จงเงยหน้าขึ้นและชื่นชมยินดีเถิด
เมื่อเผชิญเรื่องยากด้วยวิธีของพระเจ้า ขอให้เราเงยหน้าขึ้นและชื่นชมยินดีเถิด
ปี 1981 ข้าพเจ้ากับคุณพ่อ และเพื่อนสนิทสองคนไปผจญภัยในอะแลสกา เราต้องร่อนลงบริเวณทะเลสาบที่ห่างไกลแล้วปีนขึ้นไปยังพื้นที่สูงอันสวยงามของชนบท เพื่อให้สัมภาระเบาลงเราจะต้องแบกไปแต่ของใช้ส่วนตัว เราจะบรรจุอาหารและของใช้อื่นๆ ลงในกล่องหุ้มด้วยโฟม ติดสายรุ้งหลากสีแถบใหญ่ๆ แล้วโยนออกทางหน้าต่างเครื่องบินเล็กสำรวจป่าของเราไว้ที่จุดหมายปลายทาง
หลังจากไปถึง เราค้นแล้วค้นอีกจนท้อใจแต่ก็หากล่องเหล่านั้นไม่พบ สุดท้าย เราพบหนึ่งกล่อง ในกล่องมีเตาแก๊สเล็กๆ ผ้าใบ ขนมและแฮมเบอร์เกอร์เฮลเพอร์สองสามห่อ—แต่ไม่มีแฮมเบอร์เกอร์ เราไม่มีวิธีติดต่อโลกภายนอกและกำหนดการรับกลับของเราคืออีกหนึ่งสัปดาห์
บทเรียนอันมีค่าสองบทที่ข้าพเจ้าเรียนรู้จากประสบการณ์นี้คือ หนึ่ง อย่าโยนอาหารออกทางหน้าต่าง สอง บางครั้งเราต้องเผชิญเรื่องยาก
บ่อยครั้ง ปฏิกิริยาแรกเมื่อเราเจอเรื่องยากคือ “ทำไมต้องเป็นเรา” แต่การถามว่า ทำไม ไม่เคยทำให้เราพ้นเรื่องยาก พระเจ้าทรงเรียกร้องให้เราเอาชนะเรื่องท้าทาย ทรงระบุว่า “สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้จะเป็นประสบการณ์แก่ [เรา], และจะเกิดขึ้นเพื่อความดี [ของเรา].”1
บางครั้งพระเจ้าทรงขอให้เราทำเรื่องยากและบางครั้งเรื่องท้าทายเกิดจากการใช้สิทธิ์เสรีของตัวเราเองหรือผู้อื่น นีไฟประสบมาแล้วทั้งสองอย่าง เมื่อลีไฮขอให้บุตรของตนกลับไปนำเอาแผ่นจารึกจากเลบัน ท่านกล่าวว่า “ดูเถิดพี่ ๆ ของลูกพร่ำบ่น, โดยกล่าวว่ามันเป็นสิ่งยากที่พ่อเรียกร้องจากพวกเขา; แต่ดูเถิดพ่อไม่ได้เรียกร้องสิ่งนี้จากพวกเขา, แต่นี่คือพระบัญชาของพระเจ้า.”2 อีกครั้งหนึ่ง พี่ชายของนีไฟใช้สิทธิ์เสรีของตนจำกัดสิทธิ์เสรีของท่าน“พวกเขาจับข้าพเจ้า, เพราะดูเถิด, พวกเขาโมโหยิ่งนัก, และพวกเขามัดข้าพเจ้าด้วยเชือก, เพราะพวกเขาหมายมั่นจะเอาชีวิตข้าพเจ้า.”3
โจเซฟ สมิธเผชิญเรื่องยากในคุกลิเบอร์ตี้ เมื่อไม่เห็นทางบรรเทาทุกข์และสิ้นหวัง โจเซฟร้องออกมาว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ประทับอยู่ที่ใดเล่า?”4 แน่นอนว่าพวกเราบางคนรู้สึกเหมือนโจเซฟ
ทุกคนเผชิญเรื่องยาก เช่น ความตายของผู้เป็นที่รัก การหย่าร้าง ลูกดื้อ ความเจ็บป่วย การทดสอบศรัทธา ตกงาน หรือความยากลำบากอื่นๆ
ข้าพเจ้าเปลี่ยนตลอดกาล เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านี้จากเอ็ลเดอร์นีล เอ. แม็กซ์เวลล์ ซึ่งพูดขณะกำลังป่วยหนักด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้ากำลังไตร่ตรองถึงความทุกข์ ถ้อยคำที่สอนและเสริมความมั่นใจ 13 คำเข้าสู่ความคิดข้าพเจ้าว่า “เรามอบมะเร็งเม็ดเลือดขาวให้เจ้าเพื่อเจ้าจะสอนผู้คนด้วยประสบการณ์ตรง’” จากนั้นท่านพูดต่อไปเพื่อให้เห็นว่าประสบการณ์นี้เป็นพรแก่ท่านด้วย “มุมมองเกี่ยวกับความเป็นจริงอันยิ่งใหญ่ของนิรันดร … ความเข้าใจเรื่องนิรันดรสามารถช่วยให้เราก้าวไปได้อีก 100 หลา แม้ว่าจะยากมาก5
เพื่อช่วยให้เราเดินทางและมีชัยเหนือช่วงเวลายากลำบากด้วยความเข้าใจเรื่องนิรันดร ข้าพเจ้าขอแนะนำสองเรื่อง เราต้องเผชิญเรื่องยาก ข้อแรก ด้วยการให้อภัยผู้อื่น สอง ถวายตัวเราแด่พระบิดาบนสวรรค์
การให้อภัยผู้ที่เป็นต้นเหตุให้เรามีเรื่องยากและคืนดี “กับพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า”6 อาจจะยากมาก เจ็บปวดที่สุดเมื่อเรื่องยากของเรามาจากสมาชิกในครอบครัว เพื่อนสนิท หรือแม้แต่ตัวเราเอง
ในฐานะอธิการหนุ่ม ข้าพเจ้าเรียนรู้การให้อภัยเมื่อประธานสเตค บรูซ เอ็ม. คุก เล่าเรื่องนี้ ท่านอธิบายว่า
“ช่วงปลายทศวรรษ 1970 ผมเริ่มทำธุรกิจกับหุ้นส่วน แม้เราจะไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แต่การตัดสินใจพลาด ประจวบกับช่วงเวลาที่เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจ ผลก็คือเราล้มเหลว
“ผู้ลงทุนบางคนเตรียมฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการขาดทุน บังเอิญทนายของพวกเขาเป็นที่ปรึกษาในฝ่ายอธิการของครอบครัวเรา เป็นเรื่องยากมากที่จะสนับสนุนชายที่ดูเหมือนจะพยายามทำลายผมอยู่ ผมเริ่มเกลียดเขามากขึ้นทุกขณะและถือว่าเขาคือศัตรูของผม หลังจากการสู้คดีนานห้าปี เราสูญเสียทุกสิ่งรวมทั้งบ้านของเราด้วย
“ในปี 2002 ผมกับภรรยาทราบว่าฝ่ายประธานสเตคที่ผมทำหน้าที่อยู่กำลังจะมีการจัดตั้งใหม่ ขณะที่เราไปพักผ่อนช่วงสั้นๆ ก่อนการปลด ภรรยาผมถามว่าถ้าได้รับเรียกเป็นประธานสเตคคนใหม่จะเลือกใครเป็นที่ปรึกษา ผมไม่อยากพูดเรื่องนี้ แต่เธอถามแล้วถามอีก ในที่สุดชื่อหนึ่งก็เข้ามาในความคิด แล้วเธอก็เอ่ยชื่อของทนายที่เราถือว่าเป็นตัวการที่ก่อความยากลำบากให้เราเมื่อ 20 ปีก่อน ขณะเธอพูด พระวิญญาณยืนยันว่าเขาควรได้เป็นที่ปรึกษาคนหนึ่ง ผมจะให้อภัยเขาได้หรือ
“เมื่อเอ็ลเดอร์เดวิด อี. โซเรนเซ็นมาให้การเรียกเป็นประธานสเตคแก่ผม ท่านให้เวลาผมหนึ่งชั่วโมงเพื่อเลือกที่ปรึกษา ผมหลั่งน้ำตาพลางเรียนท่านว่าพระเจ้าทรงเปิดเผยเรื่องนี้ไว้แล้ว ขณะผมเอ่ยชื่อชายที่ผมเคยถือว่าเป็นศัตรู ความโกรธ ความชิงชังรังเกียจที่เก็บไว้ในใจหายไปสิ้น ณ เวลานั้น ผมเรียนรู้ถึงสันติสุขที่เกิดจากการให้อภัยผ่านการชดใช้ของพระคริสต์”
ประธานสเตคของข้าพเจ้า “ให้อภัย [เขา]อย่างหมดใจ” เหมือนนีไฟสมัยก่อน7 ประธานคุกและที่ปรึกษาของท่านคือผู้นำฐานะปุโรหิตที่ชอบธรรมสองท่านผู้รักกัน ผมเลือกที่จะเป็นเหมือนพวกท่าน
หลายปีก่อน ระหว่างความโชคร้ายของเราในอะแลสกา ข้าพเจ้าเรียนรู้ว่าการโทษคนอื่นว่าเป็นต้นเหตุของปัญหา อาทิ—นักบินที่ปล่อยสัมภาระเมื่อแสงตะวันรอน—ไม่ใช่ทางแก้ อย่างไรก็ตาม ขณะเราเหน็ดเหนื่อย ขาดอาหาร ล้มป่วยและนอนกับพื้นดินท่ามกลางพายุจัดโดยมีผ้าใบผืนเดียวที่คลุมเราไว้ ข้าพเจ้าเรียนรู้ว่า “ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่พระเจ้าทรงทำไม่ได้”8
เยาวชนทั้งหลายพระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกร้องให้ท่านทำเรื่องยาก เยาวชนหญิงอายุ 14 ปีเข้าแข่งขันบาสเกตบอล เธอฝันจะเล่นในระดับมัธยมปลายเหมือนพี่สาว จากนั้นเธอทราบว่าคุณพ่อได้รับเรียกเป็นประธานคณะเผยแผ่ในกัวเตมาลา
เมื่อไปถึงที่นั่น เธอพบว่าชั้นเรียนของเธอมีสองชั้นเรียนที่ใช้ภาษาสเปนซึ่งเธอยังพูดไม่เป็น โรงเรียนนั้นไม่มีทีมกีฬาหญิงแม้แต่ทีมเดียว ต้องอาศัยอยู่ชั้น 14 ของตึกที่รักษาความปลอดภัยเข้มงวด ที่แย่ที่สุดคือ เพื่อความปลอดภัย ห้ามออกนอกบ้านคนเดียว
พ่อแม่ต้องฟังเธอร้องไห้จนเธอหลับทุกคืนหลายเดือน ท่านเสียใจมาก! พ่อแม่ตัดสินใจส่งเธอกลับบ้านไปอยู่กับคุณยายเพื่อเรียนมัธยมปลาย
เมื่อภรรยาข้าพเจ้าเข้าไปบอกลูกสาวในห้อง เธอเห็นลูกคุกเข่าสวดอ้อนวอนเปิดพระคัมภีร์มอรมอนวางไว้บนเตียง พระวิญญาณกระซิบภรรยาข้าพเจ้าว่า “ลูกจะไม่เป็นไร” แล้วเธอก็ออกจากห้องมาเงียบๆ
เราไม่ได้ยินเธอร้องไห้จนหลับอีก ด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้า เธอเผชิญกับช่วงเวลาสามปีนั้นอย่างกล้าหาญ
เมื่อสิ้นสุดงานเผยแผ่ของเรา ข้าพเจ้าถามลูกสาวว่าจะเป็นผู้สอนศาสนาเต็มเวลาหรือไม่ เธอตอบว่า “ไม่ค่ะ พ่อ หนูเป็นแล้ว”
ข้าพเจ้าก็ไม่ว่าอะไร! แต่หกเดือนต่อมา พระวิญญาณปลุกข้าพเจ้ากลางดึกโดยคิดว่า “ข้าพเจ้าควรเรียกลูกสาวให้รับใช้งานเผยแผ่”
ข้าพเจ้าตอบว่า “พระบิดาบนสวรรค์ เธอให้มากแล้วนะ” พระวิญญาณแก้ไขข้าพเจ้าอย่างรวดเร็วจนเข้าใจว่าพระเจ้าทรงเรียกร้องให้เธอรับใช้เป็นผู้สอนศาสนา
ข้าพเจ้าพาลูกไปรับประทานอาหารกลางวัน ที่โต๊ะอาหารข้าพเจ้าพูดว่า “แกนซี เรามาที่นี่ทำไมรู้ไหม”
เธอตอบว่า “ทราบค่ะ คุณพ่อทราบว่าหนูต้องรับใช้งานเผยแผ่ หนูไม่อยากไป แต่กำลังจะไปค่ะ
เธอถวายความประสงค์ของเธอแด่พระบิดาบนสวรรค์ รับใช้พระองค์ด้วยสุดใจ พลัง ความนึกคิด และพละกำลัง เธอสอนให้พ่อรู้วิธีรับมือเรื่องยาก
ในข้อคิดทางวิญญาณทั่วโลกสำหรับเยาวชน ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันขอให้เยาวชนทำเรื่องยากบางเรื่อง ประธานเนลสันกล่าวว่า “คำเชื้อเชิญข้อที่ห้าของข้าพเจ้าคือให้ท่านโดดเด่นและแตกต่างจากโลก … ดังนั้น พระเจ้าทรงต้องการให้ท่านดูเหมือน ฟังเหมือน กระทำเหมือน และแต่งกายเหมือนสานุศิษย์ที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์”9 น่าจะเป็นเรื่องยาก แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านทำได้—ด้วยปีติ
จำไว้ว่า “มนุษย์เป็นอยู่, เพื่อพวกเขาจะมีปีติ.”10 กับทุกสิ่งที่ลีไฮเผชิญ ท่านยังพบปีติ พึงจดจำว่าเมื่อแอลมา “หนักอึ้งด้วยโทมนัส”11เพราะชาวเมืองแอมันไนฮาห์ เทพบอกท่านว่า “เจ้าเป็นสุขแล้ว, แอลมา; ฉะนั้น, จงเงยหน้าขึ้นและชื่นชมยินดี … เพราะเจ้าซื่อสัตย์ในการรักษาพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า”12 แอลมาเรียนรู้ความจริงว่า เราชื่นชมยินดีได้เสมอเมื่อเรารักษาพระบัญญัติ” พึงจดจำว่าระหว่างเผชิญสงครามและเรื่องท้าทายในยุคสมัยของแม่ทัพโมโรไน “ไม่เคยมีเวลาใดเลยในบรรดาผู้คนของนีไฟที่เป็นสุข, ยิ่งไปกว่า [นั้น].13 เราสามารถหาและควรหาปีติให้พบเมื่อเราเผชิญเรื่องยาก
พระผู้ช่วยให้รอดทรงเผชิญเรื่องยากดังนี้ “และโลกมนุษย์ … จะตัดสินพระองค์ว่าเป็นสิ่งไร้ค่า; ดังนั้นพวกเขาโบยพระองค์, และพระองค์ทรงยอม; และพวกเขาทำร้ายพระองค์, และพระองค์ทรงยอม. แท้จริงแล้ว, พวกเขาถ่มน้ำลายรดพระองค์, และพระองค์ทรงยอม, เพราะความการุณย์รักของพระองค์และความอดกลั้นของพระองค์ต่อลูกหลานมนุษย์.”14
เนื่องจากความการุณย์รักนั้น พระเยซูคริสต์ทรงยอมชดใช้ อันเป็นผลให้พระองค์ตรัสกับเราทุกคนว่า “ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิด เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว”15 เนื่องจากพระคริสต์ เราชนะโลกได้เช่นกัน
เมื่อเผชิญเรื่องยากด้วยวิธีของพระเจ้า ขอให้เราเงยหน้าขึ้นและชื่นชมยินดีเถิด ในโอกาสศักดิ์สิทธิ์ที่จะเป็นพยานต่อโลก ข้าพเจ้าประกาศว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงพระชนม์และทรงนำทางศาสนจักรของพระองค์ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน