ฉันจะทำให้การศึกษาพระคัมภีร์ของฉันน่าสนใจมากขึ้นได้อย่างไร
ซาราห์ คีแนน
รัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา
ดิฉันกลับจากงานเผยแผ่ได้เพียงสามเดือนเมื่อดิฉันเริ่มมีปัญหาเรื่องการอ่านพระคัมภีร์
ดิฉันอ่านพระคัมภีร์ทุกวันเมื่อเป็นผู้สอนศาสนาและสัญญาว่าจะอ่านต่อเนื่องเมื่อกลับบ้าน แต่พอเวลาผ่านไป สถานการณ์ดูเหมือนไม่เป็นใจ ดิฉันมีการบ้านเยอะมาก งานยุ่งมาก หรือไม่ก็แค่เหนื่อยมาก ข้อแก้ตัวแต่ละอย่างทำให้ดิฉันอ่านพระคัมภีร์น้อยลงจนแทบไม่ได้อ่านเลย
คืนหนึ่งดิฉันเปิดพระคัมภีร์มอรมอนและตั้งใจว่าจะอ่านสักหนึ่งข้อ ข้อที่อ่านเตือนดิฉันว่าพระคัมภีร์มี “พระวจนะที่น่าพึงพอใจของพระผู้เป็นเจ้า, แท้จริงแล้ว, พระวจนะซึ่งรักษาจิตวิญญาณที่บาดเจ็บ” (เจคอบ 2:8)
ดิฉันไตร่ตรองข้อนี้และรับรู้ว่าการไม่สนใจศึกษาพระคัมภีร์มีผลเสียต่อดิฉัน ดิฉันรู้สึกเครียดมากขึ้นที่โรงเรียน เฉื่อยชามากขึ้นที่โบสถ์ และเหินห่างจากพระผู้เป็นเจ้ามากขึ้น จิตวิญญาณของดิฉันต้องการให้พระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าในพระคัมภีร์เยียวยาดิฉัน ดิฉันรู้ว่าต้องจัดลำดับความสำคัญใหม่
ดิฉันหันไปขอคำแนะนำจากเพื่อนๆ ครอบครัว และผู้นำศาสนจักรเพื่อทำให้การศึกษาพระคัมภีร์ของดิฉันน่าสนใจมากขึ้น ดิฉันพบสามสิ่งที่เป็นประโยชน์
หนึ่ง ดิฉันรับรู้ว่าการศึกษาพระคัมภีร์ตอนกลางคืนไม่ได้ผลสำหรับดิฉัน การศึกษาตอนเช้าทำให้ดิฉันได้ไตร่ตรองหลักคำสอนและหลักธรรมที่อ่านเช้านั้นตลอดวัน
สอง เราได้รับการสอนให้อ่านพระคัมภีร์กับครอบครัว แต่เนื่องจากดิฉันเรียนมหาวิทยาลัยและอยู่ห่างครอบครัว ดิฉันจึงเริ่มอ่านพระคัมภีร์กับเพื่อนร่วมชั้นและเพื่อนคนอื่นๆ การทำเช่นนี้ช่วยให้ดิฉันรับผิดชอบได้ต่อไป และจุดประกายการสนทนาพระกิตติคุณได้อย่างดีเยี่ยม
สาม ดิฉันเริ่มจดการกระตุ้นเตือนและความคิดที่ได้รับระหว่างศึกษาพระคัมภีร์ นี่ช่วยให้ดิฉันจดจ่อกับสิ่งที่อ่านและช่วยให้ดิฉันรับรู้สุรเสียงของพระวิญญาณดีขึ้น
เมื่อการศึกษาพระคัมภีร์มีความสำคัญในชีวิตดิฉันอีกครั้ง ดิฉันพบว่าดิฉันมีเวลาและพลังทำทุกสิ่งที่ดิฉันต้องทำให้สำเร็จมากขึ้น สำคัญที่สุดคือดิฉันรู้สึกใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าอีกครั้งขณะที่อ่านและไตร่ตรองพระคัมภีร์ ตอนนี้เมื่อดิฉันใช้เวลากับพระคัมภีร์ ดิฉันรู้สึกสงบและพบการเยียวยาสำหรับจิตวิญญาณของดิฉัน