รู้ย่อมดีแต่เท่านั้นยังไม่พอ
ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของสมาชิกศาสนจักรยุคแรกผู้ได้ฟังประจักษ์พยานจากพยานของพระคัมภีร์มอรมอน
การได้ฟังประจักษ์พยานจากพยานของพระคัมภีร์มอรมอนเป็นเรื่องดีที่สุดรองจากการได้เห็นแผ่นจารึกทองคำหรือเทพ สมาชิกศาสนจักรยุคแรกจำนวนมากมีโอกาสนี้
สิ่งที่ตามมาคือเรื่องราวของสมาชิกหลายท่านผู้พูดคุยกับพยานของพระคัมภีร์มอรมอน แต่เราจะเห็นดังที่ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันสอนว่าการได้ประจักษ์พยานในพระคัมภีร์มอรมอนเป็นเรื่อง “ดี แต่เท่านั้นยังไม่พอ!”1
รีเบคกา วิลเลียมส์: “ฉันเชื่อคำพูดของพวกท่าน”
รีเบคกา สเวน วิลเลียมส์ได้ฟังพยานของพระคัมภีร์มอรมอนหลายท่านในโอโฮโอเมื่อต้นปี 1830 เธอแสดงประจักษ์พยานต่อบิดากับพี่ชายน้องชายของเธอว่า “ฉันได้ฟังเรื่องราวเดียวกันจากหลายคนในครอบครัว [สมิธ] และจากพยานทั้งสามคน ฉันได้ฟังท่านเหล่านั้นประกาศในการชุมนุมสาธารณะว่าพวกท่านเห็นเทพผู้บริสุทธิ์ลงมาจากสวรรค์และนำแผ่นจารึกมาวางต่อหน้าต่อตาพวกท่าน”
เมื่อสมาชิกในครอบครัวเธอปฏิเสธประจักษ์พยานของเธอ รีเบคกาไม่หวาดหวั่น เธอยังคงรักพวกเขา สวดอ้อนวอนให้พวกเขา และเห็นค่าคำแนะนำที่ดีของบิดาเธอ เธอยังคงเป็นพยานต่อพวกเขาเช่นกันว่าพยานของพระคัมภีร์มอรมอนพูดความจริง “พวกท่านเป็นคนมีอุปนิสัยดีและฉันเชื่อคำพูดของพวกท่าน … พวกท่านเห็นเทพองค์หนึ่งของพระผู้เป็นเจ้าและสนทนากับเทพ”2
ในปลายทศวรรษ 1830 ช่วงนั้นเกิดความขัดแย้งทั่วศาสนจักร รีเบคกายังคงซื่อสัตย์ โดยเลือกยึดมั่นกับหลักการของพระคัมภีร์มอรมอน3
วิลเลียม แม็คเลลลิน: “จักต้องยอมรับความจริง”
เช้าวันหนึ่งในปี 1831 ครูสอนหนังสือวัยหนุ่มชื่อวิลเลียม แม็คเลลลินได้ยินว่ามีคนกำลังมามิสซูรีเพื่อสั่งสอนเกี่ยวกับหนังสือเล่มหนึ่งที่เรียกว่า “การเปิดเผยจากพระผู้เป็นเจ้า” เขารีบไปฟังคนเหล่านั้น เขาฟังเดวิด วิตเมอร์เป็นพยานว่าท่านเคย “เห็นเทพบริสุทธิ์องค์หนึ่งผู้ทำให้ท่านรู้ความจริงของบันทึกนี้” เขาปรารถนาอย่างสุดซึ้งอยากรู้ว่าประจักษ์พยานเหล่านี้จริงหรือไม่ เขาตามท่านเหล่านั้น 400 ไมล์ (644 กิโลเมตร) ไปเมืองอินดิเพนเดนซ์ รัฐมิสซูรี ที่นั่นเขาพบและสอบถามพยานคนอื่นๆ รวมทั้งมาร์ตินแฮร์ริสกับไฮรัม สมิธ4
วิลเลียมเจรจาซักถามไฮรัมหลายชั่วโมง “ผมถามรายละเอียดเกี่ยวกับการออกมาของบันทึก” วิลเลียมบันทึก เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากสวดอ้อนวอนขอให้ทรงนำไปพบความจริง เขาตระหนักว่า “คนซื่อสัตย์อย่างเขาจักต้องยอมรับความจริงและความถูกต้องของพระคัมภีร์มอรมอน”5
ในปีต่อๆ มา ศรัทธาของวิลเลียมถูกทดสอบและแรงกล้าขึ้นเพราะการเลือกของเขาและเพราะการข่มเหงที่วิสุทธิชนยุคสุดท้ายประสบ เมื่อวิสุทธิชนในแจ็คสันเคาน์ตี้ รัฐมิสซูรีถูกโจมตี ไฮรัม เพจเพื่อนของวิลเลียม และเป็นหนึ่งในพยานแปดคนถูกตีด้วยกระบองและถูกเฆี่ยนโดยกลุ่มคนที่พูดว่าพวกเขาจะปล่อยไฮรัมไปถ้าเขาจะปฏิเสธพระคัมภีร์มอรมอน “ผมจะปฏิเสธสิ่งที่ผมรู้ว่าจริงได้อย่างไร” ไฮรัมกล่าว และพวกเขาตีท่านอีก
วิลเลียมเข้มแข็งขึ้นเพราะประจักษ์พยานของไฮรัม—และเข้าใจได้ว่ากลัวถูกตี เมื่อวิลเลียมได้ยินว่าคนแถวนั้นเสนอให้รางวัลนำจับเขากับออลิเวอร์ คาวเดอรี พวกเขาจึงออกจากเมืองไปซ่อนตัวอยู่ในป่ากับเดวิด วิตเมอร์ ที่นั่นวิลเลียมซักถามพยานสองในสามคนนั้น “ผมไม่เคยเห็นนิมิตเปิดในชีวิตผม” เขากล่าว “แต่คุณพูดว่าคุณเคยเห็น เพราะฉะนั้นคุณจึงรู้แน่ชัด ตอนนี้คุณรู้ว่าชีวิตเราอยู่ในอันตรายทุกโมงยามถ้ากลุ่มคนร้ายจับเราได้ ด้วยความเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า บอกผมหน่อยครับว่าพระคัมภีร์มอรมอนเป็นความจริงหรือไม่”
“บราเดอร์วิลเลียม” ออลิเวอร์กล่าว “พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งเทพผู้บริสุทธิ์ของพระองค์มาประกาศความจริงของการแปลพระคัมภีร์มอรมอนต่อเรา และด้วยเหตุนี้เราจึงรู้ และถึงแม้กลุ่มคนร้ายจะฆ่าเรา แม้ต้องตายเราก็ยังประกาศความจริงของพระคัมภีร์เล่มนี้”
เดวิดเสริมว่า “ออลิเวอร์บอกความจริงอันศักดิ์สิทธิ์กับคุณไปแล้ว เพราะเราจะถูกหลอกไม่ได้ ผมประกาศความจริงนี้ต่อคุณด้วยความสัตย์จริงที่สุด!”6
เดวิด มาร์ติน ไฮรัม ออลิเวอร์ และวิลเลียมต่างรู้ว่าโจเซฟ สมิธแปลพระคัมภีร์มอรมอนโดยเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า พวกท่านรู้ว่าพระกิตติคุณที่เขียนไว้บนแผ่นจารึกทองคำเป็นความจริง แต่ต่อมาพวกท่านปล่อยให้ความไม่พอใจโจเซฟเกาะกุมจิตใจจนพวกท่านหยุดดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระคัมภีร์มอรมอน
โดยที่เห็นการเลือกของท่านเหล่านั้น ศาสดาพยากรณ์โจเซฟจึงไม่เพียงเป็นพยานว่าพระคัมภีร์มอรมอนเป็นความจริงเท่านั้น—“พระคัมภีร์มอรมอนเป็นหนังสือที่ถูกต้องยิ่งกว่าหนังสือใดๆ บนแผ่นดินโลก”—แต่เป็นพยานด้วยว่าเรา “จะเข้าใกล้พระผู้เป็นเจ้ามากขึ้นโดยการยึดมั่นกับหลักการของหนังสือเล่มนี้, ยิ่งกว่าหนังสือเล่มอื่นใด”7
แซลลี พาร์คเกอร์: “เข้มแข็งในศรัทธา”
แซลลี พาร์คเกอร์เป็นเพื่อนบ้านของลูซี แมค สมิธในเมืองเคิร์ทแลนด์ รัฐโอไฮโอ “เธอเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉันฟัง” แซลลีเขียน เมื่อเธอถามลูซีว่าเคยเห็นแผ่นจารึกหรือไม่ “[ลูซี] ตอบว่าไม่เคย เพราะเธอไม่จำเป็นต้องเห็น แต่เธอยกและจับแผ่นจารึกและฉันเชื่อทั้งหมดที่เธอพูดเพราะฉันอยู่กับเธอราวแปดเดือนและเธอเป็นผู้หญิงที่ดีที่สุดคนหนึ่ง”
ในปี 1838 แซลลีได้ยินไฮรัม สมิธกล่าวคำพยานด้วย “เขาพูดว่าเขาเห็นแผ่นจารึกด้วยตาตนเองและจับมาแล้วกับมือ”8
ปลายทศวรรษ 1830 ขณะที่คนจำนวนมากออกจากศาสนจักร แซลลี พาร์คเกอร์เสียใจมากกับการสูญเสียสมาชิกภาพของพวกเขาและตั้งใจแน่วแน่อีกครั้งว่าจะยึดมั่นกับหลักการของพระคัมภีร์มอรมอน “ฉันตั้งใจจะยึดศรัทธานั้นซึ่งเปรียบเสมือนเมล็ดมัสตาร์ด” แซลลีเขียน “ฉันรู้สึกถึงพลังของพระคัมภีร์มอรมอนในใจฉันตอนนี้ ฉันเข้มแข็งในศรัทธาเท่ากับตอนที่เรารับบัพติศมาและความคิดของฉันยังเหมือนเดิม ฉันตั้งใจจะยืนหยัดในพระกิตติคุณไปจนตาย”9
โรดา กรีนี: “เขามีพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า”
ลูซี แมค สมิธพูดในการประชุมใหญ่สามัญปี 1845 หลังจากพยานทุกคนของพระคัมภีร์มอรมอนในครอบครัวเธอสิ้นชีวิตเพราะความเจ็บป่วยไม่ก็ถูกสังหาร เธอเล่าเรื่องหนึ่งจากงานเผยแผ่ครั้งแรกของแซมิวเอลบุตรชายเธอ
แซมิวเอลหนึ่งในพยานแปดคนมาเยี่ยมบ้านของโรดา กรีนี สามีเธอกำลังทำงานเผยแผ่ให้อีกนิกายหนึ่ง แซมิวเอลถามโรดาว่าเธออยากได้หนังสือสักเล่มไหม “หนังสือเล่มนั้นคือพระคัมภีร์มอรมอนที่โจเซฟพี่ชายของผมแปลจากแผ่นจารึกที่ออกมาจากผืนดิน” เขาอธิบาย
โรดารับมาอ่านหนึ่งเล่มและให้สามีดู เมื่อแซมิวเอลกลับมาอีกครั้ง โรดาบอกเขาว่าสามีเธอไม่สนใจ และเธอไม่ซื้อหนังสือ เศร้าตรงที่แซมิวเอลรับหนังสือคืนและกำลังจะออกจากบ้าน โรดาเล่าให้ลูซีฟังในเวลาต่อมาว่าจากนั้นแซมิวเอลก็หยุดครู่หนึ่งและมองเธอ “เธอไม่เคยเห็นใครมองแบบนั้นมาก่อน” ลูซีกล่าวในคำพูดการประชุมใหญ่ “เธอรู้ว่าเขามีพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า”
“พระวิญญาณห้ามผมไม่ให้รับหนังสือเล่มนี้คืน” แซมิวเอลบอกโรดาผู้คุกเข่าขอให้แซมิวแอลสวดอ้อนวอนกับเธอ เธอเก็บหนังสือนั้นไว้ อ่าน และได้รับประจักษ์พยาน ในที่สุดสามีเธอก็อ่าน พวกเขาเลือกปฏิบัติตามคำสั่งสอนในนั้นชั่วชีวิต
“ด้วยเหตุนี้งานจึงเริ่ม” ลูซีเป็นพยน “จากนั้นก็กระจายไปทั่วเหมือนเมล็ดมัสตาร์ด”10
โรดา กรีนีเป็นบรรพชนของผม ผมได้รับประโยชน์จากประจักษ์พยานของเธอในพระคัมภีร์มอรมอนและจากประจักษ์พยานที่บันทึกไว้ของเหล่าพยานและคนที่ได้ฟังพวกท่าน ผมเข้มแข็งขึ้นเพราะท่านเหล่านั้นเลือกปฏิบัติตามสิ่งที่พระคัมภีร์มอรมอนสอน
เราแต่ละคนสามารถเป็นพยานยุคปัจจุบันของพระคัมภีร์มอรมอนเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงยืนยันความจริงของพระคัมภีร์เล่มนี้กับเรา ไม่นานก่อนไปเป็นผู้สอนศาสนา ผมอ่านพระคัมภีร์มอรมอนจบ จากนั้นผมคุกเข่าสวดอ้อนวอนอย่างเรียบง่ายแต่ด้วยเจตนาแท้จริง ด้วยความจริงใจ และศรัทธาในพระเยซูคริสต์ (ดู โมโรไน 10:3–4) ผมรู้สึกถึงความประทับใจแรงกล้าที่บอกว่า “เจ้ารู้แล้วว่าจริง” ความรู้สึกนั้นมาพร้อมสันติสุขที่ผมไม่ปรารถนาจะต่อต้าน ผมรู้นับแต่นั้นว่าพระคัมภีร์มอรมอนเป็นความจริง
แต่เท่านั้นยังไม่พอ ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันสอนว่า “ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าได้ยินคนอื่นรวมทั้งตัวข้าพเจ้าเองพูดว่า ‘ผมรู้ว่าพระคัมภีร์มอรมอนจริง’ ข้าพเจ้าต้องการร้องออกมาว่า ‘ดีครับ แต่เท่านั้นยังไม่พอ!’ เราต้องรู้สึกลึกๆ ใน ‘ส่วนลึกที่สุด’ ของใจเราว่าพระคัมภีร์มอรมอน เป็น พระคำของพระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย เราต้องรู้สึกเช่นนั้นอย่างลึกซึ้งจนเราจะไม่อยากมีชีวิตต่อไปแม้แต่วันเดียวหากปราศสิ่งนี้”11 คำสอนของประธานเนลสันเป็นความจริง การที่ผมพยายามดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระคัมภีร์มอรมอนอย่างต่อเนื่องทำให้ผมใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้ามากกว่าสิ่งอื่นใด