“ข้าพระองค์เป็นลูกของพระองค์หรือ”
คามิลลา เนลสัน รัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา
แม้จะเคยไปโบสถ์ไม่กี่ครั้ง แต่ผู้สอนประจำบ้านของดิฉันมาเยี่ยมสม่ำเสมอ คืนหนึ่งเขาโทรศัพท์มาถามว่าดิฉันจะแบ่งปันข้อคิดบางอย่างเกี่ยวกับครอบครัวนิรันดร์ในชั้นเรียนหลักธรรมพระกิตติคุณครั้งต่อไปได้หรือไม่
“ได้ค่ะ ยินดีค่ะ” ดิฉันตอบ
ดิฉันไม่ได้คิดอะไรมากจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น ตอนนั้นเองที่ดิฉันนึกออกว่าดิฉันรับปากจะพูดเรื่องครอบครัวนิรันดร์กับคนกลุ่มหนึ่งที่อาจจะรู้เรื่องนี้แล้ว ดิฉันคิดไม่ออกว่าจะพูดอะไรกับพวกเขา
หลายปีที่ผ่านมา ดิฉันทำการเลือกที่แยกตนเองจากพระกิตติคุณ ดิฉันจะแบ่งปันข้อคิดในเรื่องที่ดิฉันไม่แน่ใจว่าตนเองเชื่อได้อย่างไร ดิฉันรู้สึกสับสน จากนั้นเนื้อร้องของเพลงสวด “ฉันลูกพระผู้เป็นเจ้า” (เพลงสวด, บทเพลงที่ 149) ก็เข้ามาในใจ ดิฉันไม่ได้ยินคำร้องของเพลงนั้นหลายปี แต่รู้ด้วยใจ ทำให้ฉุกคิดได้ว่า ดิฉันต้องทูลถามพระผู้เป็นเจ้าว่าดิฉันเป็นลูกของพระองค์จริงหรือ
เวลานั้นดิฉันกำลังจัดเฟอร์นิเจอร์ในห้องนอนใหม่ เตียงนอนจึงวางเฉียงๆ อยู่กลางห้อง ดิฉันคุกเข่าข้างเตียงและรอคำสวดอ้อนวอน ดิฉันจะทูลอะไรกับพระผู้เป็นเจ้า ดิฉันไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ ในขณะนั้นความปรารถนาลึกซึ้งที่สุดของใจดิฉันทำให้ดิฉันเอ่ยคำเหล่านี้ออกมา “พระผู้เป็นเจ้า พระองค์อยู่ที่นั่นจริงหรือ และถ้าพระองค์อยู่ที่นั่น ข้าพระองค์เป็นลูกของพระองค์หรือ”
คำตอบมาทันที ประหนึ่งพระองค์ทรงรอให้ดิฉันถาม ดิฉันรู้สึกว่าพระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ใช่ คามิลลา เราอยู่ที่นี่ และเจ้าเป็นลูกของเรา”
เมื่อดิฉันลืมตา ดิฉันยังอยู่ในห้องนอนที่ระเกะระกะ ทุกอย่างรอบตัวยังไม่เป็นระเบียบ แต่ดิฉันรู้สึกว่าชีวิตเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว ดิฉันรู้ว่าดิฉันเป็นลูกของพระผู้เป็นเจ้า นั่นแหละสำคัญ
ในชั้นเรียนวันอาทิตย์ ดิฉันเล่าเรื่องราวของดิฉันอย่างเรียบง่ายว่าดิฉันรู้ได้อย่างไรว่า ดิฉัน เป็นลูกของพระผู้เป็นเจ้า “ถ้าดิฉันเป็นลูกของพระองค์” ดิฉันกล่าว “ทุกคนก็เป็นลูกของพระองค์เช่นกัน”
ดิฉันใช้เวลาสามปีครึ่งทำการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่จำเป็นต้องทำ แต่ชีวิตไม่เหมือนเดิมอีกเลย นับตั้งแต่วันนั้น ดิฉันไม่สงสัยอีกแล้วว่าดิฉันเป็นใคร ดิฉันรู้ว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงอยู่ที่นั่นเสมอ พระองค์ทรงรักดิฉันเพราะดิฉันเป็นลูกของพระองค์