หลักธรรมของการปฏิบัติศาสนกิจ
หารือ เกี่ยวกับ ความต้องการ ของพวกเขา
ท่านไม่ต้องทำสิ่งนี้ตามลำพัง การหารือสามารถจัดเตรียมความช่วยเหลือที่ท่านต้องใช้ช่วยคนอื่นๆ
พระผู้เป็นเจ้าทรงเชื้อเชิญให้ท่านปฏิบัติศาสนกิจต่อบุคคลหรือครอบครัวในวอร์ดหรือสาขาของท่านตามความต้องการของพวกเขา ท่านจะทราบความต้องการเหล่านั้นได้อย่างไร หลักธรรมของการหารือคือกุญแจสำคัญซึ่งเป็นเรื่องที่ศาสนจักรให้ความสนใจตลอดมา
หลังจากสนทนาเรื่องที่เราคิดจะหารือกัน เราจะสำรวจดังนี้
-
การหารือกับพระบิดาบนสวรรค์
-
การหารือกับบุคคลและครอบครัวที่ได้รับมอบหมาย
-
การหารือกับคู่ของเรา
-
การหารือกับคนอื่นที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลบุคคลหรือครอบครัวเดียวกัน
การหารือกับผู้นำของเราจำเป็นเช่นกัน บทความต่อไปของหลักธรรมการปฏิบัติศาสนกิจใน เลียโฮนา จะสำรวจการหารือกับผู้นำตลอดจนบทบาทของการสัมภาษณ์ผู้ปฏิบัติศาสนกิจในขั้นตอนนั้น
เรื่องที่เราหารือกัน
การเข้าใจความต้องการจำเป็นต่อการปฏิบัติศาสนกิจต่อกัน แต่ความต้องการเหล่านั้นมีกี่แบบ และมีบางอย่างมากกว่าความต้องการที่เราควรทราบหรือไม่
ความต้องการมีหลายแบบ คนที่เรารับใช้อาจประสบความท้าทายทางอารมณ์ การเงิน ร่างกาย การศึกษา และอื่นๆ ความต้องการบางอย่างมีลำดับความสำคัญสูงกว่าความต้องการอื่น บางอย่างเราพร้อมจะช่วย แต่หลายอย่างอาจเรียกร้องให้เราขอความช่วยเหลือ ในความพยายามหาทางช่วยเหลือตามความต้องการทางโลก อย่าลืมว่าการเรียกให้เราปฏิบัติศาสนกิจรวมถึงการช่วยให้คนอื่นๆ ก้าวหน้าตามเส้นทางพันธสัญญา เตรียมรับศาสนพิธีฐานะปุโรหิตที่จำเป็นต่อความสูงส่ง
นอกจากจะหารือเกี่ยวกับความต้องการของบุคคลหรือครอบครัวแล้ว เราควรพยายามเรียนรู้คุณลักษณะและความสามารถของพวกเขาด้วย พวกเขาไม่ต้องการให้ช่วยเรื่องใด พวกเขามีของประทานและความสามารถอะไรบ้างที่อาจเป็นพรแก่ผู้อื่น พวกเขาเหมาะจะช่วยสร้างอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าอย่างไร การเข้าใจคุณลักษณะและความสามารถของบุคคลอาจสำคัญเท่าๆ กับการเข้าใจความต้องการของบุคคลนั้น
-
การหารือกับพระบิดาบนสวรรค์
ความเชื่อหลักประการหนึ่งของศาสนาเราคือพระบิดาบนสวรรค์ตรัสกับบุตรธิดาของพระองค์ (ดู หลักแห่งความเชื่อ 1:9) เมื่อเราได้รับงานมอบหมายใหม่ให้ปฏิบัติศาสนกิจต่อบางคน เราควรหารือกับพระบิดาบนสวรรค์ในการสวดอ้อนวอน ทูลขอให้เรามองเห็นและเข้าใจความต้องการตลอดจนคุณลักษณะและความสามารถของพวกเขา ขั้นตอนการหารือผ่านการสวดอ้อนวอนควรดำเนินต่อเนื่องตลอดงานมอบหมายให้เราปฏิบัติศาสนกิจ
-
การหารือกับบุคคลและครอบครัว
วิธีและเวลาที่เราใกล้ชิดบุคคลและครอบครัวที่เราได้รับเรียกให้รับใช้อาจแตกต่างตามสภาวการณ์ แต่การหารือกับบุคคลหรือครอบครัวนั้นโดยตรงจำเป็นต่อการสร้างความสัมพันธ์และเข้าใจความต้องการของพวกเขาตลอดจนวิธีที่พวกเขาต้องการให้ช่วย คำถามบางอย่างอาจต้องรอจนกว่าความสัมพันธ์แน่นแฟ้น แม้ไม่มีใครสร้างความสัมพันธ์เช่นนั้นได้ทันที แต่ลองทำดังนี้
-
ตรวจสอบว่าพวกเขาชอบให้ติดต่อเมื่อใดและอย่างไร
-
เรียนรู้เกี่ยวกับความสนใจและภูมิหลังของพวกเขา
-
มาพร้อมข้อเสนอว่าท่านจะช่วยได้อย่างไรและขอข้อเสนอจากพวกเขา
ขณะที่เราสร้างความไว้วางใจ เราอาจสนทนาความต้องการของบุคคลหรือครอบครัว ถามคำถามตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์กระตุ้นเตือน1 ตัวอย่างเช่น:
-
พวกเขาประสบความท้าทายอะไรบ้าง
-
ครอบครัวหรือบุคคลนั้นมีเป้าหมายอะไรบ้าง ตัวอย่างเช่น พวกเขาต้องการจัดสังสรรค์ในครอบครัวเป็นประจำมากขึ้น หรือพึ่งพาตนเองมากขึ้นหรือไม่
-
เราจะช่วยพวกเขาเรื่องเป้าหมายและความท้าทายได้อย่างไร
-
ศาสนพิธีพระกิตติคุณลำดับต่อไปที่พวกเขาต้องได้รับคืออะไร เราจะช่วยพวกเขาเตรียมได้อย่างไร
พึงจดจำว่าต้องเสนอความช่วยเหลือที่จำเพาะเจาะจง เช่น “สัปดาห์นี้เราจะนำอาหารมาให้คุณได้คืนไหน” ข้อเสนอที่คลุมเครืออย่างเช่น “บอกเรานะครับถ้ามีอะไรที่เราช่วยได้” ไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด
-
-
การหารือกับคู่ของเรา
เพราะท่านกับคู่อาจไม่อยู่ด้วยกันทุกครั้งที่ท่านปฏิสัมพันธ์กับบุคคลหรือครอบครัว การประสานงานและหารือกันขณะท่านแสวงหาการดลใจด้วยกันจึงเป็นเรื่องสำคัญ ลองพิจารณาคำถามต่อไปนี้:
-
ท่านจะสื่อสารกับคู่อย่างไรและบ่อยเพียงใด
-
ท่านจะใช้ข้อดีของแต่ละฝ่ายปฏิบัติศาสนกิจตามความต้องการของบุคคลหรือครอบครัวได้อย่างไร
-
ท่านได้เรียนรู้เรื่องใดบ้าง ท่านเคยมีประสบการณ์อะไรบ้าง และท่านได้รับการกระตุ้นเตือนอะไรบ้างตั้งแต่คราวที่แล้วที่ท่านพูดคุยกันเกี่ยวกับบุคคลหรือครอบครัว
-
-
การหารือกับคนอื่นๆ ที่ได้รับมอบหมาย
การพูดคุยเป็นครั้งคราวกับคนอื่นๆ ที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติศาสนกิจต่อบุคคลหรือครอบครัวเดียวกับท่านอาจเป็นเรื่องดี
สื่อสารเพื่อแก้ไขความท้าทาย
เอ็ลเดอร์ชี ฮอง (แซม) วองแห่งสาวกเจ็ดสิบประยุกต์ใช้เรื่องราวจาก มาระโก 2 กับสมัยของเราเพื่ออธิบายว่าการหารือกันทำให้คนสี่คนพบวิธีช่วยให้คนง่อยได้อยู่เบื้องพระพักตร์พระเยซูอย่างไร
“เรื่องอาจเกิดขึ้นทำนองนี้” เอ็ลเดอร์วองกล่าว “มีคนสี่คนกำลังทำงานมอบหมายจากอธิการให้ไปเยี่ยมชายคนหนึ่งที่ป่วยเป็นง่อยที่บ้านของเขา … ในสภาวอร์ดครั้งล่าสุด หลังจากหารือกันเกี่ยวกับความต้องการในวอร์ด อธิการให้งานมอบหมาย ‘ให้ช่วยเหลือ’ ทั้งสี่คนได้รับมอบหมายให้ไปช่วยชายคนนี้ …
“[เมื่อพวกเขามาถึงเรือนที่พระเยซูประทับ] ห้องแออัดมาก พวกเขาเข้าทางประตูไม่ได้ ข้าพเจ้าแน่ใจว่าพวกเขาคงพยายามทำทุกอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ยังเข้าไปไม่ได้ … พวกเขาหารือกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป—จะนำชายคนนี้ไปให้พระเยซูคริสต์รักษาได้อย่างไร … พวกเขาวางแผน—แผนไม่ง่าย แต่พวกเขาลงมือทำจริง
“… ‘พวกเขาจึงเจาะดาดฟ้าตรงที่พระองค์ประทับนั้น และเมื่อทำเป็นช่องแล้วพวกเขาก็หย่อนแคร่ที่คนง่อยนอนอยู่ลงไป’ (มาระโก 2:4) …
“… ‘เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นความเชื่อของพวกเขา พระองค์จึงตรัสกับคนง่อยว่า ลูกเอ๋ยบาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว’ (มาระโก 2:5)”2
คำเชื้อเชิญให้ปฏิบัติ
เอ็ลเดอร์ดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟแห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองกระตุ้นให้ “ปรึกษาหารือกัน ใช้ทรัพยากรทุกอย่างที่มี แสวงหาการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทูลถามการยืนยันจากพระเจ้า จากนั้นพับแขนเสื้อและออกไปทำงาน
“ข้าพเจ้าสัญญากับท่านว่า ถ้าท่านทำตามแบบแผนนี้ ท่านจะได้รับการนำทางที่เจาะจงแต่ละด้านไม่ว่าจะเป็นการจัดหา สิ่งใด ให้ใคร เมื่อไร และ ที่ไหน ในวิธีของพระเจ้า”3