“ใครชนลูกชายฉัน?”
ดิฉันนึกภาพตนเองกำลังแผดเสียงใส่คนที่ขับรถชนลูกชายดิฉัน แล้วดิฉันก็มาเจอคนขับซึ่งหน้า
ดิฉันเพิ่งส่งลูกสาวลงบ้านเพื่อนตอนดิฉันได้รับโทรศัพท์จากโจนาธานสามีดิฉัน เขาบอกว่าไอเด็นลูกชายวัย 11 ขวบของเราถูกรถชนขณะเขากับโจนาธานข้ามถนน
คนขับเลี้ยวซ้ายหน้าโจนาธานแต่ไม่เห็นไอเด็นอยู่บนจักรยาน คนขับชนด้านหน้าจักรยานของไอเด็น ทำให้เขาตัวลอยขณะยังจับจักรยานอยู่ และศีรษะของเขากระแทกข้างรถตอนตกลงมา เขานอนแน่นิ่งอยู่บนถนน มีจักรยานทับอยู่บนตัว ต้องขอบคุณที่เขาสวมหมวกกันน็อค คนขับกับอีกหลายคนเข้ามาช่วยขณะโจนาธานโทรเรียกรถพยาบาล
ความคิดและอารมณ์ของดิฉันปั่นป่วนไปหมด ดิฉันเร่งความเร็วจนไปถึงสี่แยกที่เกิดอุบัติเหตุ โดยหวังจะมาทันรถพยาบาลเพื่อจะไปกับไอเด็นได้
ในหัวดิฉันคิดแต่จะอาละวาดใส่คนขับ “คนขับมัวคิดอะไรอยู่?” ดิฉันคิด “เขาเมาหรือเปล่า? เขาโทรศัพท์ขณะขับรถหรือเปล่า?” ดิฉันโกรธจัดและกังวลมาก ดิฉันไม่ทราบว่าไอเด็นเจ็บแค่ไหน
เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ รถพยาบาลออกไปแล้ว เหลือเพียงรถตำรวจสองคันกับรถยนต์คันหนึ่งจอดอยู่ข้างทาง ผู้หญิงที่มีสีหน้ากังวลใจยืนอยู่ข้างรถ
ดิฉันเดินเข้าไปหาเธอและถามว่า “คุณเห็นคนชนลูกชายฉันไหมคะ?”
เธอตอบเบาๆ ว่า “ฉันเองค่ะ”
ดิฉันนึกภาพตนเองกำลังแผดเสียงใส่คนประมาทที่ขับรถชนลูกชายดิฉัน แต่พอเจอคนขับซึ่งหน้า ความคิดลบๆ หายไป ดิฉันพบตัวเองกำลังร้องไห้และกอดเธอ เธอขอโทษ และดิฉันบอกเธอว่าทุกอย่างจะโอเค ดิฉันมาทราบภายหลังว่าคำพูดพวกนั้นเป็นคำพูดที่ไอเด็นพูดกับเธอก่อนตำรวจมา ในที่สุด ไอเด็นก็พ้นขีดอันตราย เขามีแค่รอยถลอกกับรอยฟกช้ำเท่านั้น
ดิฉันขอบพระทัยที่ช่วงเวลาวิกฤตนั้น พระบิดาที่รักบนสวรรค์ของเราประทานพรให้ดิฉันมีพลังให้อภัยแทนที่จะเกลียดชัง แม้ดิฉันไม่ได้ทูลขอจากพระองค์ก็ตาม ดิฉันรู้ว่าพระองค์ทรงนึกถึงเราและทรงให้ความช่วยเหลือเสมอ