทษบาปของโจเซฟแล้วและเวลานี้ทรงมีงานให้ท่านทำ เทพประกาศว่าชื่อของโจเซฟ สมิธจะถูกพูดถึงทั้งดีและชั่วในบรรดาประชาชาติ7
โมโรไนพูดถึงแผ่นจารึกทองคำที่ฝังอยู่ในเนินเขาใกล้ๆ บนแผ่นจารึกสลักบันทึกของคนสมัยโบราณที่เคยมีชีวิตอยู่ในพื้นที่ของทวีปอเมริกา บันทึกกล่าวถึงที่มาของคนเหล่านั้นและให้เรื่องราวที่พระเยซูคริสต์เสด็จเยือนพวกเขา พระองค์ทรงสอนความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณแก่พวกเขา8 โมโรไนกล่าวว่ามีศิลาผู้หยั่งรู้สองก้อนฝังอยู่กับแผ่นจารึก ซึ่งต่อมาโจเซฟเรียกว่าอูริมและทูมมิม หรือเครื่องแปลความหมาย พระเจ้าทรงเตรียมศิลาเหล่านี้ไว้ช่วยโจเซฟแปลบันทึก ศิลาใสสองก้อนผูกไว้ด้วยกันและติดกับแผ่นทับทรวง9
เวลาที่เหลือของการเยือนคราวนั้น โมโรไนอ้างคำพยากรณ์จากหนังสืออิสยาห์ โยเอล มาลาคี และกิจการของอัครทูตในพระคัมภีร์ไบเบิล ท่านอธิบายว่าพระเจ้าจะเสด็จมาในไม่ช้า และครอบครัวมนุษย์จะไม่บรรลุจุดประสงค์ของการสร้างพวกเขาเว้นแต่จะต่อพันธสัญญาโบราณของพระผู้เป็นเจ้าก่อน10 โมโรไนกล่าวว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเลือกโจเซฟให้ต่อพันธสัญญานั้น และถ้าท่านเลือกซื่อสัตย์ต่อพระบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า ท่านจะเป็นคนเปิดเผยบันทึกบนแผ่นจารึก11
ก่อนจากไป เทพบัญชาให้โจเซฟดูแลแผ่นจารึกและต้องไม่ให้ใครเห็นเว้นแต่จะมีคำสั่งเป็นอื่น โดยเตือนท่านว่าท่านจะถูกทำลายหากท่านไม่เชื่อฟังคำแนะนำนี้ จากนั้นแสงสว่างรวมกันรอบกายโมโรไนและท่านขึ้นสู่สวรรค์12
ขณะโจเซฟนอนครุ่นคิดถึงนิมิตนั้น แสงสว่างกระจายทั่วห้องอีกครั้งและโมโรไนปรากฏโดยให้ข่าวสารเช่นเดียวกันกับครั้งก่อน แล้วท่านก็จากไปเพียงเพื่อปรากฏอีกครั้งและให้ข่าวสารครั้งที่สาม
“ต่อไปนี้ โจเซฟ จงระวัง” โมโรไนกล่าว “เมื่อท่านไปเอาแผ่นจารึก ความนึกคิดของท่านจะเต็มไปด้วยความมืด และความชั่วทุกรูปแบบจะแวบเข้ามาในความนึกคิดของท่านเพื่อขัดขวางท่านไม่ให้รักษาพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า” โมโรไนสั่งโจเซฟให้ไปหาคนที่จะสนับสนุนท่านโดยเร่งท่านให้ไปบอกบิดาเกี่ยวกับนิมิตที่ท่านเห็น
“เขาจะเชื่อทุกคำที่ท่านพูด” เทพสัญญา13
เช้าวันรุ่งขึ้น โจเซฟไม่พูดอะไรเกี่ยวกับโมโรไนทั้งที่รู้ว่าบิดาเชื่อเรื่องนิมิตและเรื่องเทพด้วย แต่ทั้งสองใช้เวลาเช้าเก็บเกี่ยวพืชผลในทุ่งใกล้เคียงพร้อมกับอัลวิน
งานนั้นยากลำบาก โจเซฟพยายามทำให้ทันพี่ชายขณะพวกท่านใช้เคียวเกี่ยวต้นข้าวสาลีที่ขึ้นสูง แต่การเยือนของโมโรไนทำให้ท่านตื่นทั้งคืน และความคิดท่านวนเวียนอยู่กับบันทึกโบราณและเนินเขาที่ฝังบันทึกนั้น
ไม่นานท่านก็หยุดพัก และอัลวินสังเกตเห็น “เราต้องทำต่อไปนะ” เขาร้องเรียกโจเซฟ “ไม่อย่างนั้นเราจะทำงานไม่เสร็จ”14
โจเซฟพยายามทำงานหนักขึ้นและเร็วขึ้น แต่ไม่ว่าท่านจะทำอย่างไร ท่านก็ทำไม่ทันอัลวิน ครู่หนึ่งหลังจากนั้น โจเซฟ ซีเนียร์สังเกตเห็นโจเซฟหน้าซีดและหยุดพักอีก “กลับบ้านเถอะลูก” เขาบอก โดยเชื่อว่าบุตรชายป่วย
โจเซฟเชื่อฟังบิดาและเดินโซเซกลับบ้าน แต่เมื่อพยายามข้ามรั้ว ท่านหมดแรงล้มแน่นิ่งอยู่บนพื้นดิน
ขณะนอนอยู่ที่นั่นพลางรวบรวมกำลัง ท่านเห็นโมโรไนยืนอยู่เหนือท่านอีกครั้ง ล้อมรอบด้วยแสงสว่าง “ทำไมไม่บอกบิดาตามที่ข้าพเจ้าบอกท่านเล่า” เทพถาม
โจเซฟตอบว่าท่านกลัวว่าบิดาจะไม่เชื่อท่าน
“เขาจะเชื่อ” โมโรไนรับรอง จากนั้นจึงทวนข่าวสารเมื่อคืน15
โจเซฟ ซีเนียร์ร้องไห้เมื่อบุตรชายเล่าเรื่องเทพกับข่าวสารของเทพให้ฟัง “นั่นเป็นนิมิตจากพระผู้เป็นเจ้า” เขากล่าว “จงทำตามนั้น”16
โจเซฟเดินไปที่เนินเขาทันที เมื่อคืน โมโรไนแสดงให้ท่านเห็นนิมิตของที่ซ่อนแผ่นจารึก ท่านจึงรู้ว่าจะไปที่ใด เนินเขาลูกหนึ่งในบรรดาลูกใหญ่ที่สุดในละแวกนั้น อยู่ห่างจากบ้านท่านราวสามไมล์ แผ่นจารึกฝังอยู่ใต้ศิลาทรงกลมขนาดใหญ่ทางด้านตะวันตกของเนินเขาลูกนี้ ไม่ห่างจากยอด
โจเซฟเดินนึกถึงแผ่นจารึก ทั้งที่รู้ว่าแผ่นจารึกศักดิ์สิทธิ์ แต่ท่านก็อดสงสัยไม่ได้ว่ามีมูลค่าเท่าใด ท่านเคยได้ยินนิทานเรื่องขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ซึ่งมีเทพารักษ์คุ้มครอง แต่โมโรไนกับแผ่นจารึกที่พูดถึงต่างจากเรื่องเหล่านี้ โมโรไนเป็นผู้ส่งสารจากสวรรค์ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงแต่งตั้งให้มามอบบันทึกแก่ผู้หยั่งรู้ที่พระองค์ทรงเลือกไว้ และแผ่นจารึกมีค่าไม่ใช่เพราะเป็นทองคำ แต่เพราะเป็นพยานถึงพระเยซูคริสต์
โจเซฟยังอดคิดไม่ได้ว่าตอนนี้ท่านรู้แล้วว่าจะหาทรัพย์สมบัติมากพอจะทำให้ครอบครัวท่านหลุดพ้นจากความอัตคัดขัดสนได้จากที่ใด17
เมื่อมาถึงเนินเขา โจเซฟพบบริเวณที่ท่านเห็นในนิมิตและเริ่มขุดตรงฐานหินจนขอบโล่งเตียน จากนั้นท่านพบกิ่งไม้ขนาดใหญ่และใช้เป็นชะแลงงัดก้อนหินออกมาไว้ข้างๆ
ใต้หินกลมก้อนใหญ่มีหีบใบหนึ่ง ผนังด้านข้างและฐานทำจากหิน เมื่อมองเข้าไป โจเซฟเห็นแผ่นจารึกทองคำ ศิลาผู้หยั่งรู้ และแผ่นทับทรวง19 แผ่นจารึกเต็มไปด้วยตัวหนังสือโบราณและด้านข้างด้านหนึ่งมีห่วงสามห่วงคล้องแผ่นจารึกไว้ด้วยกัน แผ่นจารึกแต่ละแผ่นกว้างหกนิ้ว ยาวแปดนิ้ว และบาง ส่วนหนึ่งของแผ่นจารึกดูเหมือนจะถูกผนึกไว้ไม่ให้ใครอ่านได้20
โจเซฟประหลาดใจและสงสัยอีกครั้งว่าแผ่นจารึกมีมูลค่าเท่าใด ท่านเอื้อมมือไปหยิบ—และรู้สึกว่ามีกระแสไหลผ่านจนท่านสะดุ้ง ท่านชักมือกลับแล้วเอื้อมมือไปหยิบอีกสองครั้งและสะดุ้งทุกครั้ง
“ทำไมผมหยิบไม่ได้” ท่านร้องเสียงดัง
“เพราะท่านไม่ได้รักษาพระบัญญัติของพระเจ้า” เสียงตอบอยู่ใกล้ๆ21
โจเซฟเหลียวไปเห็นโมโรไน ทันทีที่ข่าวสารจากคืนก่อนหลั่งไหลเข้ามาในความคิดท่าน ท่านเข้าใจว่าท่านลืมจุดประสงค์แท้จริงของบันทึกเสียแล้ว ท่านเริ่มสวดอ้อนวอน ความนึกคิดและจิตวิญญาณท่านตื่นมารับพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
“ดูนี่สิ” โมโรไนบัญชา อีกนิมิตหนึ่งเผยต่อโจเซฟ และท่านเห็นซาตานห้อมล้อมด้วยไพร่พลนับไม่ถ้วน “เราแสดงให้ท่านเห็นทั้งหมดนี้ ความดีและความชั่ว ความบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์ รัศมีภาพของพระผู้เป็นเจ้าและอำนาจของความมืด” เทพประกาศ “เพื่อให้ท่านรู้ความแตกต่างระหว่างอำนาจสองอย่างและไม่ยอมให้คนชั่วคนนั้นมีอิทธิพลต่อท่านหรือเอาชนะท่าน”
เทพสอนโจเซฟให้มีใจบริสุทธิ์และทำจิตใจให้หนักแน่นเพื่อรับบันทึก “การจะได้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ต้องได้ด้วยการสวดอ้อนวอนและการเชื่อฟังพระเจ้าโดยครบถ้วน” โมโรไนอธิบาย “แผ่นจารึกเหล่านี้ไม่ได้ฝังไว้ที่นี่เพราะเห็นแก่ประโยชน์และความมั่งคั่งที่สั่งสมไว้เพื่อให้ได้เกียรติยศของโลกนี้ แผ่นจารึกผนึกไว้โดยคำสวดอ้อนวอนแห่งศรัทธา”22
โจเซฟถามว่าท่านจะได้แผ่นจารึกเมื่อใด
“วันที่ยี่สิบสองเดือนกันยายนถัดไป” โมโรไนตอบ “ถ้าท่านพาคนที่เหมาะสมมากับท่าน”
“ใครคือคนที่เหมาะสม” โจเซฟถาม
“พี่ชายคนโตของท่าน”23
ตั้งแต่เด็กโจเซฟรู้ว่าท่านสามารถเชื่อใจพี่ชายคนโตได้ เวลานี้อัลวินอายุยี่สิบห้าปีและซื้อฟาร์มของเขาเองได้ถ้าเขาต้องการ แต่เขาเลือกอยู่ทำฟาร์มของครอบครัวเพื่อช่วยให้พ่อแม่ได้ลงหลักปักฐานบนที่ดินของพวกท่านเมื่ออายุมากขึ้น เขาเป็นคนเอาจริงเอาจังและขยันขันแข็ง โจเซฟรักและชื่นชมเขามาก24
บางทีโมโรไนอาจรู้สึกว่าโจเซฟต้องอาศัยสติปัญญาและความเข้มแข็งของพี่ชายเพื่อเป็นคนในแบบที่พระเจ้าจะวางพระทัยมอบแผ่นจารึกให้ได้
โจเซฟเหนื่อยขณะกลับบ้านคืนนั้น แต่ครอบครัวท่านมาห้อมล้อมท่านทันทีที่ผ่านประตูเข้ามาเพราะอยากรู้ว่าท่านพบอะไรที่เนินเขา โจเซฟเริ่มเล่าให้พวกเขาฟังเรื่องแผ่นจารึก แต่อัลวินขัดจังหวะเมื่อสังเกตว่าโจเซฟอิดโรย
“เราไปนอนก่อนเถอะ” เขาบอก “เราจะต้องตื่นไปทำงานแต่เช้า” พรุ่งนี้พวกเขาจะมีเวลามากเพื่อฟังเรื่องราวที่เหลือของโจเซฟ “ถ้าคุณแม่จะทำอาหารค่ำให้พวกเราเร็วหน่อย” เขากล่าว “เราจะได้มีค่ำคืนที่ยาวนานและทุกคนจะได้นั่งฟังน้องเล่า”25
เย็นวันต่อมา โจเซฟเล่าเหตุการณ์ที่เนินเขา และอัลวินเชื่อเขา ในฐานะลูกชายคนโตของครอบครัว อัลวินรู้สึกเสมอว่าต้องรับผิดชอบความผาสุกทางกายของพ่อแม่ที่แก่ตัวลง เขากับน้องชายถึงกับเริ่มสร้างบ้านหลังใหญ่ขึ้นเพื่อให้ครอบครัวอยู่สบายกว่าเดิม
ตอนนี้ดูเหมือนโจเซฟกำลังดูแลความผาสุกทางวิญญาณของพวกเขา คืนแล้วคืนเล่าที่ท่านสะกดครอบครัวด้วยการเล่าเรื่องแผ่นจารึกทองคำและคนที่เขียนแผ่นจารึกเหล่านั้น ครอบครัวสนิทกันมากขึ้น บ้านสงบและมีความสุข ทุกคนรู้สึกว่าสิ่งอัศจรรย์บางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น26
ต่อจากนั้น เช้าวันหนึ่งของฤดูใบไม้ร่วง หลังจากโมโรไนมาเยือนไม่ถึงสองเดือน อัลวินกลับมาบ้านด้วยอาการปวดท้องอย่างรุนแรง เขาคู้ตัวด้วยความเจ็บปวด ขอให้บิดาโทรขอความช่วยเหลือ เมื่อแพทย์มาถึง เขาให้อัลวินกินยาธาตุน้ำขาวจำนวนมาก ซึ่งรังแต่จะทำให้อาการหนักกว่าเดิม
อัลวินนอนบิดตัวด้วยความเจ็บปวดอยู่บนเตียงหลายวัน เขารู้ว่าเขาอาจจะตาย เขาจึงเรียกหาโจเซฟ “ทำทุกอย่างที่อยู่ในอำนาจของน้องเพื่อให้ได้แผ่นจารึกมา” อัลวินบอก “จงซื่อสัตย์ในการรับคำแนะนำสั่งสอนและรักษาพระบัญญัติทุกข้อที่พระองค์ประทาน”27
เขาสิ้นใจหลังจากนั้นไม่นาน ทั้งบ้านมีแต่ความโศกเศร้า ที่งานศพ นักเทศน์พูดทำนองว่าอัลวินตกนรกแล้ว โดยใช้ความตายของเขาเตือนคนอื่นๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงยื่นพระหัตถ์มาช่วยพวกเขาให้รอด โจเซฟ ซีเนียร์โกรธมาก บุตรชายของเขาเป็นคนดี และเขาไม่เชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าจะลงโทษบุตรชายให้ตกนรก28
การพูดเรื่องแผ่นจารึกจึงสิ้นสุดพร้อมกับการจากไปของอัลวิน เขาเป็นผู้สนับสนุนการเรียกอันศักดิ์สิทธิ์ของโจเซฟอย่างภักดีจนใครก็ตามที่พูดถึงแผ่นจารึกเขาจะนึกถึงการสิ้นชีวิตของอัลวิน ครอบครัวไม่อาจทนรับการจากไปของอัลวินได้
โจเซฟคิดถึงอัลวินมากและความตายของเขาทำให้ท่านทุกข์ใจมากเป็นพิเศษ ท่านหวังจะให้พี่ชายคนโตช่วยท่านให้ได้บันทึก ตอนนี้ท่านรู้สึกถูกทอดทิ้ง29
ในที่สุดเมื่อถึงวันกลับไปที่เนินเขา โจเซฟไปคนเดียว ท่านไม่แน่ใจว่าพระเจ้าจะทรงวางใจมอบแผ่นจารึกให้ท่านหรือไม่ถ้าไม่มีอัลวิน แต่ท่านคิดว่าท่านรักษาพระบัญญัติได้ทุกข้อที่พระเจ้าประทานให้ท่านตามที่พี่ชายแนะนำ คำสั่งของโมโรไนสำหรับการไปนำแผ่นจารึกมานั้นชัดเจน “ท่านต้องถือแผ่นจารึกตรงกลับบ้านโดยไม่ชักช้า” เทพบอก “และเก็บใส่กุญแจ”30
ที่เนินเขา โจเซฟงัดหินก้อนนั้นออก เอื้อมลงไปในหีบศิลา และยกแผ่นจารึกขึ้นมา จากนั้นความคิดหนึ่งแวบเข้ามาว่า สิ่งของอย่างอื่นในหีบมีค่าเช่นกันจึงน่าจะซ่อนไว้ก่อนท่านกลับบ้าน ท่านวางแผ่นจารึกและหันไปปิดหีบ แต่เมื่อท่านกลับมาที่แผ่นจารึก มันหายไปแล้ว! ท่านตกใจจนทรุดฮวบและวิงวอนขอให้รู้ว่าแผ่นจารึกอยู่ที่ไหน
โมโรไนปรากฏและบอกโจเซฟว่าท่านไม่ทำตามคำแนะนำอีกแล้ว ท่านไม่เพียงวางแผ่นจารึกก่อนจะแน่ใจว่าปลอดภัยแล้วเท่านั้น แต่ท่านปล่อยให้ห่างจากสายตาด้วย ผู้หยั่งรู้วัยหนุ่มเต็มใจทำงานของพระเจ้า แต่ท่านยังไม่สามารถคุ้มครองบันทึกโบราณได้
โจเซฟผิดหวังในตนเอง แต่โมโรไนแนะนำให้ท่านกลับมาเอาแผ่นจารึกปีหน้า โมโรไนสอนโจเซฟมากขึ้นเกี่ยวกับแผนของพระเจ้าสำหรับอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าและงานอันสำคัญยิ่งที่จะเริ่มออกมา
แต่หลังจากเทพไปแล้ว โจเซฟเดินลงจากเนินเขาอย่างเศร้าใจ กังวลว่าครอบครัวท่านจะคิดอย่างไรเมื่อท่านกลับบ้านมือเปล่า31 เมื่อท่านก้าวเข้าไปในบ้าน พวกเขารอท่านอยู่ บิดาท่านถามทันทีว่าท่านมีแผ่นจารึกไหม
“ไม่มีครับ” ท่านตอบ “ผมเอามาไม่ได้”
“ลูกเจอหรือเปล่า”
“ผมเจอครับแต่เอามาไม่ได้”
“พ่อเอามาได้แน่” โจเซฟ ซีเนียร์บอก “ถ้าพ่อเป็นลูก”
“พ่อไม่รู้ว่าพ่อพูดอะไร” โจเซฟกล่าว “ผมเอามาไม่ได้เพราะเทพของพระเจ้าไม่ยอมให้ผม”32