จงเฝ้าระวัง
บทนี้เป็นบทที่ 4 ของประวัติศาสนจักรเชิงบรรยายสี่เล่มชุดใหม่ชื่อ วิสุทธิชน: เรื่องราวของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ในยุคสุดท้าย หนังสือจะมีอยู่ในรูปแบบที่พิมพ์แล้ว 14 ภาษา ในหมวดประวัติศาสนจักรของแอปพลิเคชันคลังค้นคว้าพระกิตติคุณ และที่ วิสุทธิชน.lds.org อีกหลายบทจะจัดพิมพ์ในฉบับต่อๆ ไปจนกว่าจะออกเล่ม 1 ช่วงปลายปีนี้ บทเหล่านั้นจะมีให้อ่าน 47 ภาษาในแอปพลิเคชันคลังค้นคว้าและที่ วิสุทธิชน.lds.org
เอ็มมา เฮล อายุยี่สิบเอ็ดปีได้ยินเกี่ยวกับโจเซฟ สมิธครั้งแรกเมื่อเขามาทำงานให้โยสิยาห์ สโตเวลล์ในฤดูใบไม้ผลิปี 1825 โยสิยาห์จ้างชายหนุ่มกับพ่อของเขาช่วยหาสมบัติที่ฝังไว้ในที่ดินของเขา1 ตำนานของชาวพื้นเมืองอ้างว่ากลุ่มนักสำรวจขุดเหมืองเงินและซ่อนสมบัติไว้ในบริเวณนั้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน โดยที่รู้ว่าโจเซฟมีพรสวรรค์ในการใช้ศิลาผู้หยั่งรู้ โยสิยาห์จึงเสนอค่าจ้างงามและส่วนแบ่งหากเขาจะช่วยค้นหา2
ไอแซค พ่อของเอ็มมาสนับสนุนงานนี้ เมื่อโจเซฟและพ่อของเขามาที่ไร่สโตเวลล์ในฮาร์โมนีย์ รัฐเพนน์ซิลเวเนีย—หมู่บ้านที่อยู่ห่างจากพอลไมราไปทางใต้ 240 กิโลเมตร—ไอแซคทำหน้าที่เป็นพยานเมื่อพวกเขาลงชื่อทำสัญญา เขาให้คนงานพักอยู่ที่บ้านของเขาด้วย3
เอ็มมาพบกับโจเซฟหลังจากนั้นไม่นาน เขาอายุน้อยกว่าเธอ สูงร้อยแปดสิบกว่าเซนติเมตรและดูเป็นคนที่เคยชินกับการทำงานหนัก เขามีตาสีฟ้า ผิวขาว และเขาเดินกะโผลกกะเผลกเล็กน้อย ไวยากรณ์ของเขาลักลั่น บางครั้งใช้คำพูดเยิ่นเย้อในการแสดงความคิดเห็น แต่ก็ดูออกว่ามีความเฉลียวฉลาดโดยธรรมชาติเมื่อเขาพูด เขาและพ่อของเขาเป็นคนดีที่ชอบนมัสการด้วยตนเองแทนที่จะเข้าร่วมศาสนจักรที่เอ็มมาและครอบครัวของเธอนมัสการ4
ทั้งโจเซฟและเอ็มมาชอบกิจกรรมกลางแจ้ง ตั้งแต่เด็ก เอ็มมาชอบขี่ม้าและพายเรือแคนูในแม่น้ำใกล้บ้านเธอ โจเซฟไม่ได้เป็นนักขี่ม้าที่เชี่ยวชาญ แต่เขาเก่งกีฬามวยปล้ำและกีฬาที่ใช้ลูกบอล เขามีท่าทีเป็นกันเองเมื่ออยู่กับคนอื่น ยิ้มง่าย และมักจะเล่าเรื่องตลกขบขัน เอ็มมาเป็นคนเก็บตัวมากกว่าแต่เธอชอบฟังเรื่องขำขันที่ดีและคุยได้กับทุกคน เธอชอบอ่านหนังสือและร้องเพลงด้วย5
หลายสัปดาห์ผ่านไป เอ็มมารู้จักโจเซฟดีขึ้น พ่อแม่ของเธอเริ่มกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขา โจเซฟเป็นคนงานจนๆ จากรัฐอื่น พวกเขาหวังว่าลูกสาวจะเลิกสนใจโจเซฟและแต่งงานกับคนที่มาจากครอบครัวมีฐานะในหมู่บ้านเดียวกัน พ่อของเอ็มมาเริ่มหวาดระแวงเรื่องการค้นหาสมบัติและสงสัยเกี่ยวกับบทบาทของโจเซฟในงานนี้เช่นกัน ดูเหมือนไอแซค เฮลจะไม่ใส่ใจกับเรื่องที่โจเซฟพยายามโน้มน้าวให้โยสิยาห์ สโตเวลล์ล้มเลิกการค้นหาเมื่อเห็นได้ชัดว่าจะไม่ได้อะไรเลย6
เอ็มมาชอบโจเซฟมากกว่าผู้ชายคนอื่นที่เธอรู้จักและเธอไม่เลิกคบกับเขา หลังจากโจเซฟประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวโยสิยาห์ให้ล้มเลิกการค้นหาเหรียญเงิน เขายังอยู่ในฮาร์โมนีย์ต่อไปเพื่อทำงานในไร่โยสิยาห์ บางครั้งเขาทำงานให้โจเซฟและโพลลี ไนท์ครอบครัวเจ้าของฟาร์มในแถบนั้นด้วย เมื่อว่างจากงาน เขาไปหาเอ็มมา7
หลังจากนั้นไม่นาน โจเซฟและศิลาผู้หยั่งรู้ของเขากลายเป็นหัวข้อซุบซิบนินทาในฮาร์โมนีย์ คนสูงวัยบางคนในเมืองเชื่อในผู้หยั่งรู้ แต่ลูกหลานหลายคนของพวกเขาไม่เชื่อ หลานชายของโยสิยาห์อ้างว่าโจเซฟเอาเปรียบลุงของเขา จึงนำชายหนุ่มมาที่ศาลและแจ้งข้อหาเขาว่าเป็นนักต้มตุ๋น
โจเซฟยืนอยู่ต่อหน้าผู้พิพากษาท้องถิ่น เขาอธิบายว่าเขาพบศิลาได้อย่างไร โจเซฟ ซีเนียร์เป็นพยานว่าเขาทูลขอพระผู้เป็นเจ้าอยู่เสมอให้แสดงพระประสงค์ของพระองค์ต่อพวกเขาเกี่ยวกับของประทานอันน่าอัศจรรย์ของโจเซฟในฐานะผู้หยั่งรู้ ในที่สุด โยสิยาห์ยืนต่อหน้าศาลและกล่าวว่าโจเซฟไม่ได้ฉ้อโกงเขา
“ข้าพเจ้าเข้าใจถูกหรือไม่” ผู้พิพากษากล่าว “ว่าท่านเชื่อว่านักโทษคนนี้มองเห็นได้ด้วยความช่วยเหลือจากศิลา”
ไม่ โยสิยาห์ยืนยัน “ข้าพเจ้ารู้อย่างแน่ชัดว่านั่นเป็นเรื่องจริง”
โยสิยาห์เป็นบุคคลที่ผู้คนในชุมชนนับถือและยอมรับถ้อยคำของเขา ในที่สุด การพิจารณาคดีไม่พบหลักฐานว่าโจเซฟหลอกลวงเขา ผู้พิพากษาจึงยกคำร้องดังกล่าว8
ในเดือนกันยายน ปี 1826 โจเซฟกลับไปที่เนินเขาเพื่อรับแผ่นจารึก แต่โมโรไนบอกว่าเขายังไม่พร้อม “จงถอนตัวจากกลุ่มนักล่าสมบัติ” ทูตสวรรค์บอกเขา มีคนชั่วอยู่ในบรรดาพวกเขา9 โมโรไนให้เวลาท่านอีกหนึ่งปีเพื่อทำให้ความประสงค์ของเขาตรงกันกับพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า หากเขาไม่ทำเช่นนั้น ทูตสวรรค์จะไม่มอบแผ่นจารึกให้เขา
ทูตสวรรค์บอกเช่นกันว่า คราวหน้าให้เขาพาคนบางคนไปกับเขาด้วย เป็นคำขอเดียวกันกับที่ท่านเคยขอไว้ในตอนท้ายของการไปเยือนโจเซฟครั้งแรกที่เนินเขา แต่เนื่องจากอัลวินสิ้นชีวิต โจเซฟจึงสับสน
“ใครคือคนที่เหมาะสม” เขาถาม
“เจ้าจะรู้” โมโรไนกล่าว
โจเซฟแสวงหาการนำทางจากพระเจ้าผ่านศิลาผู้หยั่งรู้ของเขา เขารู้ว่าคนที่เหมาะสมคือเอ็มมา10
โจเซฟสนใจเอ็มมาตั้งแต่เขาพบเธอ เช่นเดียวกับอัลวิน เธอเป็นคนที่จะช่วยให้เขากลายเป็นชายที่พระเจ้าทรงต้องการให้ทำงานของพระองค์ แต่เอ็มมาเป็นมากกว่านั้น โจเซฟรักเธอและต้องการแต่งงานกับเธอ11
ในเดือนธันวาคม โจเซฟอายุยี่สิบเอ็ดปี ในอดีต เขาปล่อยให้ตนเองถูกชักจูงไปทางนั้นทางนี้โดยความคาดหวังของคนที่ต้องการได้ประโยชน์จากพรสวรรค์ของเขา12 แต่หลังจากการไปเยือนเนินเขาครั้งสุดท้าย เขารู้ว่าเขาต้องทำมากขึ้นเพื่อเตรียมตัวรับแผ่นจารึก
ก่อนกลับไปฮาร์โมนีย์ โจเซฟพูดกับพ่อแม่ของเขา “ผมตัดสินใจว่าจะแต่งงาน” เขาบอกพวกท่าน “หากพ่อกับแม่ไม่มีอะไรคัดค้าน นางสาวเอ็มมา เฮลคือคนที่ผมเลือก” พ่อแม่พอใจกับการเลือกของเขา และลูซีสนับสนุนให้โจเซฟมาอยู่กับพวกเขาหลังจากแต่งงาน13
โจเซฟใช้เวลาอยู่กับเอ็มมามากเท่าที่เป็นไปได้ในฤดูหนาวนั้น บางครั้งเขายืมรถลากเลื่อนของครอบครัวไนท์เมื่อหิมะทำให้เดินทางไปบ้านครอบครัวเฮลลำบาก แต่พ่อแม่ของเธอยังคงไม่ชอบเขา ความพยายามของเขาที่จะเอาชนะครอบครัวนี้ล้มเหลว14
ในเดือนมกราคม ปี 1827 เอ็มมาไปเยี่ยมบ้านครอบครัวสโตเวลล์ ซึ่งที่นั่นเธอและโจเซฟจะใช้เวลาด้วยกันได้โดยไม่มีสายตาคัดค้านจากครอบครัวเธอ โจเซฟขอเอ็มมาแต่งงานที่นั่น ในตอนแรกเอ็มมาดูเหมือนจะแปลกใจ เธอรู้ว่าพ่อแม่ของเธอจะต่อต้านการแต่งงาน15 แต่โจเซฟขอให้เธอคิดดูก่อน พวกเขาแอบแต่งงานกันตอนนั้นได้เลยโดยไม่ต้องให้พ่อแม่เธอรับรู้
เอ็มมาไตร่ตรองคำขอแต่งงาน การแต่งงานกับโจเซฟจะทำให้พ่อแม่เธอผิดหวัง แต่นั่นเป็นการเลือกของเธอและเธอรักเขา16
หลังจากนั้นไม่นาน ในวันที่ 18 มกราคม ปี 1827 โจเซฟกับเอ็มมาแต่งงานกันในบ้านของผู้พิพากษาศาลแขวง จากนั้นพวกเขาไปที่แมนเชสเตอร์และเริ่มต้นชีวิตด้วยกันในบ้านหลังใหม่ของพ่อแม่โจเซฟ บ้านหลังนั้นสะดวกสบาย แต่โจเซฟ ซีเนียร์กับลูซีใช้เงินมากเกินไปเพื่อให้มีบ้านหลังนี้ จึงค้างค่างวดและถูกยึดบ้าน ตอนนี้พวกเขาเช่าบ้านหลังนี้จากเจ้าของใหม่17
ครอบครัวสมิธชอบให้โจเซฟและเอ็มมาอยู่กับเขา แต่การเรียกจากสวรรค์ของลูกชายทำให้พวกเขากังวล ผู้คนแถบนั้นได้ยินเรื่องแผ่นจารึกทองคำและบางครั้งก็ไปหาแผ่นจารึก18
วันหนึ่งโจเซฟไปทำธุระในเมือง โดยที่คาดว่าเขาจะกลับมารับประทานอาหารเย็น พ่อแม่เขากังวลใจที่เขาไม่กลับมา พวกเขารอหลายชั่วโมงและนอนไม่หลับ ในที่สุดโจเซฟก็เปิดประตูและทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า
“ทำไมลูกถึงกลับบ้านดึก” พ่อเขาถาม
“ผมถูกตีสอนอย่างหนักที่สุดเท่าที่ผมเคยได้รับในชีวิตผมครับ” โจเซฟกล่าว
“ใครตีสอนลูกหรือ” พ่อเขาถาม
“ทูตสวรรค์ของพระเจ้าครับ” โจเซฟตอบ “ทูตสวรรค์บอกว่าผมละเลย” วันที่เขาต้องพบกับโมโรไนครั้งต่อไปใกล้จะถึงแล้ว “ผมต้องรีบทำหลายอย่าง” เขากล่าว “ผมต้องเริ่มทำสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้ผมทำ”19
หลังจากการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง โยสิยาห์ สโตเวลล์และโจเซฟ ไนท์เดินทางไปทำธุระแถบแมนเชสเตอร์ ชายทั้งสองรู้ว่าใกล้จะครบรอบสี่ปีที่โจเซฟไปเยือนเนินเขานั้น และพวกเขาอยากรู้ว่าในที่สุดโมโรไนจะมอบแผ่นจารึกให้โจเซฟหรือไม่
พวกนักค้นหาสมบัติในท้องถิ่นรู้ด้วยว่าถึงเวลาที่โจเซฟจะได้รับบันทึก ก่อนหน้านี้นักค้นหาสมบัติคนหนึ่งชื่อซามูเอล ลอเรนซ์ตระเวนอยู่ที่เนินเขาเพื่อค้นหาแผ่นจารึก โดยที่กังวลว่าซามูเอลจะก่อเรื่องยุ่งยาก โจเซฟจึงส่งพ่อของเขาไปที่บ้านซามูเอลในเย็นวันที่ 21 กันยายนเพื่อจับตาดูเขาและเผชิญหน้ากับเขาหากเขามีท่าทีว่าจะไปที่เนินเขา20
จากนั้นโจเซฟเตรียมตนเองให้พร้อมจะไปนำเอาแผ่นจารึกมา วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่เขาจะไปเยือนเนินเขาซึ่งเขาทำเป็นประจำทุกปี แต่เพื่อให้ไปถึงก่อนหน้านักค้นหาสมบัติ เขาวางแผนไปถึงเนินเขาหลังจากเที่ยงคืนไม่นาน—วันที่ 22 กันยายนช่วงเช้ามืด—เมื่อไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะออกไป
แต่เขายังจำเป็นต้องหาวิธีคุ้มครองแผ่นจารึกหลังจากที่เขาได้มา หลังจากครอบครัวเกือบทั้งหมดเข้านอน เขาถามแม่ของเขาเบาๆ ว่าเธอมีตู้นิรภัยหรือไม่ ลูซีไม่มีและกังวล
“ไม่เป็นไรครับ” โจเซฟบอก “ตอนนี้ผมไม่มีก็ไม่เป็นไร”21
ไม่นานเอ็มมาก็เข้ามาในห้อง แต่งกายในชุดขี่ม้า เธอกับโจเซฟขึ้นรถม้าของโจเซฟ ไนท์และออกเดินทาง22 เมื่อพวกเขาเดินทางไปถึงเนินเขา เอ็มมารออยู่ในรถม้าขณะที่โจเซฟปีนเนินเขาขึ้นไปยังที่ซึ่งซ่อนแผ่นจารึกไว้
โมโรไนปรากฏตัว โจเซฟยกแผ่นจารึกทองคำและศิลาผู้หยั่งรู้ออกจากหีบศิลา ก่อนที่โจเซฟจะเดินลงเนินไป โมโรไนเตือนเขาว่าอย่าให้ใครเห็นแผ่นจารึกยกเว้นคนที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ โดยสัญญากับเขาว่าแผ่นจารึกจะได้รับความคุ้มครองหากเขาทำทุกสิ่งในอำนาจของเขาเพื่อปกปักรักษาแผ่นจารึกเหล่านั้น
“เจ้าต้องเฝ้าระวังและซื่อสัตย์ต่อการพิทักษ์ของเจ้า” โมโรไนบอกเขา “มิฉะนั้นเจ้าจะถูกคนชั่วครอบงำ เพราะพวกเขาวางแผนและกลอุบายทุกอย่างที่ทำได้เพื่อจะนำเอาแผ่นจารึกไปจากเจ้า และหากเจ้าไม่เอาใจใส่อยู่ตลอดเวลา พวกเขาจะทำสำเร็จ”23
โจเซฟถือแผ่นจารึกลงเนินไป แต่ก่อนที่เขาจะไปถึงรถม้า เขามัดแผ่นจารึกซ่อนไว้ในท่อนไม้กลวงซึ่งจะปลอดภัยจนกว่าเขาได้รับตู้นิรภัย จากนั้นเขาพบกับเอ็มมา และพากันกลับบ้านในตอนย่ำรุ่ง24
ที่บ้านครอบครัวสมิธ ลูซีรอโจเซฟและเอ็มมาด้วยความกระวนกระวายใจขณะจัดหาอาหารเช้าให้โจเซฟ ซีเนียร์ โจเซฟ ไนท์ และโยสิยาห์ สโตเวลล์ หัวใจเธอเต้นแรงขณะทำงาน เกรงว่าลูกชายของเธอจะกลับมาโดยไม่มีแผ่นจารึก25
ไม่นานนัก โจเซฟกับเอ็มมาจึงเข้ามาในบ้าน ลูซีมองดูว่าโจเซฟมีแผ่นจารึกหรือไม่แต่เดินตัวสั่นออกจากห้องไปเมื่อเธอเห็นว่าเขาไม่ได้ถืออะไรมาด้วย
โจเซฟเดินตามเธอไป “แม่ครับ” เขาพูด “อย่ากังวล” เขายื่นวัตถุชิ้นหนึ่งซึ่งพันอยู่ในผ้าเช็ดหน้าให้เธอ ลูซีสัมผัสได้ถึงสิ่งที่เป็นเหมือนแว่นตาขนาดใหญ่ผ่านผ้า สิ่งนั้นคืออูริมและทูมมิม ศิลาผู้หยั่งรู้ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้สำหรับแปลแผ่นจารึก26
ลูซีรู้สึกปีติยินดี ดูประหนึ่งโจเซฟจะยกภูเขาออกจากอก แต่เมื่อเขาไปสมทบกับคนอื่นๆ ในบ้าน เขาทำหน้าเศร้าและรับประทานอาหารเช้าเงียบๆ หลังจากรับประทานเสร็จ เขาซบหน้ากับอุ้งมืออย่างสิ้นหวัง “ผมผิดหวัง” เขากล่าวกับโจเซฟ ไนท์
“โอ้” ชายที่สูงวัยกว่าพูด “ผมเสียใจ”
“ผมผิดหวังอย่างยิ่ง” โจเซฟย้ำ สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นยิ้ม “นี่ดีกว่าที่ผมคาดไว้ตั้งสิบเท่า!” จากนั้นเขาเริ่มอธิบายถึงขนาดและน้ำหนักของแผ่นจารึก เขาพูดถึงอูริมและทูมมิมอย่างตื่นเต้น
“ผมมองเห็นอะไรก็ได้” เขาบอก “สิ่งเหล่านั้นอัศจรรย์มาก”27
วันรุ่งขึ้นหลังจากเขาได้รับแผ่นจารึก โจเซฟไปทำงานซ่อมบ่อน้ำในเมืองใกล้เคียงเพื่อหาเงินซื้อตู้นิรภัย เช้าวันเดียวกันนั้น ขณะทำธุระอยู่อีกฟากหนึ่งของเนินเขาจากบ้านครอบครัวสมิธ โจเซฟ ซีเนียร์ ได้ยินชายกลุ่มหนึ่งวางแผนขโมยแผ่นจารึกทองคำ “เราจะเอาแผ่นจารึกให้ได้” คนหนึ่งในพวกนั้นพูด “ไม่ว่าจะต้องเจอกับโจ สมิธหรือมารทั้งหมดในนรก”
ด้วยความตระหนก โจเซฟ ซีเนียร์รีบกลับบ้านไปบอกเอ็มมา เธอบอกว่าเธอไม่รู้ว่าแผ่นจารึกอยู่ที่ไหน แต่เธอแน่ใจว่าโจเซฟเก็บรักษาไว้อย่างปลอดภัย
“ดี” โจเซฟ ซีเนียร์ตอบ “แต่จำไว้ว่าเอซาวสูญเสียพรและสิทธิบุตรหัวปีของเขาเพราะสิ่งเล็กน้อย มันอาจเป็นเช่นนั้นกับโจเซฟ”28
เพื่อให้มั่นใจว่าแผ่นจารึกปลอดภัย เอ็มมาควบม้านานกว่าหนึ่งชั่วโมงไปหาโจเซฟซึ่งกำลังทำงานอยู่ในไร่ เธอพบเขาอยู่ข้างบ่อ มอมแมมไปด้วยดินและเหงื่อจากการทำงานในวันนั้น เมื่อโจเซฟได้ยินเกี่ยวกับอันตราย เขามองเข้าไปในอูริมทูมมิมและเห็นว่าแผ่นจารึกยังปลอดภัย
ที่บ้าน โจเซฟ ซีเนียร์ เดินไปมาหน้าบ้าน เหลือบมองไปที่ถนนทุกนาทีจนเขาเห็นโจเซฟและเอ็มมา
“พ่อครับ” โจเซฟพูดเมื่อเขาขี่ม้ามาถึง “ทุกอย่างปลอดภัยดี—ไม่มีอะไรให้ต้องห่วง”29
แต่ถึงเวลาที่ต้องลงมือแล้ว
โจเซฟรีบไปที่เนินเขา พบท่อนไม้ซึ่งซ่อนแผ่นจารึก เขาห่อแผ่นจารึกไว้ในเสื้อตัวหนึ่งอย่างระมัดระวัง30 จากนั้นเขาหลบเข้าในป่าและมุ่งหน้ากลับบ้าน สายตาระแวดระวังอันตราย ป่าช่วยพรางสายตาไม่ให้คนที่อยู่บนถนนสายหลักมองเห็นเขา แต่ก็มีที่อีกมากมายให้โจรซุ่มซ่อน
น้ำหนักของบันทึกถ่วงเขาให้ช้าลง แต่โจเซฟก็เร่งเดินผ่านป่าให้เร็วที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ต้นไม้ล้มขวางทางตรงหน้าเขาและเมื่อเขากำลังจะข้าม เขารู้สึกว่ามีวัตถุบางอย่างกระแทกเขาจากข้างหลัง เมื่อหันกลับไป เขาเห็นชายคนหนึ่งพุ่งมาที่เขาแกว่งปืนเหมือนตะบอง
โดยใช้มือข้างหนึ่งจับแผ่นจารึกไว้แน่น โจเซฟเหวี่ยงชายคนนั้นล้มลงที่พื้นและรีบหนีเข้าไปในดงลึก เขาวิ่งไปประมาณหนึ่งกิโลเมตรเมื่อชายอีกคนโผล่ออกมาจากหลังต้นไม้ต้นหนึ่งและตีเขาด้วยด้ามปืน โจเซฟสู้กับชายคนนั้น จนสะบัดหลุดและรีบหนีไป พยายามวิ่งออกจากป่าอย่างไม่คิดชีวิต แต่ก่อนที่เขาจะไปได้ไกล ชายคนที่สามก็โจมตีเขา พุ่งตัวเข้าใส่เขาจนเซ เมื่อรวบรวมพละกำลังได้ โจเซฟชกชายคนนี้อย่างแรงและวิ่งกลับบ้าน31
เมื่อมาถึงบ้าน โจเซฟพุ่งผ่านประตูเข้ามาโดยมีห่อของหนักอยู่ในวงแขนข้างหนึ่ง “พ่อครับ” เขาร้องเรียก “ผมได้แผ่นจารึกมาแล้ว”
แคทเธอรีน น้องสาววัยสิบสี่ปีช่วยเขาวางห่อของลงบนโต๊ะขณะคนในครอบครัวที่เหลือพากันมามุงอยู่รอบๆ เขา โจเซฟบอกว่าพ่อและวิลเลียมน้องชายของเขาต้องการแกะห่อของ แต่เขาห้ามไว้
“พวกเราดูไม่ได้หรือ?” โจเซฟ ซีเนียร์ถาม
“ไม่ได้ครับ” โจเซฟตอบ “ครั้งแรกผมไม่เชื่อฟัง แต่คราวนี้ผมตั้งใจจะซื่อสัตย์”
โจเซฟบอกพวกเขาว่าพวกเขาสัมผัสแผ่นจารึกผ่านผ้าได้ วิลเลียม น้องชายของเขาลองยกห่อของนั้นขึ้นมา มันหนักกว่าหิน วิลเลียมบอกได้ว่ามีสิ่งของลักษณะเป็นแผ่นๆ เคลื่อนไหวเหมือนหน้าหนังสือ32 โจเซฟส่งดอน คาร์ลอส น้องชายคนเล็กของเขาไปรับตู้นิรภัยจากไฮรัมที่อยู่ท้ายถนนกับเยรูชา ภรรยาของเขาและลูกสาวที่เพิ่งเกิด
ไม่ช้าไฮรัมก็มาถึง เมื่อเก็บแผ่นจารึกไว้ในตู้อย่างปลอดภัยแล้ว โจเซฟล้มตัวลงนอนบนเตียงที่อยู่ใกล้ๆ และเริ่มเล่าให้ครอบครัวฟังเกี่ยวกับชายสามคนในป่า
เมื่อเขาพูด เขารู้สึกว่ามือเขาเจ็บ ระหว่างการโจมตีช่วงหนึ่ง นิ้วโป้งของเขาเคลื่อน
“พ่อครับ ผมต้องหยุดพูดแล้ว” เขาพูดขึ้นมาทันใด “อยากให้พ่อช่วยดึงนิ้วโป้งผมให้เข้าที่”33