คนหนุ่มสาว
อย่าทิ้งพระผู้ช่วยให้รอด
จากคำปราศรัยให้ข้อคิดทางวิญญาณเรื่อง “เลนส์ของความจริง” ที่มหาวิทยาลัยบริคัม ยังก์–ไอดาโฮวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 2017 ดูบทความเต็มเป็นภาษาอังกฤษที่
เราอยู่ในช่วงเวลาที่วุ่นวาย แต่คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่าศาสนจักรจะจัดการอย่างไร อยู่ที่ว่าท่านและข้าพเจ้าจะจัดการอย่างไรมากกว่า
หลายปีก่อน ข้าพเจ้ากับเพื่อนคนหนึ่งรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน เราไม่ได้พบกันหลายปี ระหว่างเรียนมัธยมปลายและวิทยาลัยช่วงแรกๆ เขาเป็นเพื่อนสนิทที่สุดคนหนึ่งของข้าพเจ้า เขาเป็นชายหนุ่มที่เข้มแข็งที่สุดและมุ่งมั่นที่สุดคนหนึ่งที่ข้าพเจ้ารู้จัก
เราเรียนเซมินารีด้วยกัน เล่นกีฬาด้วยกัน เข้ามหาวิทยาลัยพร้อมกัน เตรียมเป็นผู้สอนศาสนาพร้อมกัน และไปเป็นผู้สอนศาสนาห่างกันไม่กี่เดือน หลังจากเป็นผู้สอนศาสนา เขาแต่งงานกับสตรีที่มีพรสวรรค์และยอดเยี่ยมคนหนึ่งจากสเตคของข้าพเจ้า
หลายปีผ่านไป ชีวิตเราเดินไปคนละทาง เราย้ายไปอยู่คนละเมืองและสุดท้ายก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก ข้าพเจ้ายังจำได้ว่าตกใจมากเมื่อทราบว่าเขากับภรรยาออกจากศาสนจักร ในบรรดาคนทั้งหมดที่ข้าพเจ้ารู้จักแต่เยาว์วัย เขาเป็นคนสุดท้ายที่ข้าพเจ้าคิดว่าจะทิ้งศาสนจักร
ขณะรับประทานอาหารกลางวันเราหวนนึกถึงมิตรภาพของเราที่มีความหมายต่อเราทั้งคู่มาก เราหัวเราะอีกครั้งกับประสบการณ์พิลึกพิลั่นสมัยก่อน เราคุยกันเกี่ยวกับครอบครัวของเราและพยายามปิดช่องว่างของเวลา
สุดท้าย ข้าพเจ้าถามคำถามชัดเจนว่า “ทิม เกิดอะไรขึ้น คุณเปลี่ยนใจเลื่อมใสอย่างลึกซึ้งและมุ่งมั่น! ทำไมคุณออกจากศาสนจักร อะไรทำให้คุณเดินออกจากพันธสัญญาพระวิหารของคุณ คุณละทิ้งพระผู้ช่วยให้รอดด้วยหรือ เราสัญญากันว่าเราจะซื่อสัตย์และแน่วแน่จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตเรานี่นา!”
“เควิน” เขาตอบ “ตอนนี้ผมแค่มองต่างจากเดิม ทัศนะของผมเกี่ยวกับศาสนจักรและคำสอนเปลี่ยนไป ผมไม่ได้เกลียดศาสนจักร—ผมแค่ไม่ต้องการศาสนจักรอีก”
เมื่อเราคุยกันจบแล้ว ผมแสดงความรักและความขอบคุณสำหรับมิตรภาพที่ข้าพเจ้ายังเห็นค่า จากนั้น ข้าพเจ้าแสดงประจักษ์พยานด้วยความรู้สึกลึกๆ ว่า “ทิม ผมรู้ว่าสิ่งเหล่านี้จริง และคุณรู้ด้วยว่าจริง คุณรู้มาตลอด คุณแค่สูญเสียความชัดเจนที่เคยมี แต่คุณสามารถกู้แสงสว่างและความเข้าใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่คุณเคยมีคืนมาได้ กลับมาเถอะนะ”
เราโอบกอดกันขณะกล่าวลา เขากระซิบว่า “ผมชื่นชมความเชื่อมั่นและความกระตือรือร้นของคุณ แต่คุณจะมั่นใจขนาดนั้นได้อย่างไร”
ขณะเดินจากมา ข้าพเจ้าใคร่ครวญการเลือกที่เราทำและผลของการเลือกเหล่านั้นต่อชีวิตเราและชีวิตลูกหลานของเรา
เพื่อนรุ่นเยาว์ทั้งหลาย ได้โปรดอย่าปล่อยให้สิ่งที่เกิดขึ้นกับทิมเพื่อนข้าพเจ้าเกิดขึ้นกับท่าน ท่านแน่วแน่ ไม่หวั่นไหว และเปลี่ยนใจเลื่อมใสอย่างที่ท่านคิดหรือไม่ เมื่อท่านเผชิญความท้าทายที่จำเป็นของชีวิตอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ ท่านจะหันไปหาสันติสุขและความเข้าใจที่ใด เมื่อชีวิตท่านมืดมนหม่นหมอง ท่านยังคิดที่จะสวดอ้อนวอนอย่างสม่ำเสมอโดยไม่ต้องมีใครบอกหรือไม่1
ขณะคำวิพากษ์วิจารณ์ศาสนจักร ประวัติศาสนจักร ผู้นำศาสนจักร และคำสอนของศาสนจักรเพิ่มขึ้น ท่านจะยืนที่ใด ขณะความเชื่อและการปฏิบัติของโลกที่มืดมนลงทุกขณะสวนทางกับหลักธรรมของพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟู ท่านจะทำอะไร
“พวกท่านก็จะไปจากเราด้วยหรือ?
อาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุดบางอย่างของซาตานคือการทำให้เขว การหลอกลวง และความเฉื่อยชาทางวิญญาณ แต่ละอย่างกัดกร่อนศรัทธา บดบังวิสัยทัศน์ และบิดเบือนทัศนะ ทั้งหมดนั้นเป็นความท้าทายใหญ่หลวงของสมัยเรา ซาตานใช้อาวุธเหล่านั้นไม่เพียงเพื่อทำลายโจเซฟ สมิธ พระคัมภีร์มอรมอน หลักคำสอนของศาสนจักร และผู้นำศาสนจักรเท่านั้นแต่โจมตีพระผู้ช่วยให้รอดและแผนของพระบิดาด้วย เป็นเช่นนั้นเสมอมา
เมื่อความเกรี้ยวกราดที่เลี่ยงไม่ได้ของการล่อลวงและความยากลำบากใกล้เคียงพายุทางวิญญาณระดับ 5 ท่านจะวางใจพระผู้เป็นเจ้าและแนบสนิทกับความจริงหรือไม่ คำถามแทงใจที่พระผู้ช่วยให้รอดตรัสถามอัครสาวกสิบสองยังคงมีผลในทุกวันนี้คือ
“พวกท่านก็จะจากเราไปด้วยหรือ?”
“ซีโมน เปโตรทูลตอบพระองค์ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า พวกข้าพระองค์จะจากไปหาใครได้? พระองค์ทรงมีถ้อยคำแห่งชีวิตนิรันดร์
“และพวกข้าพระองค์ก็เชื่อและทราบแล้วว่าพระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า” (ยอห์น 6:67–69)
ข้าพเจ้านึกถึงคำกล่าวอันเปี่ยมด้วยพลังของประธานฮีเบอร์ ซี. คิมบัลล์ (1801–1868) ที่ปรึกษาที่หนึ่งในฝ่ายประธานสูงสุด วิสุทธิชนมาถึงหุบเขาซอลท์เลคอย่างปลอดภัยและพอใจตนเองมาก พอเอาชนะและอดทนได้มาก พวกเขาก็จองหองและอวดดี ประธานคิมบัลล์กล่าวว่า
“ข้าพเจ้ากล่าวกับท่านว่าหลายคนในพวกท่านจะเห็นเวลาที่ท่านจะมีความทุกข์ การทดลอง และการข่มเหงทุกอย่างที่ท่านทนได้ และมีโอกาสหลายครั้งให้แสดงว่าท่านซื่อตรงต่อพระผู้เป็นเจ้าและงานของพระองค์ … เพื่อเผชิญความยากลำบากที่จะเกิดขึ้น ท่านจำเป็นต้องมีความรู้เรื่องความจริงของงานนี้ด้วยตัวท่านเอง … หากท่านไม่มีประจักษ์พยาน จงดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง ร้องทูลพระเจ้า และไม่หยุดจนกว่าจะได้รับ หากท่านไม่ทำสิ่งนี้ท่านจะทนไม่ได้
“… เวลาจะมาถึงเมื่อไม่มีชายหรือหญิงคนใดอดทนได้โดยอาศัยแสงสว่างที่ยืมมา แต่ละคนจะต้องมีแสงนำทางอยู่ในตนเอง หากท่านไม่มี ท่านจะทนได้อย่างไร”2
เราอยู่ในช่วงเวลาที่วุ่นวาย แต่คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่าศาสนจักรจะจัดการอย่างไร อยู่ที่ว่าท่านและข้าพเจ้าจะจัดการอย่างไรมากกว่า “มาตรฐานของความจริงได้รับการสถาปนา มือที่ไม่สะอาดไม่สามารถหยุดยั้งความก้าวหน้าของงานนี้ได้”3 ท่านและข้าพเจ้าก้าวหน้าไปกับงานนี้หรือไม่ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง
วิธีอยู่รอดทางวิญญาณ
ข้าพเจ้าเสนอสิ่งสำคัญหกข้อที่เราแต่ละคนต้องทำเพื่อความอยู่รอดทางวิญญาณ
1. รักและเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้าก่อน การรักและเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้าจำเป็นต้องมาก่อนการรักและรับใช้ผู้อื่น ลำดับเป็นเรื่องสำคัญ นีไฟสอนว่า “เพราะพระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าประทานความสว่างให้แก่ความเข้าใจ; เพราะพระองค์รับสั่งแก่มนุษย์ตามภาษาของพวกเขา, สู่ความเข้าใจของพวกเขา” (2 นีไฟ 31:3) พระบิดาบนสวรรค์ทรงรักเราและเต็มพระทัยประทานความเข้าใจแก่เราเสมอ แต่เราต้องให้พระองค์มาเป็นอันดับแรกในชีวิตเรา
2. สวดอ้อนวอนส่วนตัว การสวดอ้อนวอนเป็นสิ่งจำเป็น ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธสอนว่า “วิธีดีที่สุดที่จะได้รับความจริงและปัญญาไม่ใช่ถามจากหนังสือ [ท่านอาจจะเพิ่มคำว่า “บล็อก” เข้าไปด้วย] แต่เข้าเฝ้าพระผู้เป็นเจ้าในการสวดอ้อนวอนและได้รับการสอนจากเบื้องบน”4 ท่านจะไม่มีวันไม่คู่ควรแก่การสวดอ้อนวอน! หากท่านต้องการคำตอบมากขึ้น จงถามคำถามมากขึ้น จงแสวงหาและสวดอ้อนวอนขออิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เสมอ (ดู โมโรไน 10:5) นี่คือแสงสว่างที่พระบิดาส่งมาเพื่อให้เกิดความเข้าใจ
3. “แสวงหาการเรียนรู้, แม้โดยการศึกษาและโดยศรัทธาด้วย” (คพ. 109:7) การเรียนรู้เป็นหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ ผู้กระทำแสวงหาการเรียนรู้ วัตถุรอให้ถูกกระทำ ผู้นำที่ยิ่งใหญ่คือผู้เรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ ศาสนจักรต้องการผู้นำที่ยิ่งใหญ่—ชายหญิงที่แสวงหาความสว่างและความรู้มากขึ้น ความเข้าใจและการเปลี่ยนใจเลื่อมใสลึกซึ้งขึ้น (ดู คพ. 93:36) ทั้งหมดนี้เรียกร้องคำมั่นสัญญาและการอุทิศตน ท่านไม่สามารถพบความจริงอันลึกซึ้งโดยเลื่อนหน้าจอดูวิกิพีเดียหรือค้นข้อมูลตามบล็อกต่างๆ จำไว้ว่าศรัทธาเกิดจากการได้ฟังประจักษ์พยานของผู้มีศรัทธา ไม่ใช่จากการได้ยินความสงสัยของผู้สูญเสียศรัทธา
4. ค้นคว้าพระคัมภีร์ โดยเฉพาะพระคัมภีร์มอรมอน—ทุกวัน! พระคัมภีร์มอรมอนเขียนไว้อย่างชัดแจ้งเพื่อปกป้องคุ้มครองเราขณะเรารับมือกับสภาพต่างๆ ของยุคสมัย เกี่ยวกับพลังของพระคัมภีร์มอรมอน นีไฟเป็นพยานถึงราวเหล็กว่า “และข้าพเจ้ากล่าวแก่พวกเขาว่าราวเหล็กนั้นคือพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า; และผู้ใดที่สดับฟังพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า, และยึดมั่นในพระวจนะนั้นแล้ว, พวกเขาจะไม่พินาศเลย; ทั้งสิ่งล่อลวงและลูกศรเพลิงของปฏิปักษ์ก็ไม่อาจครอบงำพวกเขาไปสู่ความมืดบอด, เพื่อชักจูงพวกเขาไปสู่ความพินาศได้” (1 นีไฟ 15:24) หากท่านเริ่มรู้สึกสับสนและหลงทาง จงเริ่มอ่านหน้าหนึ่งอีกครั้ง และตั้งใจศึกษาพระคัมภีร์มอรมอน
5. มองภาพรวม ท่านเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอันยิ่งใหญ่ที่สุดบนแผ่นดินโลกนั่นคือการรวบรวมอิสราเอลและเตรียมรับการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์ ท่านมีบทบาทสำคัญ! ท่านมาแผ่นดินโลกพร้อมคำมั่นว่าจะองอาจในประจักษ์พยานถึงพระผู้ช่วยให้รอด นั่นเป็นอัตลักษณ์อันสูงส่งของท่าน จงมองภาพรวม ซึ่งคือแผนแห่งความสุขของพระบิดาบนสวรรค์ นี่คือเลนส์ของความจริง นี่คือบริบทสำหรับคำถาม ประเด็นปัญหา และข้อกังวลทั้งหมด “เพราะพระวิญญาณรับสั่งความจริงและไม่รับสั่งเท็จ ดังนั้น, พระองค์รับสั่งถึงรื่องดังที่มันเป็นจริง, และถึงเรื่องดังที่มันจะเป็นจริง” (เจคอบ 4:13)
6. เหนือสิ่งอื่นใด จงวางใจในพระเยซูคริสต์ พระองค์ยังทรงเป็น “แสงสว่างและชีวิตของโลก” (3 นีไฟ 11:11; ดู ยอห์น 8:12 ด้วย) เมื่อความสงสัย ความยุ่งยาก และการทดลองห้อมล้อมและครอบงำท่าน จงวางใจพระองค์ เมื่อชีวิตไม่เป็นดังคาด คนที่ท่านวางใจทำให้ท่านผิดหวังและหักหลังท่าน จงวางใจพระองค์อย่างสมบูรณ์ต่อไป ขอให้ท่านตอบดังนีไฟสมัยก่อนในยามทุกข์ใจเท่าเทียมกันนี้ว่า “กระนั้นก็ตาม, ข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าได้วางใจผู้ใด … ข้าแต่พระเจ้า, ข้าพระองค์วางใจในพระองค์, และข้าพระองค์จะวางใจในพระองค์ตลอดกาล” (2 นีไฟ 4:19, 34)
ไม่ว่าท่านทำอะไร อย่าทิ้งพระผู้ช่วยให้รอด! เพราะการชดใช้ของพระองค์ เราจึงเป็นผู้กระทำ มีอิสระที่จะกระทำและไม่ถูกกระทำ เราแต่ละคนจะยืนอยู่เบื้องพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพและรายงานเรื่องแสงสว่างและความจริงที่เราเลือก
ข้าพเจ้าสัญญากับท่านว่าถ้าท่านจะทำตามหลักธรรมเหล่านี้และแนบสนิทกับความจริง ศรัทธาของท่านจะไม่มีวันเสื่อมถอย ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรให้ท่านเลือกมองผ่านเลนส์ของความจริงโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เสมอ