2018
ท่านจงเลือกเสียในวันนี้
พฤศจิกายน 2018


ท่านจงเลือกเสียในวันนี้

ปริมาณความสุขนิรันดร์ของเราขึ้นอยู่กับการเลือกพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์และร่วมงานกับพระองค์

ตัวละครชื่อแมรีย์ ป๊อปปินส์เป็นพี่เลี้ยงเด็ก—ที่บังเอิญมีอิทธิฤทธิ์1 ลมตะวันออกพัดเธอให้มาช่วยเหลือครอบครัวแบ๊งค์ส ณ บ้านเลขที่ 17 ถนนเชอรีทรี ในเมืองเอ็ดวอร์เดียน ลอนดอน เธอได้รับหน้าที่ดูแลเด็กสองคนชื่อเจนกับไมเคิล เธอเริ่มสอนบทเรียนล้ำค่าให้พวกเขาได้อย่างน่าอัศจรรย์ด้วยความเข้มงวดแต่ใจดี

เจนกับไมเคิลก้าวหน้ามาก แต่แมรีย์ตัดสินใจว่าถึงเวลาที่เธอต้องไปแล้ว ในละครเวที เบิร์ตคนกวาดปล่องไฟที่เป็นเพื่อนของแมรีย์พยายามห้ามเธอไม่ให้เธอไป เขาอ้างเหตุผลว่า “แต่พวกเขาเป็นเด็กดีนะแมรีย์

แมรีย์ตอบว่า “ฉันจะห่วงพวกเขาทำไมถ้าพวกเขาไม่ห่วงตัวเอง แต่ฉันช่วยพวกเขาไม่ได้หรอกถ้าพวกเขาไม่ยอมให้ช่วย และไม่มีใครสอนยากเท่าเด็กที่คิดว่าตนรู้ทุกอย่าง”

เบิร์ตถามว่า “แล้วยังไง”

แมรีย์ตอบว่า “พวกเขาต้องทำส่วนที่เหลือด้วยตัวพวกเขาเอง”2

พี่น้องทั้งหลาย เหมือนเจนกับไมเคิล แบ๊งคส์ เราเป็น “เด็กดี” ที่น่าห่วง พระบิดาบนสวรรค์ทรงต้องการช่วยและอวยพรเรา แต่เรามักไม่ยอม บางครั้งเราถึงกับทำประหนึ่งว่าเรารู้ทุกอย่างแล้ว และเราต้องทำ “ส่วนที่เหลือ” ด้วยตัวเราเองเช่นกัน นั่นคือสาเหตุที่เราจากบ้านบนสวรรค์ก่อนเกิดมาแผ่นดินโลก “ส่วน” ของเราเกี่ยวข้องกับการเลือก

เป้าหมายของพระบิดาบนสวรรค์ในการเป็นบิดาไม่ใช่ให้บุตรธิดา ทำ สิ่งที่ถูกต้อง แต่ให้บุตรธิดา เลือก ทำสิ่งที่ถูกต้องและเป็นเหมือนพระองค์ในที่สุด ถ้าพระองค์ทรงต้องการเพียงให้เราเชื่อฟัง พระองค์จะทรงใช้รางวัลและการลงโทษเดี๋ยวนั้นเพื่อควบคุมความประพฤติของเรา

แต่พระผู้เป็นเจ้าไม่สนพระทัยเพียงให้บุตรธิดาเป็นเพียง “สัตว์เลี้ยง” ที่เชื่องและเชื่อฟัง ผู้จะไม่แทะรองเท้าแตะของพระองค์ในห้องนั่งเล่นซีเลสเชียล3 ไม่ พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการให้บุตรธิดาเติบโตขึ้นทางวิญญาณและร่วมกิจธุระครอบครัวกับพระองค์

ด้วยเหตุนี้จึงทรงวางแผนให้เราได้เป็นทายาทในอาณาจักรของพระองค์ เส้นทางพันธสัญญาที่นำเราให้เป็นเหมือนพระองค์ มีชีวิตแบบพระองค์ และมีชีวิตอยู่ตลอดกาลเป็นครอบครัวในที่ประทับของพระองค์4 การเลือกส่วนตัว—สำคัญต่อแผนนี้ ซึ่งเราเรียนรู้ในการดำรงอยู่ก่อนเกิด เรายอมรับแผนและเลือกมาแผ่นดินโลก

เพื่อให้เราใช้ศรัทธาและฝึกใช้สิทธิ์เสรีอย่างถูกต้อง ม่านของการลืมจึงถูกดึงมาบังความคิดเราเพื่อเราจะจำแผนของพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ หากไม่มีม่านนั้น จุดประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าคงไม่บรรลุผลสำเร็จเพราะเราจะไม่ก้าวหน้าและกลายเป็นทายาทที่พระองค์ทรงต้องการให้เราเป็น

ศาสดาพยากรณ์ลีไฮกล่าวว่า “ดังนั้น, พระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าจึงประทานแก่มนุษย์เพื่อเขาจะกระทำด้วยตนเอง. ดังนั้น, มนุษย์กระทำด้วยตนเองไม่ได้นอกจากจะเป็นว่าเขามีแรงจูงใจจากอย่างหนึ่งหรืออีกอย่างหนึ่ง.”5 ในขั้นต้น, ทางเลือกหนึ่งมีตัวแทนคือพระเยซูคริสต์, พระบุตรหัวปีของพระบิดา. อีกทางเลือกหนึ่งมีตัวแทนคือซาตาน, ลูซิเฟอร์, ผู้ต้องการทำลายสิทธิ์เสรีและช่วงชิงอำนาจ.6

ในพระเยซูคริสต์ “เรามีผู้ช่วยทูลขอพระบิดา”7 หลังจากการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ พระเยซู “เสด็จขึ้นสวรรค์ … เพื่อเรียกร้องสิทธิแห่งพระเมตตาของพระองค์จากพระบิดาซึ่งพระองค์ทรงมีต่อลูกหลานมนุษย์.” และหลังจากเรียกร้องสิทธิแห่งพระเมตตา “พระองค์จึงทรงวิงวอนแทนอุดมการณ์ของลูกหลานมนุษย์.”8

การที่พระคริสต์ทรงช่วยทูลพระบิดาแทนเราไม่ได้ขัดกับแผน พระเยซูคริสต์ผู้ทรงยอมให้พระประสงค์ของพระองค์ถูกกลืนเข้าไปในพระประสงค์ของพระบิดา9 จะไม่ทรงสนับสนุนสิ่งใดนอกจากสิ่งที่พระบิดาทรงประสงค์ พระบิดาบนสวรรค์ทรงเชียร์และปรบพระหัตถ์ให้แก่ความสำเร็จของเรา

การช่วยทูลของพระคริสต์อย่างน้อยก็เตือนเราว่าพระองค์ทรงชำระบาปของเราและไม่มีใครถูกผลักไสจากพระเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า10 สำหรับคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ กลับใจ รับบัพติศมา และอดทนจนกว่าชีวิตจะหาไม่—กระบวนการที่นำไปสู่การคืนดี11—พระผู้ช่วยให้รอดจะทรงให้อภัย ทรงเยียวยา และช่วยทูล พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วย พระผู้ปลอบขวัญ และพระผู้วิงวอนแทน—ทรงยืนยันและรับรองว่าเราจะคืนดีกับพระผู้เป็นเจ้าแน่นอน12

ตรงกันข้าม ลูซิเฟอร์เป็นผู้กล่าวหาหรือผู้ข่มเหง ยอห์นผู้เปิดเผยอธิบายความพ่ายแพ้ในท้ายที่สุดของลูซิเฟอร์ว่า “และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังในสวรรค์กล่าวว่า บัดนี้ความรอดและฤทธิ์เดช และอาณาจักรของพระเจ้าของเรา และสิทธิอำนาจของพระคริสต์ของพระองค์มาถึงแล้ว” เพราะเหตุใด เพราะ “ผู้กล่าวหาพี่น้องของเราถูกโยนลงไปแล้ว คือผู้ที่กล่าวหาพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าของเราทั้งกลางวันและกลางคืนนั้น พวกเขาชนะพญามารด้วยพระโลหิตของพระเมษโปดกและด้วยคำพยานของพวกเขาเอง”13

ลูซิเฟอร์เป็นผู้กล่าวหา เขาพูดคัดค้านเราในการดำรงอยู่ก่อนเกิด และเขายังคงประณามเราในชีวิตนี้ เขามุ่งหมายจะลากเราลงไป เขาต้องการให้เราประสบวิบัติอันหาได้สิ้นสุดไม่ เขาคือคนที่บอกเราว่าเราไม่เก่งพอ คนที่บอกเราว่าเราไม่ดีพอ คนที่บอกเราว่าไม่มีทางกลับตัวจากความผิดพลาดได้หรอก เขาเป็นอันธพาลโดยแท้ คนที่เตะเราเมื่อเราล้ม

ถ้าลูซิเฟอร์สอนให้เด็กเดินและเด็กสะดุดล้ม เขาจะตะโกนใส่หน้าเด็ก ลงโทษเด็ก และบอกให้เด็กเลิกพยายาม วิธีของซาตานทำให้เกิดความท้อแท้สิ้นหวัง—ในท้ายที่สุดและเสมอไป บิดาของความเท็จเป็นผู้จัดหาความเท็จ14 และพยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกเราและทำให้เราเขว “เพราะเขาแสวงหาเพื่อจะให้มนุษย์ทั้งปวงเศร้าหมองเหมือนตัวเขา”15

ถ้าพระคริสต์ทรงสอนให้เด็กเดินและเด็กสะดุดล้ม พระองค์จะทรงช่วยให้เด็กลุกขึ้นและกระตุ้นให้ก้าวเดินต่อไป16 พระคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยและพระผู้ปลอบขวัญ ทางของพระองค์ทำให้เกิดปีติและความหวัง—ในท้ายที่สุดและเสมอไป

แผนของพระองค์มีทิศทางให้เรา ซึ่งในพระคัมภีร์เรียกว่าพระบัญญัติ พระบัญญัติเหล่านี้ไม่ใช่กฎเกณฑ์แปลกประหลาดหรืออำนาจเบ็ดเสร็จที่มุ่งหมายจะฝึกให้เราเชื่อฟังเท่านั้น แต่เชื่อมโยงกับการพัฒนาคุณลักษณะของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้า การกลับไปหาพระบิดาบนสวรรค์ของเรา และรับปีติอันยั่งยืน การเชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ไม่ได้ทำให้มืดบอด เพราะเราเจตนาเลือกพระผู้เป็นเจ้าและทางกลับบ้านไปหาพระองค์ แบบแผนสำหรับเราเหมือนแบบแผนสำหรับอาดัมและเอวา ซึ่ง “พระผู้เป็นเจ้า … ประทานบัญญัติให้พวกเขา, หลังจากที่ทรงทำให้พวกเขารู้ถึงแผนแห่งการไถ่”17 แม้พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการให้เราอยู่บนเส้นทางพันธสัญญา แต่พระองค์ประทานศักดิ์ศรีของการเลือกแก่เรา

พระผู้เป็นเจ้าทรงปรารถนา ทรงคาดหวัง และทรงนำทางบุตรธิดาแต่ละคนให้เลือกด้วยตนเอง พระองค์จะไม่ทรงบังคับเรา โดยผ่านของประทานแห่งสิทธิ์เสรี พระผู้เป็นเจ้าทรงอนุญาตให้บุตรธิดาของพระองค์ “กระทำด้วยตนเองและมิถูกกระทำ”18 สิทธิ์เสรียอมให้เราเลือกอยู่บนทางนั้นหรือไม่อยู่ก็ได้ เลือกออกนอกทางหรือไม่ออกก็ได้ เราไม่ได้ถูกบังคับให้เชื่อฟัง อีกทั้งไม่ได้ถูกบังคับไม่ให้เชื่อฟัง ไม่มีใครสามารถนำเราออกนอกทางได้หากเราไม่ร่วมมือ (เราต้องไม่สับสนกับคนเหล่านั้นที่ถูกละเมิดสิทธิ์เสรี พวกเขาไม่ได้ออกจากทาง พวกเขาเป็นเหยื่อ พวกเขาได้รับความเข้าพระทัย ความรัก และความสงสารจากพระผู้เป็นเจ้า)

แต่เมื่อเราออกนอกทาง พระผู้เป็นเจ้าเสียพระทัยเพราะทรงทราบว่าสุดท้ายแล้วจะทำให้เรามีความสุขน้อยลงและสูญเสียพรอย่างแน่นอน ในพระคัมภีร์ การออกนอกทางเรียกว่าบาป และความสุขที่ลดลงและพรที่สูญเสียเรียกว่าการลงโทษ ในกรณีนี้ พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงลงโทษเราแต่การลงโทษเป็นผลจากการเลือกของเราเอง ไม่ใช่ของพระองค์

เมื่อเราค้นพบว่าเราออกนอกทาง เราเลี่ยงออกมาจากตรงนั้นได้ หรือเนื่องจากการชดใช้ของพระเยซูคริสต์เราจะเลือกหันหลังแล้วเดินย้อนกลับมาได้ ในพระคัมภีร์ ขั้นตอนของการตัดสินใจเปลี่ยนและกลับมาสู่ทางนั้นเรียกว่าการกลับใจ การไม่กลับใจหมายความว่าเราเลือกตัดสิทธิ์ตัวเราจากพรที่พระผู้เป็นเจ้าทรงปรารถนาจะให้เรา ถ้าเรา “ไม่ได้เต็มใจจะยินดีกับสิ่งซึ่ง [เรา] มีโอกาสได้รับ” เราจะ “กลับมาสถานที่เดิม [ของเรา] เอง … เพื่อยินดีกับสิ่งซึ่ง [เรา] เต็มใจจะรับ”19—การเลือกของเรา ไม่ใช่ของพระผู้เป็นเจ้า

ไม่ว่าเราจะออกนอกทางนานเท่าใดหรือหลงไปไกลเพียงใด ทันทีที่เราตัดสินใจเปลี่ยน พระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วยให้เรากลับมา20 จากมุมมองของพระผู้เป็นเจ้า ผ่านการกลับใจที่จริงใจและการมุ่งหน้าด้วยความแน่วแน่ในพระคริสต์ ทันทีที่กลับเข้ามา เราจะรู้สึกประหนึ่งเราไม่เคยออกนอกทาง21 พระผู้ช่วยให้รอดทรงชำระบาปของเรา ทรงทำให้เราเป็นอิสระจากการมีความสุขและพรที่ลดน้อยถอยลง ในพระคัมภีร์เรียกสิ่งนี้ว่าการให้อภัย หลังจากบัพติศมา สมาชิกทุกคนก้าวออกนอกทาง—บางคนถึงกับดำดิ่งออกไป ด้วยเหตุนี้ การใช้ศรัทธาในพระเยซูคริสต์ การกลับใจ การรับความช่วยเหลือจากพระองค์ และการให้อภัยจึงไม่ใช่เหตุการณ์ครั้งเดียวแต่เป็นกระบวนการชั่วชีวิต กระบวนการที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่คือวิธีที่เรา “อดทนจนกว่าชีวิตจะหาไม่”22

เราต้องเลือกว่าเราจะรับใช้ใคร23 ปริมาณความสุขนิรันดร์ของเราขึ้นอยู่กับการเลือกพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์และร่วมงานกับพระองค์ ขณะที่เราพยายาม “ทำส่วนที่เหลือ” ด้วยตัวเราเอง เรากำลังฝึกใช้สิทธิ์เสรีอย่างถูกต้อง ดังที่อดีตประธานสมาคมสงเคราะห์สามัญสองท่านกล่าวไว้ เราไม่ควรเป็น “เด็กเล็กที่ต้องได้รับความสนใจและมีคนคอยแก้ไขตลอดเวลา”24 ไม่ พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการให้เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่และดูแลตนเอง

การเลือกทำตามแผนของพระบิดาเป็นวิธีเดียวที่เราจะได้เป็นทายาทในอาณาจักรของพระองค์ เพียงเท่านั้นพระองค์จะทรงวางใจได้ว่าเราจะไม่ขอสิ่งที่ตรงข้ามกับพระประสงค์ของพระองค์25 แต่เราต้องจำไว้ว่า “ไม่มีใครสอนยากเท่าเด็กที่คิดว่าตนรู้ทุกอย่าง” ดังนั้นเราต้องเต็มใจรับการสอนในวิธีของพระเจ้าโดยพระเจ้าและผู้รับใช้ของพระองค์ เราวางใจได้ว่าเราเป็นบุตรธิดาที่รักของพระบิดาพระมารดาบนสวรรค์26 และน่า “ห่วง” และมั่นใจได้ว่า “ด้วยตัวเราเอง” จะไม่มีวันหมายถึง “โดดเดี่ยว”

ดังที่ศาสดาพยากรณ์เจคอบในพระคัมภีร์มอรมอนกล่าวไว้ ข้าพเจ้าขอกล่าวกับเขาว่า

“ฉะนั้น, จงทำใจท่านให้รื่นเริง, และจงจำไว้ว่าท่านเป็นอิสระที่จะกระทำด้วยตนเอง—จะเลือกทางแห่งความตายอันเป็นนิจหรือทางแห่งชีวิตนิรันดร์.

“ดังนั้น, พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า, จงคืนดีกับพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า, และมิใช่กับความประสงค์ของมาร … และจงจำไว้, หลังจากท่านคืนดีกับพระผู้เป็นเจ้าแล้ว, ว่าเป็นไปในและโดยผ่านพระคุณของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่ท่านได้รับการช่วยให้รอด”27

ฉะนั้น จงเลือกศรัทธาในพระคริสต์ เลือกการกลับใจ เลือกรับบัพติศมาและรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เลือกเตรียมรับส่วนศีลระลึกอย่างมีค่าควร เลือกทำพันธสัญญาในพระวิหาร เลือกรับใช้พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์และบุตรธิดาของพระองค์ การเลือกของเรากำหนดว่าเราเป็นใครและเราจะเป็นใคร

ข้าพเจ้าจบด้วยพรที่เหลือของเจคอบที่ว่า “ดังนั้น, ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงยกท่านขึ้นจาก … ความตายอันเป็นนิจโดยพระพลานุภาพแห่งการชดใช้ด้วยเถิด, เพื่อจะรับท่านเข้ามาในอาณาจักรนิรันดร์ของพระผู้เป็นเจ้า”28 ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน