2021
ความจำเป็นที่ต้องมีศาสนจักร
พฤศจิกายน 2021


15:54

ความจำเป็นที่ต้องมีศาสนจักร

พระคัมภีร์สอนชัดเจนถึงที่มาและความจำเป็นที่ต้องมีศาสนจักรซึ่งกำกับดูแลโดยและด้วยสิทธิอำนาจของพระเจ้า พระเยซูคริสต์

หลายปีก่อน เอ็ลเดอร์มาร์ค อี. พีเตอร์เซ็น สมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสอง เริ่มคำปราศรัยด้วยตัวอย่างนี้:

“เคนเนธกับลูซิลล์ภรรยาเป็นคนดี ซื่อสัตย์ และซื่อตรง แต่พวกเขาไม่ไปโบสถ์และรู้สึกว่าสามารถเป็นคนดีพอโดยไม่ต้องไปโบสถ์ พวกเขาสอนลูกๆ ให้ซื่อสัตย์และมีคุณธรรม และบอกตัวเองว่าศาสนจักรคงจะทำให้เพียงเท่านี้

“พวกเขายืนกรานว่าต้องมีวันหยุดสุดสัปดาห์ให้ครอบครัวพักผ่อนหย่อนใจ … [และ] การไปโบสถ์จะเป็นอุปสรรคแน่นอน”1

วันนี้ข่าวสารของข้าพเจ้าเกี่ยวข้องกับคนดีที่ใส่ใจศาสนาแต่เลิกเข้าโบสถ์หรือมีส่วนร่วมในโบสถ์ของตน2 เมื่อพูดคำว่า “โบสถ์” ข้าพเจ้ารวมถึงธรรมศาลา มัสยิด หรือองค์กรศาสนาอื่นๆ ด้วย เรากังวลที่จำนวนคนเข้าโบสถ์เหล่านี้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทั่วประเทศ3 ถ้าเราเลิกให้คุณค่าโบสถ์ด้วยเหตุผลใดก็ตาม เท่ากับเราคุกคามชีวิตทางวิญญาณตนเอง และการที่คนจำนวนมากแยกตัวจากพระผู้เป็นเจ้าย่อมเป็นการลดพรที่พระองค์ประทานให้ประเทศเรา

การเข้าโบสถ์และร่วมกิจกรรมในโบสถ์ช่วยให้เราเป็นคนดีขึ้นและเป็นอิทธิพลที่ดีขึ้นต่อชีวิตผู้อื่น ในโบสถ์สอนให้เรารู้วิธีประยุกต์ใช้หลักศาสนา เราเรียนรู้จากกันและกัน ตัวอย่างที่จูงใจมีพลังมากกว่าคำเทศนา เราเข้มแข็งขึ้นจากการสมาคมกับคนอื่นที่คิดเหมือนกัน ในการเข้าโบสถ์และมีส่วนร่วม ใจเรา “ผูกพันกันในความรัก”4ตามที่พระคัมภีร์ไบเบิลกล่าว

1.

พระคัมภีร์ที่พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่ชาวคริสต์ในไบเบิลและการเปิดเผยยุคปัจจุบันสอนชัดเจนว่าต้องมีศาสนจักร ทั้งสองอย่างแสดงว่าพระเยซูคริสต์ทรงจัดตั้งศาสนจักรและทรงมุ่งหมายให้ศาสนจักรดำเนินงานตามอย่างพระองค์ ทรงเรียกอัครสาวกสิบสอง ประทานสิทธิอำนาจและกุญแจให้กำกับดูแลศาสนจักร พระคัมภีร์ไบเบิลสอนว่าพระคริสต์ทรงเป็น “ศีรษะของคริสตจักร”5 และประทานเจ้าหน้าที่ในนั้นเพื่อ “เตรียมธรรมิกชนสำหรับการปรนนิบัติและการเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์”6 พระคัมภีร์ไบเบิลพูดชัดเจนเกี่ยวกับที่มาและความจำเป็นที่ต้องมีศาสนจักรตอนนี้

บางคนพูดว่าการเข้าร่วมประชุมที่โบสถ์ไม่ช่วยอะไร บ้างก็บอกว่า “ฉันไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยวันนี้” หรือ “ไม่มีใครเป็นมิตรกับฉัน” หรือ “ฉันไม่พอใจ” ความผิดหวังส่วนตัวไม่ควรปิดกั้นตัวเราจากหลักคำสอนของพระคริสต์ผู้ทรงสอนเราให้รับใช้ ไม่ใช่ถูกรับใช้7 โดยคิดถึงเรื่องนี้ สมาชิกอีกคนอธิบายถึงจุดมุ่งหมายของการไปโบสถ์ของเขา:

“หลายปีก่อนผมเปลี่ยนทัศนคติเรื่องการไปโบสถ์ ผมไม่ได้ไปโบสถ์เพื่อตัวเองอีกต่อไป แต่คำนึงถึงคนอื่น ผมตั้งใจว่าจะทักทายคนที่นั่งคนเดียว ต้อนรับผู้มาเยือน … อาสาทำงานมอบหมาย …

“สรุปคือผมไปโบสถ์ทุกอาทิตย์ด้วยความตั้งใจจะเป็นฝ่ายให้ ไม่ใช่ฝ่ายรับ และสร้างสิ่งดีๆ ในชีวิตผู้อื่น”8

การต้อนรับที่โบสถ์

ประธานสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์สอนว่า “เราไม่ได้ไปการประชุมวันสะบาโตเพื่อความเพลิดเพลินหรือเพื่อรับการสอนอย่างเดียว เราไปนมัสการพระเจ้า นี่เป็นความรับผิดชอบส่วนบุคคล … หากการประชุมเป็นความล้มเหลวสำหรับท่าน แสดงว่าท่านล้มเหลว ไม่มีใครนมัสการแทนท่านได้ ท่านต้องรอคอยพระเจ้าด้วยตนเอง”9

การเข้าโบสถ์จะเปิดใจเราและชำระจิตวิญญาณเราให้บริสุทธิ์

การประชุมสภาวอร์ด

ในโบสถ์เราไม่ได้รับใช้คนเดียวหรือตามความพอใจหรือตามสะดวก ปกติเรารับใช้เป็นทีม ในการรับใช้เราพบโอกาสจากสวรรค์ให้อยู่เหนือความเป็นปัจเจกของยุคนี้ การรับใช้ที่ศาสนจักรกำกับดูแลช่วยเราเอาชนะความเห็นแก่ตัวที่อาจทำให้เราเติบโตทางวิญญาณช้าลง

มีข้อดีสำคัญอื่นๆ ให้กล่าวถึงได้แม้เพียงสั้นๆ ในศาสนจักรเราสมาคมกับคนดีๆ ที่พากเพียรรับใช้พระผู้เป็นเจ้า เป็นสิ่งเตือนเราว่าเราไม่ได้โดดเดี่ยวในกิจกรรมทางศาสนา เราทุกคนต้องมีการสมาคมกับคนอื่น และการสมาคมในศาสนจักรเป็นเรื่องดีที่สุดบางส่วนที่เราจะได้รับ สำหรับตัวเรากับคู่ชีวิตและลูกๆ ของเรา หากไม่มีการสมาคมเหล่านี้ โดยเฉพาะระหว่างลูกๆ กับพ่อแม่ที่ซื่อสัตย์ งานวิจัยชี้ว่าพ่อแม่จะเลี้ยงดูลูกในศาสนาของพวกเขายากขึ้น10

2.

ข้าพเจ้าพูดถึงโบสถ์โดยทั่วไปมาแล้ว ต่อไปจะพูดถึงเหตุผลพิเศษสำหรับการเป็นสมาชิก การเข้าร่วมประชุม และการมีส่วนร่วมในศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายของพระผู้ช่วยให้รอด

พระวิหารซอลท์เลค

แน่นอนเรายืนยันว่าพระคัมภีร์ทั้งอดีตและปัจจุบันสอนชัดเจนถึงที่มาและความจำเป็นที่ต้องมีศาสนจักรซึ่งกำกับดูแลโดยและด้วยสิทธิอำนาจของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เราเป็นพยานเช่นกันว่าศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเยซูคริสต์สถาปนาขึ้นเพื่อสอนความสมบูรณ์ของหลักคำสอนของพระองค์และปฏิบัติหน้าที่ด้วยสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตเพื่อประกอบศาสนพิธีที่จำเป็นต่อการเข้าอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า11 สมาชิกที่ไม่มาโบสถ์และอาศัยเพียงพลังทางวิญญาณส่วนตัวกำลังแยกตัวออกจากองค์ประกอบสำคัญของพระกิตติคุณ อันได้แก่ อำนาจและพรของฐานะปุโรหิต ความสมบูรณ์ของหลักคำสอนที่ได้รับการฟื้นฟู ตลอดจนแรงจูงใจและโอกาสให้ประยุกต์ใช้หลักคำสอนนั้น พวกเขาเสียโอกาสที่จะคู่ควรต่อการทำให้ครอบครัวดำเนินต่อไปชั่วนิรันดร์

ข้อดีมากๆ อีกข้อหนึ่งของศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟูคือช่วยให้เราเติบโตทางวิญญาณ การเติบโตหมายถึงการเปลี่ยนแปลง ในแง่ทางวิญญาณหมายถึงการกลับใจและพยายามเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น ในศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟูเรามีหลักคำสอน ระเบียบปฏิบัติ และผู้ช่วยที่ได้รับการดลใจมาคอยช่วยให้เรากลับใจ จุดประสงค์ของพวกเขา แม้ในสภาสมาชิกภาพ ไม่ใช่เพื่อลงโทษแบบผลการพิพากษาของศาลอาญา สภาสมาชิกภาพศาสนจักรพยายามช่วยเราด้วยความรักให้คู่ควรรับความเมตตาของการให้อภัยที่เป็นไปได้ผ่านการชดใช้ของพระเยซูคริสต์

ผู้สอนศาสนาคู่สามีภรรยา
เดินไปที่พระวิหาร

พลังส่วนตัวทางวิญญาณแทบจะไม่มีวันให้แรงจูงใจและโครงสร้างสำหรับการรับใช้แบบไม่เห็นแก่ตนเองดังที่ศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟูจัดให้ ตัวอย่างที่ดีมากๆ ของเรื่องนี้คือเยาวชนชายหญิงและผู้สูงวัยที่พักการเรียนหรือกิจกรรมวัยเกษียณไว้แล้วยอมรับการเรียกเป็นผู้สอนศาสนา พวกเขาทำงานกับคนแปลกหน้าในสถานที่ไม่คุ้นเคยที่ตนไม่ได้เลือก เช่นเดียวกับสมาชิกที่ซื่อสัตย์ผู้มีส่วนในการรับใช้แบบไม่เห็นแก่ตนเองที่เราเรียกว่า “งานพระวิหาร” การรับใช้เช่นนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีศาสนจักรคอยสนับสนุน จัดระเบียบ และกำกับดูแล

ความเชื่อทางศาสนาและการรับใช้ศาสนจักรของสมาชิกสอนพวกเขาให้รู้วิธีร่วมมือกันทำงานเพื่อประโยชน์ของชุมชนใหญ่ ประสบการณ์และการพัฒนาแบบนั้นไม่เกิดขึ้นในความเป็นปัจเจกที่แพร่หลายในสังคมเราปัจจุบัน ในการจัดตั้งวอร์ดท้องที่ตามภูมิศาสตร์ของเรา เราสมาคมและทำงานกับคนที่เราคงจะไม่เลือกทำงานด้วย คนที่สอนเราและทดสอบเรา

นอกจากจะช่วยให้เราเรียนรู้คุณสมบัติทางวิญญาณ เช่น ความรัก ความเห็นใจ การให้อภัย และความอดทนแล้ว ยังเปิดโอกาสให้เราเรียนรู้วิธีทำงานกับคนที่มีภูมิหลังและความชอบต่างจากเรามากด้วย ข้อดีนี้ได้ช่วยสมาชิกเราหลายคน และหลายองค์กรได้รับพรจากการมีส่วนร่วมของพวกเขา วิสุทธิชนยุคสุดท้ายมีชื่อเสียงเรื่องความสามารถในการนำและการร่วมมือร่วมใจกัน ประเพณีดังกล่าวเริ่มจากผู้บุกเบิกที่กล้าหาญซึ่งอพยพมาตั้งถิ่นฐานอินเตอร์เมาน์เทนเวสต์และสร้างประเพณีอันมีค่าของเราในการร่วมมือกันเพื่อประโยชน์ส่วนรวมโดยไม่เห็นแก่ตนเอง

โครงการ Helping Hands

งานมนุษยธรรมและการกุศลส่วนใหญ่จะลุล่วงได้ด้วยการรวบรวมและบริหารทรัพยากรบุคคลจำนวนมาก ศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟูทำเช่นนี้กับงานมนุษยธรรมมากมายทั่วโลก ซึ่งรวมถึงการแจกจ่ายอุปกรณ์การศึกษาและเวชภัณฑ์ ให้อาหารคนหิวโหย ดูแลผู้ลี้ภัย ช่วยพลิกฟื้นผลของการเสพติด และอีกมากมาย สมาชิกศาสนจักรเรามีชื่อเสียงเรื่องโครงการ Helping Hands ในภัยพิบัติธรรมชาติ การเป็นสมาชิกศาสนจักรเปิดโอกาสให้เราเป็นส่วนหนึ่งของงานขนาดใหญ่เหล่านี้ นอกจากนี้สมาชิกยังจ่ายเงินบริจาคอดอาหารเพื่อช่วยคนจนท่ามกลางพวกเขาด้วย

รับส่วนศีลระลึก

นอกจากจะรู้สึกถึงสันติสุขและปีติผ่านความเป็นเพื่อนของพระวิญญาณแล้ว สมาชิกที่ไปโบสถ์ก็ได้รับผลจากการดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณด้วย เช่น พรของการดำเนินชีวิตตามพระคำแห่งปัญญา ตลอดจนความรุ่งเรืองทางโลกและทางวิญญาณที่ทรงสัญญากับผู้ดำเนินชีวิตตามกฎส่วนสิบ และยังมีพรของคำแนะนำจากผู้นำที่ได้รับดลใจด้วยเช่นกัน

เหนือบรรดาทั้งหมดนี้คือศาสนพิธีที่ประกอบโดยสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตซึ่งจำเป็นต่อนิรันดร รวมทั้งศีลระลึกที่เราได้รับทุกวันสะบาโต ศาสนพิธีสูงสุดในศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟูคือพันธสัญญาอันเป็นนิจของการแต่งงานซึ่งทำให้ความสัมพันธ์อันงดงามของครอบครัวดำเนินต่อไปได้ ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันสอนหลักธรรมนี้ได้อย่างน่าจดจำ ท่านกล่าวว่า: “เราไม่อาจเข้าไปในที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้าด้วยการ ตั้งจิตปรารถนา เราต้องเชื่อฟังกฎซึ่ง [พรนั้นๆ] กำหนดไว้”12

หนึ่งในกฎเหล่านั้นคือการนมัสการในโบสถ์ทุกวันสะบาโต13 การนมัสการและการประยุกต์ใช้หลักธรรมนิรันดร์ดึงเราเข้าใกล้พระผู้เป็นเจ้ามากขึ้น อีกทั้งขยายความสามารถของเราในการรัก พาร์ลีย์ พี. แพรทท์ หนึ่งในอัครสาวกดั้งเดิมของสมัยการประทานนี้อธิบายความรู้สึกเมื่อศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธอธิบายหลักธรรมเหล่านี้ว่า: “ข้าพเจ้ารู้สึกว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระบิดาบนสวรรค์ของข้าพเจ้าอย่างแท้จริง พระเยซูทรงเป็นพี่ชายข้าพเจ้า และภรรยาสุดที่รักของข้าพเจ้าเป็นคู่อมตะนิรันดร์: เทพผู้ดูแลที่อ่อนโยน ที่ประทานมาให้เป็นความสุขใจและมงกุฎแห่งรัศมีภาพชั่วกาลนาน สรุปคือเวลานี้ข้าพเจ้ารักได้ด้วยวิญญาณและด้วยความเข้าใจ”14

สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าขอย้ำเตือนทุกท่านว่าเราไม่ได้เชื่อว่าเราสามารถทำความดีผ่านศาสนจักรเท่านั้น เราเห็นหลายล้านคนสนับสนุนและทำงานดีนับไม่ถ้วนโดยไม่เกี่ยวกับศาสนจักร วิสุทธิชนยุคสุดท้ายมีส่วนในหลายๆ งานเป็นส่วนตัว เรามองว่างานเหล่านี้แสดงให้เห็นความจริงนิรันดร์ที่ว่า “พระวิญญาณทรงให้ความสว่างแก่ มนุษย์ทุกคน ที่มาในโลก”15

ถึงแม้งานดีจะสำเร็จลุล่วงได้โดยไม่มีศาสนจักร แต่ความสมบูรณ์ของหลักคำสอนและศาสนพิธีแห่งความรอดและความสูงส่งมีอยู่ในศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟูเท่านั้น นอกจากนี้การเข้าโบสถ์ยังให้พลังและยกระดับศรัทธาที่มาจากการสมาคมกับผู้เชื่อคนอื่นๆ รวมถึงการนมัสการกับคนที่พากเพียรจะอยู่บนเส้นทางพันธสัญญาและเป็นสานุศิษย์ที่ดีขึ้นของพระคริสต์ด้วย ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้เราทุกคนแน่วแน่ในประสบการณ์เหล่านี้ของศาสนจักรขณะแสวงหาชีวิตนิรันดร์ซึ่งเป็นของประทานสำคัญที่สุดของพระผู้เป็นเจ้า ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน