2018
การดูแลจิตวิญญาณ
พฤศจิกายน 2018


การดูแลจิตวิญญาณ

เราแสดงความรักต่อผู้อื่นเพราะนั่นคือสิ่งที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงบัญชาให้เราทำ

ในการสนทนากับเพื่อนคนหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ เขาบอกข้าพเจ้าว่าเมื่อเขารับบัพติศมาเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของศาสนจักร จู่ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนเข้ากับคนในวอร์ดไม่ได้ ผู้สอนศาสนาที่สอนเขาย้ายไปแล้ว และเขารู้สึกเหมือนเป็นคนนอก เพราะไม่มีเพื่อนในวอร์ด เขาจึงไปพบเพื่อนเก่าและเข้าร่วมกิจกรรมที่ทำให้เขามีส่วนร่วมที่โบสถ์น้อยลง—น้อยลงมากจนเขาเริ่มห่างจากศาสนจักร เขาอธิบายด้วยน้ำตาคลอว่าเขาซาบซึ้งใจมากเมื่อเพื่อนสมาชิกวอร์ดคนหนึ่งยื่นมือมาดูแลเขา เชื้อเชิญเขาอย่างอบอุ่นและเป็นมิตรให้กลับมา ภายในไม่กี่เดือน เขากลับมาแข็งขันในศาสนจักรอีกครั้ง ขณะทำให้ผู้อื่นและตนเองเข้มแข็ง เราจะไม่ขอบคุณคนเลี้ยงแกะในบราซิลผู้ตามหาชายหนุ่มคนนี้หรอกหรือ เอ็ลเดอร์ คาร์ลอส เอ. โกดอยซึ่งขณะนี้นั่งอยู่หลังข้าพเจ้าในฐานะสมาชิกฝ่ายประธานโควรัมสาวกเจ็ดสิบ

น่าทึ่งมากที่ความพยายามเล็กน้อยนั้นมีผลนิรันดร์ใช่ไหม ความจริงดังกล่าวเป็นหัวใจของการปฏิบัติศาสนกิจของศาสนจักร พระบิดาบนสวรรค์ทรงใช้ความพยายามที่เรียบง่ายของเราทุกวันและเปลี่ยนเป็นสิ่งอัศจรรย์ เพียงหกเดือนตั้งแต่ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันประกาศว่า “พระเจ้าทรงทำการปรับเปลี่ยนที่สำคัญในวิธีที่เราดูแลเอาใจใส่กัน”1 โดยอธิบายว่า “เราจะใช้วิธีที่ใหม่กว่า บริสุทธิ์กว่าในการดูแลเอาใจใส่และปฏิบัติศาสนกิจต่อผู้อื่น เราจะเรียกความพยายามเหล่านี้อย่างง่ายๆ ว่า ‘การปฏิบัติศาสนกิจ’”2

ประธานเนลสันอธิบายด้วยว่า “ตราสัญลักษณ์ของศาสนจักรที่แท้จริงและดำรงอยู่ของพระเจ้าคือการพยายามปฏิบัติศาสนกิจอย่างมีระเบียบและถูกทิศทางต่อบุตรธิดาแต่ละคนของพระผู้เป็นเจ้าและครอบครัวของพวกเขา เพราะนี่เป็นศาสนจักรของพระองค์ เราในฐานะผู้รับใช้ของพระองค์จะปฏิบัติต่อคนหนึ่งดังที่พระองค์ทรงปฏิบัติ เราจะปฏิบัติศาสนกิจในพระนามของพระองค์ ด้วยพลังและสิทธิอำนาจของพระองค์ และด้วยความการุณย์รักของพระองค์”3

ตั้งแต่การประกาศ ท่านตอบรับอย่างไม่น่าเชื่อ! เราได้รับรายงานแจ้งความสำเร็จใหญ่หลวงในการปฏิบัติตามการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกือบทุกสเตคในโลกตามคำแนะนำจากศาสดาพยากรณ์ของเรา ตัวอย่างเช่น มีการมอบหมายบราเดอร์และซิสเตอร์ผู้ปฏิบัติศาสนกิจให้ดูแลครอบครัว มีการจัดคู่—รวมทั้งเยาวชนชายเยาวชนหญิง—และสัมภาณ์ผู้ปฏิบัติศาสนกิจ

ข้าพเจ้าไม่คิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญที่หกเดือนก่อนการประกาศเมื่้อวานซึ่งมาจากการเปิดเผยเรื่อง—“ดุลยภาพใหม่และการเชื่อมโยงระหว่างการสอนพระกิตติคุณในบ้านกับในศาสนจักร”4—มีการประกาศซึ่งมาจากการเปิดเผยเรื่องการปฏิบัติศาสนกิจ เริ่มต้นเดือนมกราคม ขณะที่เราใช้เวลาที่โบสถ์น้อยลงหนึ่งชั่วโมงในการนมัสการของเรา ทุกสิ่งที่เราเรียนรู้ในการปฏิบัติศาสนกิจจะช่วยเราปรับสมดุลช่องว่างนั้นในประสบการณ์วันสะบาโตที่สูงกว่าและบริสุทธิ์กว่าและมีบ้านเป็นศูนย์กลางกับครอบครัวและคนที่เรารัก

เมื่อโครงสร้างองค์กรเหล่านี้เข้าที่แล้ว เราอาจจะถามว่า “เรารู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังปฏิบัติศาสนกิจในวิธีของพระเจ้า เรากำลังช่วยพระเมษบาลผู้ประเสริฐในวิธีที่พระองค์ทรงประสงค์หรือไม่”

ในการสนทนาเมื่อเร็วๆ นี้ ประธาน เฮนรีย์ บี. อายริงก์ชมเชยวิสุทธิชนในการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้แต่แสดงความหวังอย่างจริงใจว่าสมาชิกจะยอมรับว่าการปฏิบัติศาสนกิจไม่ใช่ “แค่มีไมตรีจิต” นั่นไม่ได้บอกว่าไมตรีจิตไม่สำคัญ แต่คนที่เข้าใจเจตนารมณ์แท้จริงของการปฏิบัติศาสนกิจจะทราบว่านั่นยิ่งกว่ามีไมตรีจิต เมื่อทำในวิธีของพระเจ้า การปฏิบัติศาสนกิจจะแผ่อิทธิพลดีต่อเนื่องถึงตลอดชั่วนิรันดร เหมือนที่มีผลต่อเอ็ลเดอร์โกดอย

“พระผู้ช่วยให้รอดทรงแสดงแบบอย่างให้เห็นว่าการปฏิบัติศาสนกิจหมายความว่าอย่างไรเมื่อพระองค์ทรงรับใช้ด้วยความรัก … พระองค์ … ทรงสอน ทรงสวดอ้อนวอนให้ ทรงปลอบโยน และประทานพรคนรอบข้าง โดยทรงเชื้อเชิญให้ทุกคนติดตามพระองค์ … เมื่อสมาชิกศาสนจักรปฏิบัติศาสนกิจ [ในวิธีที่สูงกว่าและศักดิ์สิทธิ์กว่า] พวกเขาจะพยายามรับใช้ร่วมกับการสวดอ้อนวอนดังที่พระองค์จะทรงรับใช้—เพื่อ … ‘ดูแลศาสนจักรเสมอ, และอยู่กับพวกเขาและทำให้พวกเขาเข้มแข็งขึ้น’ ‘เยี่ยมบ้านสมาชิกแต่ละคน’ และช่วยให้แต่ละคนเป็นสานุศิษย์ที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์”5

เราเข้าใจว่าผู้เลี้ยงแกะตัวจริงรักแกะของเขา รู้จักชื่อแต่ละตัว และ “สนใจเป็นการส่วนตัว”6

แกะในภูเขา

เพื่อนเก่าแก่คนหนึ่งของข้าพเจ้าเป็นเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ ทำงานเลี้ยงปศุสัตว์และแกะในเทือกเขาร็อกกี เขาเคยเล่าเรื่องความท้าทายและอันตรายเกี่ยวกับการเลี้ยงแกะให้ข้าพเจ้าฟัง เขาบอกว่าต้นฤดูใบไม้ผลิ เมื่อหิมะบนเทือกเขาละลายเกือบหมด เขาจะปล่อยแกะของครอบครัวประมาณ 2,000 ตัวไว้บนเขาช่วงฤดูร้อน เขาดูแลแกะที่นั่นจนถึงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้วย้ายแกะจากช่วงฤดูร้อนไปช่วงฤดูหนาวในทะเลทราย เขาบอกว่าการต้อนแกะฝูงใหญ่ทำได้ยาก ต้องต้อนตั้งแต่เช้ายันดึก—ตื่นก่อนฟ้าสางและต้อนเสร็จช่วงดึก เขาไม่สามารถต้อนคนเดียวได้

คนงานฟาร์มปศุสัตว์กับแกะ

หลายคนช่วยต้อนแกะ รวมถึงคนงานที่มีประสบการณ์มากกับคนงานอายุน้อยผู้ได้ประโยชน์จากปัญญาของผู้มีประสบการณ์มาก เขาพึ่งม้าแก่สองตัว ลูกม้าสองตัวที่กำลังฝึก สุนัขเลี้ยงแกะแก่ๆ สองตัว กับลูกสุนัขเลี้ยงแกะสองตัว ตลอดช่วงฤดูร้อน เพื่อนข้าพเจ้ากับแกะของเขาจะเจอลม พายุฝน ความป่วยไข้ การบาดเจ็บ ความแห้งแล้ง และความลำบากแทบทุกอย่าง บางปีพวกเขาต้องลำเลียงน้ำตลอดฤดูร้อนเพียงเพื่อให้แกะมีชีวิตอยู่ จากนั้น ทุกปีช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง เมื่อเข้าฤดูหนาวและพาแกะลงจากเขา พอนับก็มักจะพบว่ามีแกะสาบสูญ 200 กว่าตัว

การต้อนแกะ
ฝูงแกะ

แกะ 2,000 ตัวที่ปล่อยไว้ในเทือกเขาเมื่อต้นฤดูใบไม้ผลิลดเหลือไม่ถึง 1,800 ตัว แกะที่สาบสูญส่วนใหญ่ ไม่ ได้สูญหายเพราะป่วยไข้หรือตายตามธรรมชาติ แต่เพราะสัตว์ล่าเหยื่ออย่างสิงโตภูเขาหรือหมาป่า นักล่าเหล่านี้มักจะพบลูกแกะเดินเตร่ออกจากความปลอดภัยของฝูง พาตัวเองออกจากความคุ้มครองของคนเลี้ยงแกะ ขอให้ท่านพิจารณาสักครู่ถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าเพิ่งอธิบายในบริบททางวิญญาณ ใครคือคนเลี้ยงแกะ ใครคือแกะ ใครคือคนช่วยเลี้ยงแกะ

พระเมษบาลผู้ประเสริฐ

พระเจ้าพระเยซูคริสต์ตรัสว่า “เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี เรารู้จักแกะของเรา … และเราสละชีวิตเพื่อฝูงแกะ”7

พระเยซูทรงเลี้ยงแกะของพระองค์

ศาสดาพยากรณ์นีไฟสอนทำนองเดียวกันว่าพระเยซู “จะทรงเลี้ยงแกะของพระองค์, และในพระองค์พวกเขาจะพบทุ่งหญ้า”8 ข้าพเจ้าพบสันติสุขเสมอในความรู้ที่ว่า “พระองค์ผู้ทรงเลี้ยง ข้า9 พระองค์ทรงรู้จักและทรงดูแลเราแต่ละคน เมื่อเราปะทะลมและพายุฝนของชีวิต ความป่วยไข้ การบาดเจ็บ และความแห้งแล้ง พระเจ้า—พระเมษบาลของเรา—จะทรงดูแลเรา พระองค์จะทรงฟื้นฟูจิตวิญญาณเรา

ในวิธีเดียวกับที่เพื่อนข้าพเจ้าดูแลแกะด้วยความช่วยเหลือของคนงานเก่าแก่และคนหนุ่ม ม้า และสุนัขเลี้ยงแกะ พระเจ้าทรงเรียกร้องความช่วยเหลือในงานท้าทายของการดูแลแกะในฝูง ของพระองค์ เช่นกัน

พระเยซูคริสต์ทรงปฏิบัติศาสนกิจ

ในฐานะบุตรธิดาของพระบิดาบนสวรรค์และแกะในฝูงของพระองค์ เราได้รับพรจากการที่พระเยซูคริสต์ทรงปฏิบัติศาสนกิจต่อเราเป็นรายบุคคล ขณะเดียวกัน เรามีหน้าที่ช่วยปฏิบัติศาสนกิจต่อคนรอบข้างในบทบาทของผู้เลี้ยงแกะ เราเอาใจใส่พระดำรัสของพระเจ้าให้ “รับใช้เราและออกไปในนามของเรา, และ … รวมแกะของเราไว้”10

ใครคือคนเลี้ยงแกะ ชายหญิงและเด็กทุกคนในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าคือคนเลี้ยงแกะ ไม่จำเป็นต้องมีการเรียก ทันทีที่เราขึ้นมาจากน้ำบัพติศมา เราได้รับมอบหมายให้ทำงานนี้ เราแสดงความรักต่อผู้อื่นเพราะนั่นคือสิ่งที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงบัญชาให้เราทำ แอลมาเน้นว่า “เพราะ … มีเมษบาลคนใดเล่าที่มีแกะหลายตัวแล้วไม่คอยเฝ้ามัน, เพื่อที่สุนัขป่าจะไม่เข้ามาขม้ำฝูงแกะของเขา? … เขาจะไม่ไล่มันออกไปหรือ?”11 เมื่อเพื่อนบ้านของเรามีความทุกข์ทางโลกหรือทางวิญญาณ เราวิ่งไปช่วย เราแบกภาระของกันและกัน เพื่อมันจะได้เบา เราโศกเศร้ากับคนที่โศกเศร้า เราปลอบโยนคนที่ต้องการการปลอบโยน12 พระเจ้าทรงคาดหวังสิ่งนี้จากเรา วันนั้นจะมาถึงเมื่อเราจะรายงานการดูแลฝูงแกะของพระองค์13

เพื่อนที่เป็นคนเลี้ยงแกะพูดถึงองค์ประกอบสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการดูแลแกะบนเขา เขาอธิบายว่าแกะที่สูญหายจะได้รับอันตรายจากนักล่าง่ายมาก อันที่จริง 15 เปอร์เซ็นต์ของเวลาทั้งหมดของเขากับทีมใช้ไปกับการตามหาแกะที่สูญหาย ยิ่งพวกเขาพบแกะที่สูญหายเร็วเท่าใด ก่อนที่แกะจะหลงจากฝูงไกลเกินไป แกะจะยิ่งบาดเจ็บน้อยลงเท่านั้น การตามหาแกะสูญหายต้องใช้ความอดทนและวินัยสูงมาก

หลายปีก่อน ข้าพเจ้าพบบทความในหน้าหนังสือพิมพ์ที่น่าสนใจจนต้องเก็บไว้ พาดหัวข่าวหน้าแรกอ่านว่า “สุนัขใจเด็ดจะไม่ทิ้งแกะที่สูญหาย”14 บทความนี้พูดถึงแกะฝูงเล็กของฟาร์มแห่งหนึ่งไม่ไกลจากที่ดินของเพื่อนข้าพเจ้าที่ถูกปล่อยไว้ในทุ่งฤดูร้อน สองหรือสามเดือนต่อมา พวกแกะติดหิมะอยู่ในเทือกเขา เมื่อปล่อยแกะไว้ สุนัขเลี้ยงแกะจะอยู่ด้วย เพราะมันมีหน้าที่ดูแลและคุ้มครองแกะ สุนัขจะไม่ไปไหน! มันจะอยู่ที่นั่น—วนเวียนอยู่รอบแกะหลายเดือนท่ามกลางอากาศหนาวและมีหิมะ คุ้มกันแกะจากหมาป่า สิงโตภูเขา หรือนักล่ารายอื่นที่จะทำอันตรายแกะ สุนัขอยู่ที่นั่นจนสามารถนำหรือต้อนแกะกลับสู่ความปลอดภัยของฝูงและคนเลี้ยง ภาพที่ลงในหน้าแรกของบทความนี้ทำให้เห็นแววตาและท่าทางของสุนัขเลี้ยงแกะ

แววตาและท่าทางของสุนัขเลี้ยงแกะ

ในพันธสัญญาใหม่ เราพบอุปมาและคำสั่งสอนจากพระผู้ช่วยให้รอดที่ให้ข้อคิดเพิ่มเติมเกี่ยวกับหน้าที่ดูแลแกะที่สูญหายของเราในฐานะบราเดอร์และซิสเตอร์ผู้ปฏิบัติศาสนกิจ

“ใครในพวกท่านที่มีแกะร้อยตัวและตัวหนึ่งหลงหายไป จะไม่ทิ้งเก้าสิบเก้าตัวนั้นไว้ที่กลางทุ่งหญ้าแล้วออกไปตามหาตัวที่หายไปนั้นจนกว่าจะพบหรือ?

“และเมื่อพบแล้วเขาจะยกขึ้นใส่บ่าแบกมาด้วยความชื่นชมยินดี

“เมื่อมาถึงบ้าน เขาก็เชิญมิตรสหายและเพื่อนบ้านให้มาพร้อมกัน แล้วพูดกับพวกเขาว่า มาร่วมยินดีกับข้า เพราะข้าพบแกะของข้าที่หายไปนั้นแล้ว”15

เมื่อเราสรุปบทเรียนที่สอนในอุปมา เราพบคำแนะนำล้ำค่านี้

  1. เราต้องรู้ว่าแกะตัวใดสูญหาย

  2. เราตามหาจนกว่าจะพบ

  3. เมื่อพบแล้ว เราจะต้องแบกใส่บ่าพากลับบ้าน

  4. เราให้มิตรสหายห้อมล้อมแกะที่กลับมา

พี่น้องทั้งหลาย ความท้าทายใหญ่หลวงที่สุดและรางวัลใหญ่ที่สุดของเราจะมาเมื่อเราดูแลแกะที่สูญหาย สมาชิกของศาสนจักรในพระคัมภีร์มอรมอน “ดูแลผู้คนของตน, และบำรุงเลี้ยงคนเหล่านั้นด้วยสิ่งที่เกี่ยวกับความชอบธรรม”16 เราสามารถทำตามแบบอย่างของพวกเขาและจดจำว่าการปฏิบัติศาสนกิจคือการ “มีพระวิญญาณทรงนำ … ยืดหยุ่น และ … ปรับตามความต้องการของสมาชิกแต่ละคน” สำคัญเช่นกันที่เราจะ “พยายามช่วยแต่ละบุคคลและครอบครัวเตรียมรับศาสนพิธีต่อไปของพวกเขา รักษาพันธสัญญา [ของพวกเขา] … และพึ่งพาตนเอง”17

ทุกจิตวิญญาณมีค่าต่อพระบิดาบนสวรรค์ พระดำรัสเชื้อเชิญให้ปฏิบัติศาสนกิจมีค่าและสำคัญที่สุดต่อพระองค์ เพราะนี่คืองานและรัศมีภาพของพระองค์ งานของนิรันดรอย่างแท้จริง บุตรธิดาแต่ละคนของพระองค์มีศักยภาพเหลือคณานับในสายพระเนตรของพระองค์ พระองค์ทรงรักท่าน ด้วยความรักที่ท่านไม่สามารถเข้าใจได้ เช่นเดียวกับสุนัขเลี้ยงแกะที่อุทิศตน พระเจ้าจะทรงอยู่บนเขาคอยคุ้มครอง ท่าน ท่ามกลางลม พายุฝน หิมะ และ มากกว่านั้นอีก

ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันสอนเราในการประชุมใหญ่ครั้งที่แล้วว่า “ข่าวสารของเราต่อโลก [และขอเพิ่มคำว่า ‘ต่อกลุ่มการปฏิบัติศาสนกิจของเรา’] เรียบง่ายและจริงใจ นั่นคือ เราเชื้อเชิญให้บุตรธิดาทั้งปวงของพระผู้เป็นเจ้า ทั้งสองด้านของม่าน มาหาพระผู้ช่วยให้รอด รับพรของพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ มีปีติที่ยั่งยืน และคู่ควรแก่การรับชีวิตนิรันดร์”18

ขอให้เราส่งเสริมวิสัยทัศน์ของศาสดาพยากรณ์ เพื่อเราจะสามารถดูแลจิตวิญญาณให้ไปถึงพระวิหารและไปถึงพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคริสต์ในที่สุด พระองค์ไม่ทรงคาดหวังให้เราแสดงปาฏิหาริย์ ทรงขอเพียงให้เรานำพี่น้องชายหญิงมาหาพระองค์ เพราะ พระองค์ ทรงมีอำนาจไถ่จิตวิญญาณ ขณะทำเช่นนั้น เราจะได้รับสัญญานี้ “และเมื่อพระผู้เลี้ยงผู้ยิ่งใหญ่เสด็จมาปรากฏ พวกท่านจะได้รับมงกุฎแห่งศักดิ์ศรีที่ไม่มีวันร่วงโรย”19 ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงสิ่งนี้—และถึงพระเยซูคริสต์ ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่ของเรา—ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน