2019
ความสามารถในการปรับตัว: เกราะทางวิญญาณสำหรับเยาวชนยุคปัจจุบัน
กันยายน 2019


ความสามารถในการปรับตัว: เกราะทางวิญญาณสำหรับเยาวชนยุคปัจจุบัน

บุตรธิดาของเราเจริญรุ่งเรืองได้แม้ต้องเผชิญความท้าทายของยุคปัจจุบัน หน้าที่รับผิดชอบของเราในฐานะบิดามารดาคือช่วยเตรียมพวกเขาให้พร้อมเผชิญความท้าทายเหล่านั้นโดยไม่หวั่นเกรง

young man running hurdles

ภาพถ่ายจาก Getty Images

เรื่องมีอยู่ว่าในช่วงที่สหราชอาณาจักรปกครองอนุทวีปอินเดีย งูเห่าอาศัยอยู่ในเดลีและบริเวณโดยรอบเยอะมากจนไม่สามารถควบคุมได้ เพื่อแก้ปัญหานี้ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจึงเริ่มจ่ายเงินรางวัลให้คนฆ่างูที่นำเอาซากงูมาขึ้นรางวัล เงินรางวัลที่ไม่พิจารณาให้รอบคอบส่งผลกลับตาลปัตรเมื่อชาวบ้านหัวหมอเริ่มเพาะพันธุ์งูเห่าเพื่อหากำไร เมื่อหยุดให้เงินรางวัล ผู้เพาะพันธุ์ก็ปล่อยงูเห่า ปัญหาจึงแย่ยิ่งกว่าเดิม

บางครั้งเราเรียกปรากฏการณ์ของผลข้างเคียงที่ไม่ตั้งใจอันก่อความเสียหายมากกว่าประโยชน์ที่ตั้งใจว่า “ฤทธิ์งูเห่า”1

ฤทธิ์งูเห่าต่ออนุชนรุ่นหลัง

ระหว่างไปเยือนมหาวิทยาลัยบริคัมยังก์–ไอดาโฮในฤดูใบไม้ร่วงปี 2017 เฮนรีย์ เจ. อายริงก์อธิการบดีคนใหม่บอกข้าพเจ้าว่าเรื่องที่เขากังวลมากสุดคือนักศึกษาปีหนึ่งมีอัตราการเลิกเรียนกลางคันสูง นักศึกษาออกจากมหาวิทยาลัยด้วยเหตุผลต่างๆ นานา แต่การขาดความสามารถในการปรับตัวเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักๆ ที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งทั่วสหรัฐกำลังประสบความท้าทายเหมือนกัน2

ความสามารถในการปรับตัวคือ “ความสามารถในการฟื้นตัวหรือปรับตัวรับความโชคร้ายหรือการเปลี่ยนแปลงได้โดยง่าย”3 เมื่อทราบว่าทหารใหม่ขาดความสามารถในการปรับตัว กองทัพสหรัฐจึงเริ่มเสนอโปรแกรม Master Resilience Training (MRT) เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ทหารพร้อมต้านความเครียด ข้อเรียกร้อง และความยากลำบากของการเป็นทหาร4

เราเผชิญกับข้อกังวลเดียวกันในศาสนจักรเกี่ยวกับเปอร์เซ็นต์ของผู้สอนศาสนาเต็มเวลาที่กลับจากคณะเผยแผ่ก่อนกำหนดสูงกว่ารุ่นก่อนๆ ผู้สอนศาสนาบางคนมีปัญหาสุขภาพร้ายแรงหรือการทดลองอื่นที่จำเป็นต้องปลดก่อน แต่หลายคนอาจไม่ได้พัฒนาความสามารถในการปรับตัวมากพอ

ไลล์ เจ. เบอร์รัปผู้รับใช้เป็นที่ปรึกษาด้านสุขภาพจิตในแผนกผู้สอนศาสนาของศาสนจักรตั้งข้อสังเกตว่าสาเหตุทั่วไปส่วนใหญ่ของปัญหาทางอารมณ์ที่ผู้สอนศาสนาพบเจอคือการขาดความสามารถในการปรับตัว “ในหลายกรณี” เขากล่าว “ผู้สอนศาสนาคนนั้นแค่ไม่เคยเรียนรู้วิธีรับมือกับความท้าทายได้อย่างดีพอ”5

มหาวิทยาลัย กองทัพ และสนามเผยแผ่ไม่ได้ก่อปัญหา แค่เผยให้เห็นปัญหา จริงๆ แล้วความสามารถในการปรับตัวต่ำในหมู่เยาวชนยุคปัจจุบันอาจเป็นผลที่ไม่ตั้งใจ—ฤทธิ์งูเห่าสมัยใหม่—อันเนื่องจากปัจจัยบางอย่างได้แก่

  • การใช้เวลาบนโซฟาและบนอุปกรณ์ดิจิทัลมากเกินไป ไม่ออกกำลังกายและทำกิจกรรมทางกายมากเท่าคนรุ่นก่อน6

  • การเปิดรับโลกเสมือนจริงแต่ไม่จริงหรือโลกที่เสแสร้งมากเกินไป ส่งผลให้มองตนเองผิดเพี้ยน วิตกกังวล ซึมเศร้า และน้อยเนื้อต่ำใจ7

  • ความไม่อดทนในโลกของการสนองความพอใจเดี๋ยวนั้นและคำตอบตามความเร็วของกูเกิล (ในทางกลับกัน ความสามารถในการปรับตัวส่วนใหญ่พัฒนาผ่านความอดทน)

  • การป้องกันทะเลที่บ้าคลั่ง “ทะเลเรียบไม่ทำให้กะลาสีช่ำชอง”8

  • โลกกับทางเลือกไม่สิ้นสุดที่ส่งเสียงรบกวนสารพัดจนทำให้สับสน และชีวิตสะดวกสบายที่สามารถทำให้เยาวชนและผู้ใหญ่ตอบสนองเรื่องของพระวิญญาณช้าลง

  • เวลาอยู่หน้าดิจิทัลมากเกินไปและเวลาอยู่ต่อหน้าไม่มากพอ ส่งผลให้ทักษะระหว่างบุคคลด้อยพัฒนา

หนังสือหลายเล่มเขียนเกี่ยวกับความท้าทายที่ซับซ้อนและยากจะจัดการนี้ รวมถึงหนังสือที่มีชื่อน่าสนใจว่า iGen: Why Today’s Super-Connected Kids Are Growing Up Less Rebellious, More Tolerant, Less Happy—and Completely Unprepared for Adulthood

โลกกำลังเปลี่ยน พระเจ้าทรงสงวนวิญญาณที่สามารถเจริญก้าวหน้าขณะเผชิญความท้าทายยุคปัจจุบันไว้สำหรับยุคนี้ หน้าที่ของเราในฐานะบิดามารดาคือช่วยเตรียมพวกเขาให้พร้อมเผชิญความท้าทายเหล่านั้นโดยไม่หวั่นเกรงโดยบ่มเพาะและส่งเสริมความสามารถในการปรับตัว ศรัทธา และความทรหดของพวกเขา

ด้วยมีหลักธรรมพระกิตติคุณอันเปี่ยมด้วยพลังคอยช่วยเหลือเรา เราจึงสามารถช่วยเยาวชนเสริมสร้างความสามารถในการปรับตัวของพวกเขา ทำให้พวกเขาสามารถเป็นเหมือนพระผู้ช่วยให้รอดมากขึ้นโดย “เจริญขึ้นในด้านสติปัญญา และด้านร่างกาย [ทางกายและใจ] และเป็นที่ชอบต่อพระพักตร์พระเจ้า [ทางวิญญาณ] และต่อหน้าคนทั้งหลายด้วย [ทางสังคมและอารมณ์]” (ลูกา 2:52) ข้าพเจ้าต้องการพูดถึงหลักธรรมพระกิตติคุณสี่ข้อนี้ คือ (1) การพึ่งพาตนเอง (2) การตรงกันข้ามในสิ่งทั้งปวง (3) ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ และ (4) สิทธิ์เสรีทางศีลธรรม

1. การเลี้ยงดูบุตรธิดาให้พึ่งพาตนเอง: ซานตาคลอสกับสครูจ

ในการช่วยเหลือคนขัดสน เราพยายามหาดุลยภาพที่เหมาะสมระหว่างหลักธรรมเสริมกันสองข้อนี้ได้แก่ การมีจิตกุศลกับการส่งเสริมการพึ่งพาตนเอง การมีจิตกุศลโดยไม่ส่งเสริมการพึ่งพาตนเองคือซานตาคลอส การส่งเสริมการพึ่งพาตนเองโดยไม่มีความกรุณาคือสครูจ9 สุดโต่งด้านเดียวย่อมไม่มีดุลยภาพ

father and son fishing

จิตกุศล (ให้ปลากับคน) และการพึ่งพาตนเอง (สอนคนให้ตกปลา) ประยุกต์ใช้กับการเป็นบิดามารดาได้เช่นกัน เราอาจจะตัดสินใจทุกอย่างแทนลูก แต่จะฉลาดกว่านั้นถ้าสอนวิธีการตัดสินใจให้พวกเขา และด้วยเหตุนี้จึงช่วยให้พวกเขาพึ่งพาตนเองด้านสติปัญญา วิญญาณ สังคม และอารมณ์

ตัวอย่างที่สร้างแรงบันดาลใจอยู่ในผลงานประทับใจเรื่อง The Miracle Worker ภาพยนตร์ที่มาจากอัตชีวประวัติของเฮเลน เคลเลอร์ผู้เจ็บป่วยตอนเป็นทารกจนทำให้เธอหูหนวกและตาบอด10 พ่อแม่ของเฮเลนใช้วิธีเลี้ยงดูบุตรสาวแบบซานตาคลอสคือคอยควบคุม ปกป้อง และตามใจจนเกินเหตุ ส่งผลให้การเติบโตด้านสติปัญญา วิญญาณ สังคม และอารมณ์ของเฮเลนหยุดชะงัก

ในทางกลับกัน แอนน์ ซัลลิแวนครูส่วนตัวของเฮเลน พอรู้ว่าเฮเลนถูกตามใจมากเกินไปจึงเริ่มช่วยเฮเลนเผชิญปัญหาและพึ่งพาตนเองมากขึ้น ในที่สุด แอนน์ ซัลลิแวนน์นั่นเอง ไม่ใช่พ่อแม่ของเฮเลน ที่ช่วยให้เฮเลนบรรลุศักยภาพที่แท้จริงของเธอ

เพราะเรารักลูก เราจึงต้องการให้พวกเขาประสบความสำเร็จ เราอาจถูกชักจูงให้เอาอุปสรรคทั้งหมดออกไปจากเส้นทางของพวกเขา หรือเพื่อให้พวกเขาผิดหวังและล้มเหลวน้อยที่สุด เราอาจถูกชักจูงให้ทำงานหนักแทนพวกเขาเหมือนพ่อแม่ของเฮเลนทำ แต่เมื่อเราทำเช่นนั้น เราอาจจะกำลังขัดขวางลูกๆ ของเราโดยไม่รู้ตัวไม่ให้พวกเขาพัฒนาความสามารถในการปรับตัวที่ต้องมีเพื่อเป็นสานุศิษย์ที่เข้มแข็งและพึ่งตนเองของพระคริสต์

แทนที่จะปกป้องมากเกินไปหรือมาช่วยพวกเขาเร็วเกินไป เราควรพิจารณาวิธีของพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ทรงเพิ่มพละกำลังให้เรา “แบกสัมภาระ [ของเรา]” (โมไซยาห์ 24:15) และบ่อยครั้งไม่เสด็จมาช่วยเหลือเราเร็วเท่าที่เราต้องการ (ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 121:1–3)

2. การตรงกันข้าม: พรของเรื่องยากๆ

หนึ่งในวิธีที่พระบิดาบนสวรรค์ พระบิดาที่สมบูรณ์แบบของเรา ทรงเลี้ยงดูเราให้ปรับตัวได้และเตรียมเราให้พร้อมรับความสุขในอนาคตคือทรงส่งเรามาในโลกที่จะทดสอบและขัดเกลาความสามารถในการปรับตัวของเรา ดังประจักษ์ชัดในพระคัมภีร์ต่อไปนี้

  • เราจะ “ถูกทดลอง, แม้ดังอับราฮัม” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 101:4)

  • ความยากลำบาก “จะเป็นประสบการณ์แก่ [เรา], และจะเกิดขึ้นเพื่อความดีของ [เรา]” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 122:7)

  • “มีการตรงกันข้ามในสิ่งทั้งปวง” (2 นีไฟ 2:11) ด้วยเหตุนี้พระบิดาบนสวรรค์จึงทรงยอมให้เรา “ลิ้มรสความขมขื่น, เพื่อ [เรา] จะรู้จักให้คุณค่าแก่ความดี” (โมเสส 6:55)

  • เรา “ไม่ได้รับพยานจนหลังการทดลองศรัทธา [ของเรา]” (อีเธอร์ 12:6)

การฝึกพัฒนาคุณธรรมเหมือนพระคริสต์เช่น ศรัทธา ความอดทน ความขยันหมั่นเพียร ความสามารถในการปรับตัว และอื่นๆ อีกมากมาย จะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากการตรงกันข้ามหรือ “เตาของความทุกข์ยาก” (อิสยาห์ 48:10) เพราะเหตุนี้พระบิดาในสวรรค์จึงทรงยอมให้เราประสบความท้าทายยากๆ และทำเรื่องยากๆ เราจะเป็นเหมือนพระผู้ทรงเป็นแบบอย่างที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไรถ้าเราไม่ประสบการทดลองคล้ายกับการทดลองที่ทำให้พระองค์ทรงเป็นดังที่เป็นอยู่

ข้าพเจ้าบอกผู้สอนศาสนาบ่อยครั้งว่า “ในสนามเผยแผ่คุณจะได้ลงทะเบียนเรียนหลักสูตรขั้นสูง ได้แก่ ความขยันหมั่นเพียร 501 ความอดทน 505 และอื่นๆ อีกมากมาย โดยผ่านหลักสูตรขั้นสูงนี้เท่านั้นคุณจึงจะได้ฝึกเป็นผู้สอนศาสนาที่ยอดเยี่ยม เป็นสามีและภรรยา บิดาและมารดาที่ดีเด่นในภายภาคหน้า ถ้าคุณมีวันที่ยากลำบาก จงฉลองความทุกข์ของคุณเช่นเดียวกับอัครสาวกเปโตรและยอห์นทำหลังจากถูกจำคุกและถูกโจมตี พวกเขา ‘ยินดีที่พระเจ้าทรงนับว่าพวกเขามีค่าสมควรได้รับการหลู่เกียรติเพราะพระนามนั้น’” (ดู กิจการของอัครทูต 5:18, 40–41; ดู 1 เปโตร 4:13; โคโลสี 2:8)

ความยากลำบาก การต่อสู้ดิ้นรน และการทำมากกว่าที่คิดว่าจะทำได้จะช่วยเราพัฒนาความสามารถในการปรับตัว—ความสามารถในการลุกขึ้น ปัดฝุ่น และอยู่บนทางคับแคบและแคบต่อไป เส้นทางนี้มักลาดชันและขรุขระ เราทุกคนจะมีความล้มเหลวและความผิดพลาดเหมือนกัน ของขวัญแห่งการกลับใจได้ไม่จำกัดของพระเจ้าทำให้เราสามารถก้าวไปข้างหน้าด้วยความสามารถในการปรับตัว11

people hiking

3. พระวิญญาณบริสุทธิ์และการตัดสินใจด้วยการดลใจ

แทนที่จะได้คำตอบง่ายๆ เด็กต้องพัฒนาศิลปะของการตัดสินใจ เราสามารถให้แนวทางแต่ควรปล่อยให้พวกเขาคิดด้วยตนเองและเริ่มตัดสินใจแม้ในเรื่องเล็กน้อยที่สุด

จริงอยู่ที่ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นของประทานยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์จะได้รับ12 แต่เรื่องสำคัญที่สุดและเปิดทางให้ได้รับของประทานดังกล่าวมากที่สุดที่บิดามารดาสอนบุตรธิดาได้คือการรู้จักสุรเสียงกระซิบของพระวิญญาณบริสุทธิ์ การสอนบุตรธิดาให้มีค่าควรรับของประทานอันยิ่งใหญ่นี้และวิธีรับการเปิดเผยส่วนตัวเป็นเรื่องสำคัญอันดันแรกที่เราสามารถทำได้เพื่อเลี้ยงดูพวกเขาให้พึ่งพาตนเองทางวิญญาณ

เราเรียนรู้บทเรียนสำคัญจากออลิเวอร์ คาวเดอรีผู้ทูลขอในการสวดอ้อนวอนแต่ไม่ได้รับ พระเจ้ารับสั่งกับเขาว่า

“ดูเถิด, เจ้าไม่เข้าใจ; เจ้าคิดเอาว่าเราจะให้สิ่งนี้แก่เจ้า, เมื่อเจ้าไม่ใช้ความคิดนอกจากจะถามเรา.

แต่, ดูเถิด, เรากล่าวแก่เจ้า, ว่าเจ้าต้องศึกษาไตร่ตรองในความคิดของเจ้า; จากนั้นเจ้าต้องถามเราว่ามันถูกต้องหรือไม่, และหากมันถูกต้องเราจะทำให้ทรวงอกของเจ้าเผาไหม้อยู่ภายในเจ้า; ฉะนั้น, เจ้าจะรู้สึกว่ามันถูกต้อง” (ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 9:7–8)

mother helping with schoolwork

เมื่อบุตรธิดามาหาเราและขอความช่วยเหลืออย่างเช่นเรื่องการบ้าน เราไม่ทำการบ้านให้พวกเขา เราให้คำแนะนำ แล้วพูดตามที่พระเจ้าตรัสกับออลิเวอร์ว่า “ตอนนี้ ไปทำการบ้าน เมื่อทำเสร็จแล้ว ค่อยกลับมาให้ดูว่าลูกตอบถูกหรือเปล่า”

การสอนให้บุตรธิดารู้วิธีเอาชนะการทดลองของตนจะช่วยให้พวกเขาคิดด้วยตนเอง หาเหตุผลมาแก้ปัญหา และรู้จักสุรเสียงกระซิบของพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยผ่านประสบการณ์ในการแก้ปัญหาเท่านั้นที่พวกเขาจะพัฒนาสามัญสำนึกและปัญญา เพิ่มพูนความสามารถในการ “ศึกษาไตร่ตรอง” และรับการเปิดเผย

การไม่สอนให้บุตรธิดาพึ่งพาตนเองทางวิญญาณและมีความสามารถในการปรับตัวมาพร้อมกับคำเตือนที่จริงจังนี้จากประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน “ในวันข้างหน้า เราจะรอดทางวิญญาณไม่ได้หากปราศจากอิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่มีให้ตลอดเวลา ทั้งนำทาง ชี้ทาง และปลอบโยน”13

4. การเคารพสิทธิ์เสรีเมื่อต้องตัดสินใจ

ข้าพเจ้าเคยได้ยินประธานเนลสันเล่าเรื่องบุตรสาวอายุแปดขวบของท่านที่มาหาท่านวันอาทิตย์วันหนึ่งและถามว่าเธอจะไปเล่นเลื่อนหิมะกับครอบครัวหนึ่งในวอร์ดได้ไหม ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้ารู้ว่าไม่ฉลาดถ้าจะตอบว่าได้หรือไม่ได้ เราจึงเปิดพระคัมภีร์ไบเบิลไปที่ อพยพ 31:13: ‘จงรักษาวันสะบาโตของเราไว้ เพราะนี่จะเป็นหมายสำคัญระหว่างเรากับพวกเจ้าตลอดชั่วชาติพันธุ์ของพวกเจ้า’ ข้าพเจ้าถามต่อจากนั้นว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับการไปเล่นเลื่อนหิมะในวันสะบาโต เธอตอบว่า ‘พ่อคะ หนูอยากแสดงให้พระบิดาบนสวรรค์เห็นว่าหนูรักพระองค์ หนูไม่ไปแล้วค่ะ’”

ประธานเนลสันกล่าวต่อไปว่า “หลังจากรุ่นหนึ่งผ่านไปและตอนนี้บุตรสาวข้าพเจ้าเป็นมารดา ข้าพเจ้าอยู่ในบ้านเธอเมื่อลูกชายเธอขออนุญาตเธอด้วยคำขอที่คล้ายกันมาก ข้าพเจ้าตะลึงและพอใจเมื่อเห็นเธอเปิดพระคัมภีร์ไบเบิลกับหลานชายข้าพเจ้าและอ่านข้อเดียวกัน”

หลายปีก่อน ข้าพเจ้าอ่านเรื่องบิดาคนหนึ่งที่ปลุกลูกชายในวันอาทิตย์วันหนึ่งให้เตรียมตัวไปโบสถ์ ลูกชายตอบว่า “วันนี้ผมจะไม่ไปโบสถ์” พ่อแม่จำนวนมากจะถูกชักจูงให้พูดตอนนั้นว่า “อ๋อ ได้สิ” แล้วก็คาดโทษ บิดาคนนี้ฉลาดกว่าและพูดเพียงว่า “ลูกพ่อ ลูกไม่ต้องอธิบายให้พ่อฟังหรอกว่าทำไมไม่ไป เพราะนี่ไม่ใช่ศาสนจักรของพ่อ แต่ลูกควรคุกเข่าและทูลคำแก้ตัวของลูกต่อพระบิดาในสวรรค์”

จากนั้นบิดาก็ปล่อยให้ลูกชายตัดสินใจเองด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสามารถกระตุ้นเตือนบุตรธิดาของเราได้ดีกว่าเราถ้าเราจะแค่วางใจในของประทานอันยิ่งใหญ่นั้น “ไม่มีพยานใดน่ากลัวหรือไม่มีผู้กล่าวหาคนใดมีฤทธิ์เท่ามโนธรรม”14 ภายในไม่กี่นาที วัยรุ่นคนนั้นก็ลุกจากเตียงและเตรียมตัวไปโบสถ์ หากบิดาบังคับบุตรชายให้ไปโบสถ์ เขาอาจจะหว่านเมล็ดแห่งความขุ่นเคืองและความดื้อดึง และทำให้งูเห่าแผลงฤทธิ์

มีความเสี่ยงในการเคารพสิทธิ์เสรีของบุตรธิดาและปล่อยให้พวกเขาเลือกเอง แต่พระบิดาในสวรรค์ไม่เสี่ยงแบบเดียวกันในชีวิตก่อนเกิดหรอกหรือและด้วยเหตุนี้จึงสูญเสียลูกทางวิญญาณหนึ่งในสามของพระองค์ เพราะหลักคำสอนเรื่องสิทธิ์เสรีจำเป็นต่อแผนแห่งความรอด ความเสี่ยงจึงเลี่ยงไม่ได้ แม้ลูซิเฟอร์ค้านว่าเลี่ยงได้

ถ้าข้าพเจ้าจะปรับคำพูดอ้างอิงของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธสักนิด ข้าพเจ้าจะพูดเกี่ยวกับบุตรธิดาทำนองนี้ “เราสอนหลักธรรมที่ถูกต้องแก่พวกเขาเพราะไม่ว่าเราชอบหรือไม่ชอบ พวกเขาจะปกครองตนเอง”15 วันนั้นจะมาถึงเมื่อบุตรธิดาของเราจะออกจากบ้าน ความหวังเดียวของเราในฐานะบิดามารดาคือสอนหลักธรรมที่ถูกต้องแก่พวกเขาเกี่ยวกับแผนแห่งความรอดและช่วยให้พวกเขารู้จักสุรเสียงกระซิบของพระวิญญาณเพื่อนำทางให้พวกเขาใช้สิทธิ์เสรีอย่างฉลาด มิฉะนั้นแล้วพวกเขาจะขาดการพึ่งพาตนเองทางวิญญาณและความสามารถในการปรับตัวเพื่อเผชิญการทดลองในอนาคตและมีโอกาสที่เราจะสูญเสียพวกเขา

เราทุกคนสำนึกคุณอย่างสุดซึ้งชั่วนิรันดร์ต่อการกระทำสำคัญที่สุดของความสามารถในการปรับตัวในประวัติศาสตร์ของโลก—นั่นคือการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดมิได้ทรงหลบหลีกการเผชิญหน้าการทดสอบอันเข้มงวดของพระองค์ แม้เมื่อทรงอยู่ภายใต้ความกดดันและความเครียดที่ไม่สามารถเข้าใจได้

young woman praying

ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์และการพึ่งพาตนเองทางวิญญาณหล่อเลี้ยงความสามารถในการปรับตัวทางวิญญาณซึ่งมีความหมายเดียวกันกับความอดทน และคนที่ “อดทน [อย่างซื่อสัตย์] จนกว่าชีวิตจะหาไม่ … จะมีชีวิตนิรันดร์” (2 นีไฟ 31:20)

ขอพระเจ้าทรงอวยพรเราผู้เป็นบิดามารดาในหน้าที่สำคัญเร่งด่วนของเราในการเลี้ยงดูบุตรธิดาให้มีความสามารถในการปรับตัวด้านสติปัญญา ร่างกาย วิญญาณ สังคม และอารมณ์

อ้างอิง

  1. ฮอร์สท์ ซีแบรท นักเศรษฐศาสตร์ชาวเยอรมันเป็นคนที่คิดวลี ”ฤทธิ์งูเห่า” ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวิธีแก้ปัญหาทำให้ปัญหาเลวร้ายกว่าเดิม

  2. ดู Connie Matthiessen, “Why Are So Many College Students Returning Home?” Jan. 9, 2019, greatschools.org.

  3. Merriam-Webster’s Collegiate Dictionary, 11th ed. (2003), “resilience,” merriamwebster.com.

  4. ดู “Master Resilience Training (MRT) in the U.S. Army: PowerPoint & Interview,” Positive Psychology Program, positivepsychologyprogram.com.

  5. ไลล์ เจ. เบอร์รัป, “เลี้ยงดูบุตรธิดาให้มีความหยุ่นตัว,” เลียโฮนา, มี.ค. 2013, 11.

  6. ดู Meena Azzollini, “Declining Physical Activity Levels in Children and Teens,” WellBeing, July 10, 2017, wellbeing.com.au.

  7. ดู Rachel Ehmke, “How Using Social Media Affects Teenagers,” Child Mind Institute, June 6, 2016, childmind.org.

  8. ภาษิตแอฟริกัน

  9. สครูจเป็นตัวละครจอมตระหนี่ในเรื่อง A Christmas Carol ของชาร์ลส์ ดิกเคน

  10. ดู เฮเลน เคลเลอร์, The Story of My Life (1902).

  11. ดู ลินน์ จี. รอบบินส์, “เจ็ดสิบครั้งคูณเจ็ด,” เลียโฮนา, พ.ค. 2018, 21–23.

  12. ดู คำสอนของประธานศาสนาจักร: วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ์ (2004), 50

  13. รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน,“การเปิดเผยสำหรับศาสนจักร การเปิดเผยสำหรับชีวิตเรา,” เลียโฮนา, พ.ค. 2018, 96.

  14. สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากโพลีเบียสหรือโซโฟเคิลส์

  15. ดู คำสอนของประธานศาสนาจักร: โจเซฟ สมิธ (2007), 284.