2018
การวางรากฐานของงานอันสำคัญยิ่ง
พฤศจิกายน 2018


การวางรากฐานของงานอันสำคัญยิ่ง

บทเรียนที่เราสอนกันตามประเพณีที่สร้างขึ้นในครอบครัวแม้เล็กน้อยและเรียบง่าย แต่กำลังทวีความสำคัญในโลกทุกวันนี้

บิดามารดาในไซอันมีหน้าที่กระตุ้นความกระตือรือร้นและคำมั่นสัญญาต่อปีติ ความสว่างและความจริงของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ในตัวลูก ขณะเลี้ยงดูลูก เราสร้างประเพณีในครอบครัวและกำหนดรูปแบบการสื่อสารตลอดจนพฤติกรรมในสัมพันธภาพของครอบครัว ประเพณีที่เราสร้างจะบ่มเพาะลักษณะนิสัยอันเป็นคุณงามความดีที่มั่นคงไม่สั่นคลอนในตัวลูก พวกเขาจะซึมซับความเข้มแข็งเพื่อเผชิญความท้าทายของชีวิต

เป็นเวลาหลายปีที่ครอบครัวเรามีความสุขกับประเพณีประจำปีด้วยการเข้าค่ายในเทือกเขายูอินทาห์ทางตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐยูทาห์ เราเดินทาง 32 กิโลเมตรบนถนนลูกรังจนถึงหุบเขาเขียวขจี มีหน้าผาสูงชันและแม่น้ำที่มีน้ำใสเย็นไหลผ่าน โดยหวังจะเน้นย้ำคุณค่าของหลักคำสอนและหลักปฏิบัติของพระกิตติคุณในใจลูกหลานของเรา ทุกปีข้าพเจ้ากับซูซานจึงขอให้ลูกชายทั้งหกคนและครอบครัวของพวกเขาเตรียมข่าวสารสั้นๆ มาครอบครัวละหนึ่งเรื่องที่พวกเขารู้สึกว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญในรากฐานของครอบครัวที่มีพระคริสต์เป็นศูนย์กลาง เราประชุมกันในสถานที่เงียบสงบเพื่อให้ข้อคิดทางวิญญาณ โดยให้แต่ละครอบครัวเป็นผู้นำเสนอข่าวสาร

ข่าวสารเขียนไว้บนก้อนหิน

ปีนี้หลานๆ ของเราเขียนหัวข้อข่าวสารของตนเองบนก้อนหินแล้วฝังเรียงกันไป ถือเป็นสัญลักษณ์ของรากฐานอันมั่นคงซึ่งจะเป็นฐานที่ตั้งของชีวิตที่มีความสุข สิ่งที่ถักทออยู่ท่ามกลางข่าวสารทั้งหกเรื่องคือความจริงนิรันดร์ที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศิลามุมเอกของรากฐานนั้น

ในถ้อยคำของอิสยาห์ “เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์ องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า นี่แน่ะ เราวางศิลาก้อนหนึ่งในศิโยนคือศิลาที่ทดสอบแล้วเป็นศิลามุมเอกล้ำค่า เป็นรากฐานมั่นคง.”1 พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศิลามุมเอกล้ำค่าในรากฐานของไซอัน พระองค์ทรงเปิดเผยต่อศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธว่า “ดังนั้น, อย่าเบื่อหน่ายในการทำดี, เพราะเจ้ากำลังวางรากฐานของงานอันสำคัญยิ่ง และจากสิ่งเล็กน้อยบังเกิดเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่.”2

บทเรียนที่เราสอนกันตามประเพณีที่สร้างขึ้นในครอบครัวแม้เล็กน้อยและเรียบง่าย แต่กำลังทวีความสำคัญในโลกทุกวันนี้ เรื่องเล็กน้อยและเรียบง่ายเรื่องใดที่เราสร้างแล้วจะทำงานยิ่งใหญ่ในชีวิตลูกของเรา

ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันปราศรัยในที่ประชุมขนาดใหญ่ใกล้โทรอนโต แคนาดา ท่านกำชับบิดามารดาถึงหน้าที่รับผิดชอบอันศักดิ์สิทธิ์ในการสอนลูก ในบรรดาหน้าที่อันสำคัญยิ่งที่ระบุไว้นั้น ประธานเนลสันเน้นหน้าที่ซึ่งเราในฐานะบิดามารดาต้องสอนลูกให้เข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องรับส่วนศีลระลึก ความสำคัญของการเกิดในพันธสัญญา และความสำคัญของการเตรียมพร้อมเพื่อรับปิตุพร และท่านกระตุ้นให้บิดามารดาเป็นผู้นำในการอ่านพระคัมภีร์ด้วยกันเป็นครอบครัว3 โดยความพยายามเหล่านี้ ศาสดาพยากรณ์ที่รักของเรากระตุ้นให้เราทำบ้านของเราเป็น “สถานที่คุ้มภัยแห่งศรัทธา”4

ในพระคัมภีร์มอรมอน อีนัสบันทึกความสำนึกคุณอย่างสุดซึ้งในแบบอย่างของบิดา ผู้ “สอน [ท่าน] เกี่ยวกับภาษาของท่านและตามการเลี้ยงดูและการตักเตือนของพระเจ้าด้วย.” อีนัสร้องเสียงดังว่า “และขอพระนามพระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าทรงเจริญด้วยพระสิริเพราะการนี้เถิด”5

ข้าพเจ้าทะนุถนอมประเพณีเล็กน้อยและเรียบง่ายที่เรารักษาไว้ในครอบครัวมานานกว่า 35 ปีของชีวิตแต่งงาน ประเพณีของเราหลายอย่างแม้จะเล็กน้อยแต่ก็มีความหมาย ตัวอย่างเช่น

  • ช่วงค่ำ ขณะไม่อยู่บ้าน ข้าพเจ้ารู้เสมอว่าภายใต้การกำกับดูแลของซูซาน ลูกชายคนโตจะอาสาเป็นผู้นำในการศึกษาพระคัมภีร์และสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัว6

  • ประเพณีอีกอย่างคือ—เราจะไม่ออกจากบ้านหรือจบการสนทนาโทรศัพท์โดยไม่พูดว่า “ฉันรักเธอ”

  • สิ่งที่เป็นพรแก่ชีวิตเราคือการให้เวลาในการสัมภาษณ์ส่วนตัวกับลูกชายแต่ละคนของเราอย่างสม่ำเสมอ ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าถามลูกชายถึงความปรารถนาและการเตรียมพร้อมที่จะรับใช้งานเผยแผ่ สนทนากันไปสักครู่ ก็เกิดความเงียบในชั่วขณะของการไตร่ตรอง จากนั้นเขาโน้มตัวมาชี้แจงอย่างใช้ความคิดว่า “พ่อ จำตอนที่ผมยังเล็กและพ่อเริ่มมีการสัมภาษณ์เราได้ไหม” ข้าพเจ้าตอบว่า “จำได้” “ครับ” ลูกพูด “ตอนนั้นผมสัญญากับพ่อว่าจะรับใช้งานเผยแผ่ และพ่อกับแม่สัญญากับผมว่าพ่อจะรับใช้งานเผยแผ่เมื่อสูงวัย” แล้วก็เงียบไปอีก “พ่อกับแม่มีปัญหาที่ทำให้ไปรับใช้ไม่ได้หรือเปล่าครับ—ผมอาจช่วยได้นะครับ”

ประเพณีที่ดีงาม เสมอต้นเสมอปลายของครอบครัวได้แก่ การสวดอ้อนวอน การอ่านพระคัมภีร์ การสังสรรค์ในครอบครัว และเข้าร่วมการประชุมของศาสนจักร แม้จะดูเล็กน้อยและเรียบง่าย แต่ก็ทำให้เกิดวัฒนธรรมแห่งความรัก ความเคารพ ความเป็นหนึ่งเดียวกัน และความมั่นคงปลอดภัย ด้วยเจตนารมณ์ที่มากับผลของความพยายามนี้ ลูกๆ จะได้รับการปกป้องจากลูกศรเพลิงของปฏิปักษ์ที่ฝังตัวอยู่ในวัฒนธรรมของโลกในยุคสมัยของเรา

เรานึกถึงคำแนะนำอันชาญฉลาดที่ฮีลามันให้ไว้แก่บุตรชายของท่าน “จงจำไว้ว่าบนศิลาของพระผู้ไถ่ของเรา, ผู้ทรงเป็นพระคริสต์, พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า, ที่ลูกต้องสร้างรากฐานของลูก; เพื่อเมื่อมารจะส่งลมอันมีกำลังแรงของเขามา, แท้จริงแล้ว, ลูกศรของเขาในลมหมุน, แท้จริงแล้ว, เมื่อลูกเห็บของเขาและพายุอันมีกำลังแรงของเขาทั้งหมดจะกระหน่ำมาบนลูก, มันจะไม่มีพลังเหนือลูกเพื่อลากเอาลูกลงไปสู่ห้วงแห่งความเศร้าหมองและวิบัติอันหาได้สิ้นสุดไม่, เพราะศิลาซึ่งบนนั้นลูกได้รับการสร้างขึ้น, ซึ่งเป็นรากฐานอันแน่นอน, รากฐานซึ่งหากมนุษย์จะสร้างบนนั้นแล้วพวกเขาจะตกไม่ได้”7

หลายปีก่อนขณะข้าพเจ้ารับใช้เป็นอธิการหนุ่ม มีสุภาพบุรุษสูงวัยมาขอพบข้าพเจ้า เขาเล่าเรื่องที่เขาทิ้งศาสนจักรไปและประเพณีอันชอบธรรมของบิดามารดาเมื่อเขาเป็นเยาวชน เขาเล่ารายละเอียดถึงความปวดร้าวใจที่ได้รับในชีวิตขณะเสียเวลาค้นหาปีติอันยั่งยืน ท่ามกลางความสุขชั่วครู่ที่โลกมอบให้ เวลานี้ เป็นบั้นปลายของชีวิต เขารู้สึกถึงเสียงกระซิบของพระวิญญาณพระผู้เป็นเจ้า ที่อ่อนโยน รบเร้าเป็นบางครั้ง ที่นำเขากลับมายังบทเรียน วิธีปฏิบัติ ความรู้สึก และความปลอดภัยทางวิญญาณเมื่อครั้งเป็นเยาวชน เขาแสดงความสำนึกคุณต่อประเพณีของบิดามารดาและด้วยถ้อยคำสมัยใหม่ เขาสะท้อนคำประกาศของอีนัส “ขอพระนามพระผู้เป็นเจ้าของผมทรงเจริญด้วยพระสิริเพราะการนี้เถิด.”

ด้วยประสบการณ์ของข้าพเจ้า การกลับมาสู่พระกิตติคุณของชายคนนี้เป็นลักษณะนิสัยของหลายคน เกิดขึ้นบ่อยกับบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งจากไปชั่วคราว แล้วกลับมาสู่การสอนและวิธีปฏิบัติสมัยเป็นเยาวชน ในช่วงเวลาเหล่านั้น เราเป็นพยานถึงปัญญาของผู้เขียนสุภาษิตผู้เตือนบิดามารดาว่า “จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป และเมื่อเขาเติบใหญ่ เขาจะไม่พรากจากทางนั้น”8

พ่อแม่ทุกคนมีช่วงเวลาที่คับข้องใจและช่วงเวลาที่มีความมุ่งมั่นและความเข้มแข็งระดับต่างๆ ขณะเลี้ยงดูลูก อย่างไรก็ตาม เมื่อบิดามารดาใช้ศรัทธาโดยสอนลูกๆ อย่างตรงไปตรงมา ด้วยความรักและทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อช่วยให้ลูกไปตามทาง พวกเขาได้รับความหวังมากขึ้นว่าเมล็ดที่หว่านไว้จะฝังรากในใจและความคิดของลูก

โมเสสเข้าใจดีถึงความจำเป็นขั้นพื้นฐานสำหรับการสอนอย่างสม่ำเสมอ ท่านให้คำแนะนำว่า “และท่านจงสอนถ้อยคำเหล่านั้นแก่บุตรหลานของท่านและจงพูดถึงถ้อยคำเหล่านั้นเมื่อท่านนั่งอยู่ในบ้าน เดินอยู่ตามทาง นอนลง หรือลุกขึ้น”9

เราคุกเข่าข้างลูกๆ ในการสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัว เราดูแลพวกเขาผ่านความพยายามของเราในการอ่านพระคัมภีร์เป็นครอบครัวอย่างมีความหมาย เราดูแลพวกเขาด้วยความอดทน และความรักขณะสังสรรค์ในครอบครัว และเราทุ่มเทใจให้พวกเขาขณะที่เราคุกเข่าสวดอ้อนวอนต่อสวรรค์เป็นการส่วนตัว โอ เราปรารถนาเพียงใดที่จะเห็นเมล็ดที่เราหว่านไว้ฝังรากในใจและความคิดของลูกๆ ของเรา

ข้าพเจ้าเชื่อว่าน้อยไปสำหรับคำถามที่ว่าลูกของเรา “ได้รับสิ่งนี้” หรือไม่ ระหว่างการสอนของเรา อย่างเช่นขณะพยายามอ่านพระคัมภีร์หรือการสังสรรค์ในครอบครัวหรือเข้าร่วมสหกิจกรรมและการประชุมอื่นๆ ของศาสนจักร น้อยไปสำหรับคำถามที่ว่าในช่วงเวลาเหล่านั้นพวกเขาเข้าใจหรือไม่ถึงความสำคัญของกิจกรรมดังกล่าวและยังมีคำถามมากกว่านั้นว่า ในฐานะบิดามารดาเราใช้ศรัทธามากพอหรือไม่ที่จะทำตามคำแนะนำของพระเจ้าในการดำเนินชีวิต สอน ตักเตือนและตั้งความหวังที่ได้รับแรงบันดาลใจจากพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ นี่คือการทำงานที่มีแรงผลักดันจากศรัทธาของเรา—ความเชื่อของเราที่ว่าสักวันเมล็ดที่หว่านไว้ในเยาวชนจะฝังรากและเริ่มแตกหน่อและเติบโต

สิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราสั่งสอนและสอนเป็นตัวกำหนดสิ่งที่จะเกิดขึ้นในบรรดาพวกเรา เมื่อเราสร้างประเพณีที่ดีงามซึ่งสอนหลักคำสอนของพระคริสต์ พระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กล่าวคำพยานถึงความจริงของข่าวสารนั้นและบำรุงเลี้ยงเมล็ดของพระกิตติคุณที่ปลูกไว้จนฝังรากลึกในใจลูกของเราโดยความพยายามของเราตลอดทาง ข้าพเจ้าเป็นพยานในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน