รู้สึกเหมือนอยู่บ้านอีกครั้ง
จูดี แรสเชอร์, รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา
ดิฉันไม่ได้เตรียมใจรับโทรศัพท์ของพี่ชาย “คุณแม่เสียแล้ว” เขาบอก “ท่านหกล้ม ศีรษะฟาดพื้น”
ดิฉันตกใจมาก คุณแม่จากไปแล้ว ดิฉันเพิ่งคุยกับท่านเมื่อคืน ดิฉันเฝ้าถามตัวเองว่าทำไมเกิดเรื่องนี้ ดิฉันไม่เข้าใจว่าทำไมท่านต้องไปจากดิฉัน ดิฉันโกรธ! ดิฉันโกรธอยู่หลายสัปดาห์
ในที่สุดดิฉันตัดสินใจโทษพระผู้เป็นเจ้า เป็นความผิดของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงพรากคุณแม่จากดิฉันเร็วเกินไป คุณแม่พลาดเหตุการณ์สำคัญหลายอย่างในชีวิตดิฉัน และดิฉันคิดว่านั่นเป็นเพราะพระองค์ เวลานั้นดิฉันไม่ได้เป็นสมาชิกของศาสนจักร แต่ดิฉันเป็นชาวคริสต์ที่เคร่งศาสนา แทนที่จะพึ่งพลังจากพระผู้เป็นเจ้า ดิฉันกลับหันหลังให้พระองค์และตัดพระองค์ออกจากชีวิตดิฉัน
ดิฉันคิดถึงคุณแม่มาก ขณะเติบใหญ่ บ้านที่ดิฉันอยู่กับพ่อแม่เป็นสถานที่ปลอดภัย ไม่ว่าดิฉันจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไร ทุกครั้งที่คุยกับคุณแม่หรือใช้เวลากับท่าน ดิฉันรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ตอนนี้ ความรู้สึก “เหมือนอยู่บ้าน” ไม่มีแล้ว
หลายปีผ่านไป ดิฉันแทบจะหมดศรัทธา ดิฉันพยายามเข้าใจว่าทำไมคุณแม่ต้องตาย แต่ไม่มีอะไรทำให้ดิฉันรู้สึกสงบได้เลย จากนั้น ราวหนึ่งสัปดาห์ ความคิดต่อไปนี้เข้ามาในใจดิฉันหลายครั้ง นั่นคือ ดิฉันต้องแหงนมองฟ้าเพื่อหาความเข้าใจ ดิฉันบอกเรื่องนี้กับเพื่อนรักที่เป็นสมาชิกของศาสนจักร เธอถามว่าดิฉันอยากเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับศาสนาของเธอไหม
ตอนนั้นดิฉันไม่เข้าใจ แต่พระวิญญาณปลุกจิตวิญญาณดิฉันจากการหลับสนิท ยิ่งดิฉันเรียนรู้เกี่ยวกับพระกิตติคุณมากเพียงใด ดิฉันยิ่งรู้สึกมากเพียงนั้นว่าดิฉันพบสถานที่ปลอดภัยอีกครั้ง ความรู้สึก “เหมือนอยู่บ้าน” กลับมา
ดิฉันรับบัพติศมาในเดือนพฤษภาคม ปี 2013 ดิฉันขอบพระทัยที่ศรัทธากลับมา ดิฉันไม่หันหลังให้พระผู้เป็นเจ้าอีก แต่น้อมรับพระองค์ ดิฉันยังคงเสียใจกับการจากไปอย่างกะทันหันของคุณแม่ แต่เพราะศรัทธาของดิฉันในพระผู้เป็นเจ้า ดิฉันจึงรู้ว่าสักวันหนึ่งดิฉันจะได้ “อยู่บ้าน” กับคุณแม่และครอบครัวของดิฉันตลอดไป