2020
วิธีที่พระเจ้าทรงเตรียมโลกให้พร้อมรับการฟื้นฟู
มกราคม 2020


วิธีที่พระเจ้าทรง เตรียมโลก ให้พร้อมรับการฟื้นฟู

พระเจ้าทรงเตรียมโลกหลายวิธีนับไม่ถ้วนให้พร้อมรับการฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระองค์เพื่อเป็นพรแก่บุคคล ครอบครัว ชุมชน ประเทศชาติ และโลก

Joseph kneeling

อิทธิพลของแสงสว่างและความมืด โดย วอร์เรน ลูช เอื้อเฟื้อโดยพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ศาสนจักร

พระเจ้าทรงเตรียมโลกให้พร้อมรับการฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ไว้นานแล้วก่อนพระบิดาและพระบุตรทรงปรากฏต่อโจเซฟ สมิธในปี 1820 อันที่จริงการเตรียมฟื้นฟูความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณของพระเจ้าในวันเวลาสุดท้ายเริ่มมาแล้วก่อนสร้างโลก

ในการเปิดเผยเมื่อเดือนตุลาคม ปี 1918 ตามที่ทราบกันว่าเป็นพระคัมภีร์หลักคำสอนและพันธสัญญาภาค 138 ซึ่งประธานโจเซฟ เอฟ. สมิธ (1838–1918) ได้รับ เราเรียนรู้ว่าผู้นำยุคแรกของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายและ “วิญญาณเลิศเลออื่น ๆ … ทรงเก็บไว้รอให้ออกมาในความสมบูรณ์แห่งเวลาเพื่อมีส่วนในการวางรากฐานของงานยุคสุดท้ายอันสำคัญยิ่ง” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 138:53; เน้นตัวเอน)

ประธานสมิธเห็น “คนเหล่านั้นอยู่ในบรรดาผู้ที่สูงศักดิ์และยิ่งใหญ่ด้วยผู้ได้รับเลือกไว้ในกาลเริ่มต้น” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 138:55) ท่านเพิ่มเติมว่า “พวกท่าน, พร้อมกับคนอื่นๆ มากมาย, ได้รับบทเรียนแรกๆ ของพวกท่านในโลกแห่งวิญญาณและพร้อมจะออกมาในเวลาอันเหมาะสมของพระเจ้าเพื่อทำงานในสวนองุ่นของพระองค์เพื่อความรอดของจิตวิญญาณมนุษย์” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 138:56; เน้นตัวเอน)

หลังจากการสร้างโลก “บรรดาผู้เผยพระวจนะตั้งแต่กาลโบราณมา” พูด ขับร้อง ฝัน และพยากรณ์เกี่ยวกับ “การฟื้นฟูสรรพสิ่ง” ในอนาคต (กิจการของอัครทูต 3:21; ดู ลูกา 1:67–75)

เมื่อพูดถึงศาสดาพยากรณ์ท่านแรกของการฟื้นฟูศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ ประธานบริคัม ยังก์ (1801–1877) กล่าวว่า “พระเจ้าทรงเฝ้ามองท่าน บิดาของท่าน บิดาของบิดาท่าน และบรรพบุรุษของท่านกลับไปจนถึงอับราฮัม และจากอับราฮัมจนถึงน้ำท่วม จากน้ำท่วมถึงเอโนค และจากเอโนคถึงอาดัม พระองค์ทรงเฝ้ามองครอบครัวนั้นและสายเลือดนั้นดังที่มันไหลเวียนจากจุดเริ่มต้นจนถึงการกำเนิดของชายผู้นั้น [โจเซฟ สมิธ] ได้รับแต่งตั้งล่วงหน้าให้เป็นประธานควบคุมสมัยการประทานสุดท้าย”1

ขณะที่เราฉลองนิมิตแรกครบ 200 ปีในปีนี้ เราสมควรระลึกถึงสตรีและบุรุษมากมายหลายท่านตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมาผู้ได้รับการดลใจจากพระเจ้าขณะพระองค์ทรงเตรียมโลกให้พร้อมรับการฟื้นฟูที่เริ่มต้นเมื่อพระบิดาและพระบุตรทรงปรากฏต่อเด็กหนุ่มโจเซฟ สมิธผู้ทูลขอการให้อภัยและการนำทางในปี 1820

เมื่อเรามองย้อนกลับไปในอดีต เราจะค้นพบว่าการปฏิวัติมากมายหลายด้านที่เกิดขึ้นทั่วโลกเตรียมผู้คนให้พร้อมรับศาสนจักรของพระเจ้าที่จะฟื้นฟูในวันเวลาสุดท้าย2

การปฏิวัติต้นฉบับ

วิธีสำคัญที่สุดวิธีหนึ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมโลกให้พร้อมรับการฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระองค์คือการปฏิวัติต้นฉบับอันเกิดจากการคิดค้นและการใช้กระดาษปาปิรุสกับแผ่นหนัง3

สมัยโบราณและยุคปัจจุบันตอนต้นใช้แผ่นหนังที่ทำจากหนังสัตว์เป็นแผ่นเขียนหนังสือ4 พระคัมภีร์ไบเบิลภาษาฮีบรูที่รู้จักกันครั้งแรกสุด (พันธสัญญาเดิม) และพระคัมภีร์ไบเบิลเล่มสำคัญๆ อีกหลายเล่มต่อจากนั้นล้วนอนุรักษ์ไว้บนแผ่นหนัง5

กระดาษปาปิรุสที่ทำจากเนื้อเยื่อส่วนในของต้นกกเป็นวัสดุอีกอย่างหนึ่งที่ใช้เป็นแผ่นเขียนหนังสือในสมัยโบราณ พันธสัญญาใหม่เล่มแรกสุดอนุรักษ์ไว้บนกระดาษปาปิรุส

วัสดุเหล่านี้ทำให้ผู้คัดลอกบันทึกพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าที่ได้รับผ่านศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกได้ง่ายเมื่อเทียบกับการเขียนบนแผ่นหินหรือแผ่นดินเหนียว ผู้คัดลอกนิรนามจำนวนนับไม่ถ้วนตั้งใจใช้วัสดุเหล่านี้คัดลอก ถ่ายทอด และอนุรักษ์งานเขียนศักดิ์สิทธิ์ไว้หลายฉบับเพื่อไม่ให้เปลวไฟแห่งศรัทธาดับสูญ

เป็นต้นว่า เมื่อเร็วๆ นี้ข้าพเจ้าเรียนรู้ว่า “มีต้นฉบับกิตติคุณของมัทธิวที่เขียนเป็นภาษากรีกเกินหนึ่งร้อยฉบับ” และมีต้นฉบับไบเบิลอีกหลายฉบับผลิตขึ้นบนแผ่นหนังในช่วงยุคกลาง6

printing house

ภาพประกอบของโรงพิมพ์ในศตววรษที่ 16 จาก Getty Images

การปฏิวัติด้านการพิมพ์

ตามที่ข้าพเจ้าสอนบ่อยครั้ง พระเจ้าทรงดลใจให้เกิดขั้นตอนสำคัญมากอีกขั้นตอนหนึ่งของการเตรียมโลกให้พร้อมรับการฟื้นฟูพระกิตติคุณแห่งความรอดของพระองค์เมื่อโยฮันเนิส กูเทินแบร์คช่างทองชาวเยอรมันนำเทคโนโลยีการพิมพ์ที่รู้จักกันครั้งแรกในจีนมาผลิตแท่นพิมพ์ในปี 1439 หรือปี 14407

กูเทินแบร์คเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระเจ้าที่จะช่วยเพิ่มพูนความรู้ ความเข้าใจ และความเชื่อทางศาสนาในโลก8 สิ่งประดิษฐ์ของเขาจุดชนวนการปฏิวัติการพิมพ์ที่เปลี่ยนโลกไปตลอดกาลโดยทำให้แนวคิดและข้อมูลแพร่สะพัดง่ายขึ้นจนกลายเป็น “สิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง”9

นักวิชาการคาดว่ามีหนังสือราว 30,000 เล่มอยู่ในยุโรปสมัยกูเทินแบร์คจัดพิมพ์พระคัมภีร์ไบเบิลบนแท่นพิมพ์ของเขา ภายใน 50 ปีหลังจากนั้นพบหนังสือมากกว่า 12 ล้านเล่มในยุโรป

การปฏิรูปศาสนาฝ่ายโปรเตสแตนท์ใช้สิ่งประดิษฐ์ของกูเทินแบร์คเผยแพร่แนวคิดของตนและทำให้สามัญชนได้อ่านพระคัมภีร์ไบเบิลอย่างที่ไม่มีคนรุ่นใดก่อนหน้านี้นึกฝันมาก่อน

การปฏิวัติด้านการอ่านออกเขียนได้และการแปลพระคัมภีร์ไบเบิล

การมีคนอ่านออกเขียนได้มากขึ้นกับการที่สามัญชนในยุโรปกระหายใคร่อ่านถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ของพระคัมภีร์ในภาษาของตนเพิ่มขึ้นช่วยเอื้อต่อการปฏิวัติการพิมพ์

พระคัมภีร์ไบเบิลภาษาลาตินและภาษาฮีบรูในศตวรรษที่ห้านับจากพระคริสต์ประสูติเป็นพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับทางการของนิกายคาทอลิกตะวันตกมานาน 1,000 ปี10 ชาวยุโรปจำนวนมากเรียนพระคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลักมานานหลายศตวรรษผ่านคำเทศนาของเหล่าปุโรหิต

แต่ในศตวรรษที่ 15 และ 16 นักปฏิรูปศาสนาสร้างสรรค์ทำให้เกิดการแปลพระคัมภีร์ไบเบิลขึ้นมาใหม่เป็นภาษาที่ใช้กันทั่วไปในยุโรป เช่น ภาษาเยอรมัน อิตาลี อังกฤษ สเปน และฝรั่งเศส งานแปลเหล่านี้ยึดต้นฉบับภาษาฮีบรูและกรีกเป็นหลัก—ไม่ใช่ยึดพระคัมภีร์ไบเบิลภาษาลาติน จึงเปิดทางให้ผู้อ่านหลายหมื่นคนได้ประสบเรื่องราวและคำสอนของพระคัมภีร์ไบเบิลในภาษาของตน

มาร์ติน ลูเธอร์เกิดในปี 1483 เขาเป็นหนึ่งในผู้นำการจัดพิมพ์พระคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษาตามสมัยของเขา งานแปลเป็นภาษาเยอรมันของเขาจัดพิมพ์ในปี 1534—ปีสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของคริสตศาสนาทางตะวันตก11 ความเชื่อของลูเธอร์ในพลังของพระคัมภีร์ช่วยเติมเชื้อเพลิงให้การปฏิรูป นักปฏิรูปคนอื่นๆ ส่งเสริมการศึกษาสากลเพื่อให้ทุกคนได้มีโอกาสอ่านพระคัมภีร์ด้วยตนเอง

ผู้นำทางศาสนาบางคนเป็นห่วงว่าการอ่านพระคัมภีร์ไบเบิลกันอย่างแพร่หลายจะทำให้เกิดศาสนานอกรีต บ่อนทำลายอำนาจของคริสตจักร และถึงกับทำให้บ้านเมืองเกิดความระส่ำระสาย พวกเขาตอบโต้โดยจำคุก ทรมาน และถึงกับสังหารคนจำนวนมากที่พบว่าแปลพระคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษาที่ใช้กันทั่วไปในสมัยนั้นหรือเป็นเจ้าของพระคัมภีร์ที่แปลเป็นภาษาทั่วไป

วิลเลียม ทินเดลเกิดราวปี 1494 เขาปรากฏตัวในช่วงที่มาร์ติน ลูเธอร์แปลพระคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษาเยอรมัน12 แม้จะอายุยังน้อย แต่ทินเดลเข้าใจแนวคิดเรื่องการจัดทำพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับใหม่ที่ดีกว่าเดิมโดยยึดภาษาฮีบรูและกรีกดั้งเดิมเป็นหลัก

ราวปี 1523 เขาขอความช่วยเหลือและการสนับสนุนจากบิชอปคาทอลิกแห่งลอนดอนเพื่อผลิตฉบับดังกล่าวแต่ถูกคัดค้านอย่างรุนแรง เพราะที่ประชุมทางศาสนาของอ็อกซ์ฟอร์ดลงมติห้ามแปลพระคัมภีร์ไบเบิลในปี 1408 ทินเดลจึงต้องการคำอนุญาตจากทางการเพื่อดำเนินการแปลโดยไม่มีใครขัดขวาง

ทินเดลทุ่มเททำงานแปลพระคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษาอังกฤษอย่างลับๆ และแปลพันธสัญญาใหม่เสร็จในปี 1525 งานแปลของทินเดลที่พิมพ์ในเมืองโคโลญ เยอรมนีถูกลักลอบนำเข้าไปขายในอังกฤษเมื่อต้นปี 1526

ในที่สุดทินเดลก็เหมือนชายหญิงอีกจำนวนมากที่ถูกสังหารเพราะต้องการให้สามัญชนได้อ่านพระคัมภีร์ในภาษาของตน เขาถูกรัดคอขณะถูกมัดกับหลักผูกนักโทษเมื่อต้นเดือนตุลาคม ปี 153613 กระนั้นก็ตามงานแปลภาษาอังกฤษของเขายังคงอยู่เนื่องจากคำ วลี และงานแปลทุกส่วนของเขาถูกรวมไว้ในฉบับคิงเจมส์14

คริสตจักรแห่งอังกฤษนำฉบับคิงเจมส์ที่จัดพิมพ์ในปี 1611 มาใช้อย่างเป็นทางการอันส่งผลต่อการฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ในด้านสำคัญๆ หลายด้าน15 ฉบับนี้เป็นพระคัมภีร์ไบเบิลภาษาอังกฤษที่อ่านกันแพร่หลายที่สุดช่วงโจเซฟ สมิธเกิดในปี 1805 เวลานั้นครอบครัวส่วนใหญ่ รวมทั้งครอบครัวของโจเซฟกับลูซี แมค สมิธเป็นเจ้าของพระคัมภีร์ไบเบิลและอ่านเป็นประจำ อันที่จริงคนจำนวนมากฝึกอ่านโดยการฟังคนอ่านที่บ้านและโดยการศึกษาด้วยตนเอง

Joseph reading the Bible

การปฏิวัติด้านการเมืองและการสื่อสาร

การปฏิวัติด้านการการพิมพ์ การแปล และการอ่านออกเขียนได้เตรียมทางสำหรับการปฏิวัติด้านการเมืองและเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นทั่วยุโรปและอเมริการะหว่างศตวรรษที่ 17 ถึง 19 บรรยากาศการเมืองที่เปลี่ยนไปในยุโรปและอเมริกาทำให้ผู้คนมีเสรีภาพในการเลือกเส้นทางศาสนาของตนมากขึ้น เสรีภาพทางศาสนาเป็นหนึ่งในผลลัพธ์มากมายของการปฏิวัติด้านการเมืองที่เกิดขึ้นช่วงนี้

พระเจ้าทรงเริ่ม “เทวิญญาณ [ของพระองค์] มาเหนือมนุษย์ทุกคน” เช่นกัน (ดู โยเอล 2:28; โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:41) รวมทั้งคนที่ทรงเตรียมไว้รับความฝันเรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้านการสื่อสารและการคมนาคมอันจะขับเคลื่อนการฟื้นฟูของพระองค์ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

เฉกเช่นพระเจ้าทรงยกท่านศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ พระองค์ทรงดลใจชายหญิงหลายคนให้คิดค้นเทคโนโลยี เช่น คลอง โทรเลข ทางรถไฟ และเครื่องจักรไอน้ำเพื่อให้พระกิตติคุณไปทั่วโลก

พระเจ้าทรงเตรียมโลกอีกหลายวิธีนับไม่ถ้วนให้พร้อมรับการฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระองค์เพื่อเป็นพรแก่บุคคล ครอบครัว ชุมชน ประชาชาติ และโลก

ทรงนำครอบครัวสมิธ

ขณะพิจารณาวิธีที่พระเจ้าทรงเตรียมโลกให้พร้อมรับการฟื้นฟู เราควรจำไว้เสมอว่าพระองค์ทรงทำงานส่วนใหญ่สำเร็จผ่านชีวิตของบุคคล—ชายหญิงคนธรรมดาทั่วไปผู้ทำสิ่งที่ไม่ธรรมดาสำเร็จ

พระเจ้าทรงเตรียมหลายคนและหลายครอบครัวในหลายศตวรรษทั่วโลกให้พร้อมรับข่าวสารแห่งการฟื้นฟู บุคคลเหล่านี้รวมถึงโจเซฟกับลูซี แมค สมิธบิดามารดาของท่านศาสดาพยากรณ์ ทั้งสองท่านมีความลึกซึ้งทางวิญญาณ เติบใหญ่ในวัฒนธรรมที่สอนให้พวกท่านรักพระเยซูคริสต์และศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิล

เป็นเวลาหลายปีที่โจเซฟกับลูซีประสบอุปสรรคด้านการเงิน สุขภาพ และความล้มเหลวอื่นๆ ในนิวอิงแลนด์ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐ ราวปี 1816 เมื่อพวกท่านสูญเสียพืชผลเพราะสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงทั่วโลกอันเนื่องจากภูเขาไฟตัมโบราระเบิดในอินโดนีเซีย โจเซฟกับลูซีไม่มีทางเลือกนอกจากยอมทิ้งนิวอิงแลนด์และตัดสินใจออกจากเครือข่ายอันอบอุ่นของครอบครัว มิตรสหาย และชุมชน

ตามที่ประวัติศาสนจักรฉบับใหม่เล่ม 1 กล่าว “โจเซฟ ซีเนียร์รักภรรยาและลูกๆ อย่างยิ่ง แต่เขาไม่สามารถให้ความมั่นคงในชีวิตแก่ภรรยาและลูกๆ ได้มากนัก โชคร้ายและการลงทุนที่ไม่ประสบความสำเร็จทำให้ครอบครัวของพวกเขายากจนและไม่สามารถก่อร่างสร้างตัว บางทีนิวยอร์กอาจจะแตกต่าง”16

ความล้มเหลวในหลายๆ ด้านของครอบครัวสมิธในนิวอิงแลนด์ผลักดันให้พวกเขาไปทางตะวันตกของนิวยอร์กซึ่งเกิดความระส่ำระสายทางศาสนามากขึ้นเป็นเหตุให้โจเซฟ สมิธ ซีเนียร์ทูลขอการให้อภัยและการนำทางจากพระเจ้า แผ่นจารึกทองคำซ่อนไว้ที่นั่นเช่นกันเพื่อรอให้ท่านมาหา แปล และจัดพิมพ์

family reading scriptures

ภาพถ่ายครอบครัว โดย เวนดี กิบบ์ส คีเลอร์

รับรู้พระหัตถ์ของพระเจ้าในชีวิตเรา

เฉกเช่นพระเจ้าทรงใช้ประโยชน์จากความล้มเหลวของครอบครัวสมิธ พระองค์ทรงสามารถทำให้เราเข้มแข็ง ทรงสอนบทเรียนใหม่ๆ ให้เรา และทรงเตรียมเราผ่านความล้มเหลวและอุปสรรคให้พร้อมรับอนาคตซึ่งต่างมากจากที่เรานึกภาพไว้

ขณะพิจารณาวิธีที่พระเจ้าทรงแสดงให้เห็นพระหัตถ์ของพระองค์ในชีวิตครอบครัวสมิธ เราจำเป็นต้องรับรู้ว่าพระองค์ทรงแสดงให้เห็นพระหัตถ์ของพระองค์ในชีวิตเราแต่ละคนเช่นกัน การมองหาพระหัตถ์ของพระเจ้าในชีวิตเราต้องใช้ความละเอียดอ่อนทางวิญญาณและในหลายๆ กรณีต้องใช้เวลาและมุมมอง โชคดีที่ปิตุพร บันทึกส่วนตัว และประวัติชีวิตส่วนตัวสามารถให้โอกาสเราได้เห็นวิธีที่พระเจ้าทรงแสดงให้เห็นพระหัตถ์ของพระองค์ในชีวิตเรา

ในการเปิดเผยที่ประทานให้ในปี 1831 พระเจ้าทรงเตือนโลกว่า “และไม่มีอะไรที่มนุษย์จะทำให้พระผู้เป็นเจ้าทรงขุ่นเคือง, หรือความกริ้วของพระองค์จะไม่ดาลเดือดกับผู้ใดเลย, นอกจากคนเหล่านั้นที่มิได้สารภาพถึงพระหัตถ์ของพระองค์ในทุกสิ่ง, และมิได้เชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์.” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 59:21)

เราจะยินดีเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้าพระเยซูคริสต์มากขึ้น โดยเฉพาะพระบัญญัติข้อสำคัญสองข้อให้รักพระผู้เป็นเจ้าและรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง เมื่อเรามองหาและยอมรับพระหัตถ์ของพระเจ้าในชีวิตเราและพระหัตถ์ของพระองค์ในการเตรียมโลกให้พร้อมรับการฟื้นฟูศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ นั่นคือ “งานอัศจรรย์และการอันน่าพิศวง” (2 นีไฟ 25:17)

เวลานี้พระเจ้าทรงกำลังเตรียมโลกให้พร้อมรับการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์เฉกเช่นที่พระองค์ได้ทรงเตรียมโลกให้พร้อมรับการฟื้นฟูพระกิตติคุณนิรันดร์ของพระองค์ อนึ่ง พระหัตถ์ของพระองค์ไม่เพียงเห็นได้ในเหตุการณ์เปลี่ยนประวัติศาสตร์เท่านั้นแต่ในชีวิตของแต่ละบุคคลด้วย

เมื่อโจเซฟ สมิธเข้าไปในป่าที่ปัจจุบันเราเรียกว่าป่าศักดิ์สิทธิ์ ท่านกำลังแสวงหาการให้อภัยและการนำทางในชีวิตท่าน17 ในแง่หนึ่ง ท่านกำลังขานรับพระดำรัสเชื้อเชิญของพระเจ้าที่บันทึกไว้ในกิตติคุณของมัทธิว:

“บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก

“จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก

“ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา” (มัทธิว 11:28–30)

ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าในกาลเริ่มต้น พระหัตถ์ของพระเจ้าได้เตรียมโลกให้พร้อมรับการฟื้นฟู “พระกิตติคุณที่แท้จริง บริสุทธิ์ และเรียบง่าย” ของพระเยซูคริสต์ “หลักคำสอนแห่งความรอดของพระคริสต์” ที่มีให้บุตรธิดาทุกคนของพระผู้เป็นเจ้า18 ข้าพเจ้าเป็นพยานเช่นกันว่าพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่ในชีวิตเราแต่ละคนโดยเชื้อเชิญให้เราติดตามพระองค์ รับใช้ผู้อื่น และรักพระองค์ขณะพระองค์ทรงเตรียมโลกให้พร้อมรับการเสด็จมาครั้งที่สองอันรุ่งโรจน์ของพระองค์

อ้างอิง

  1. บริคัม ยังก์ ใน คำสอนของประธานศาสนาจักร: โจเซฟ สมิธ [2007], 585; ดู Brigham Young, “Remarks,” Deseret News, Oct. 26, 1859, 266 ด้วย.

  2. ความก้าวหน้าด้านการคมนาคม การสื่อสาร วิศวกรรม และการแพทย์เป็นส่วนสำคัญของการเตรียมรับการฟื้่นฟูพระกิตติคุณและศาสนจักรของพระเจ้า

  3. ดู L. D. Reynolds and N. G. Wilson, Scribes and Scholars: A Guide to the Transmission of Greek and Latin Literature, 4th ed. (2013).

  4. ตัวอย่างเช่น การประกาศอิสรภาพของสหรัฐ พระราชบัญญัติของรัฐสภาสหราชอาณาจักร หนังสือม้วนโตราห์ที่ใช้ในธรรมศาลาชาวยิว และวุฒิบัตรจากมหาวิทยาลัยบางแห่ง

  5. ดู Timothy H. Lim and John J. Collins, The Oxford Handbook of the Dead Sea Scrolls (2010) and Bruce M. Metzger and Bart D. Ehrman, The Text of the New Testament: Its Transmission, Corruption, and Restoration, 4th ed. (2005).

  6. Thomas A. Wayment, The New Testament: A Translation for Latter-day Saints, A Study Bible (2019), 2.

  7. ดู Diana Childress, Johannes Gutenberg and the Printing Press (2008).

  8. ดูตัวอย่างใน เอ็ม. รัสเซลล์ บัลลาร์ด, “ปาฏิหาริย์ของพระคัมภีร์ไบเบิลศักดิ์สิทธิ์” เลียโฮนา พ.ค. 2007, 100–104.

  9. ดู Elizabeth L. Eisenstein, The Printing Press as an Agent of Change (1980), 703.

  10. ดู James Carleton Paget and Joachim Schaper, eds., The New Cambridge History of the Bible, Vol. 1, From the Beginnings to 600 (2013); see also vols. 2–4.

  11. งานแปลเป็นภาษาลาตินในศตวรรษที่สี่ฉบับนี้กลายเป็นฉบับทางการของนิกายคาทอลิก; ดู Richard Marius, Martin Luther: The Christian between God and Death (1999).

  12. ดู David Daniell, William Tyndale: A Biography (1994).

  13. จากนั้นศพของทินเดลถูกเผาที่หลักผูกนักโทษ

  14. งานแปลเป็นภาษาอังกฤษของวิลเลียม ทินเดล แม้ไม่เป็นที่ยอมรับ แต่ก็อนุรักษ์ไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับคิงเจมส์ปี 1611

  15. ดู David Norton, The King James Bible: A Short History from Tyndale to Today (2011).

  16. ดู Saints, Vol. 1: The Standard of Truth, 1815–1846: The Story of the Church of Jesus Christ in the Latter Days (2018), 6.

  17. ดู “First Vision Accounts,” Gospel Topics, topics.ChurchofJesusChrist.org.

  18. ดู โจเซฟ เอฟ. สมิธ ใน เอ็ม. รัสเซลล์ บัลลาร์ด “พระกิตติคุณที่แท้จริง บริสุทธิ์ และเรียบง่ายของพระเยซูคริสต์” เลียโฮนา พ.ค. 2019, 29.