2021
ไว้วางใจอีกครั้ง
พฤศจิกายน 2021


13:7

ไว้วางใจอีกครั้ง

ความไว้วางใจในพระผู้เป็นเจ้า ในกันและกัน นำมาซึ่งพรจากสวรรค์

ครั้งหนึ่งเมื่อยังเด็กมาก ข้าพเจ้าคิดแวบหนึ่งเรื่องหนีออกจากบ้าน ข้าพเจ้ารู้สึกแบบเด็กๆ ว่าไม่มีใครรัก

คุณแม่ผู้ช่างสังเกตรับฟังและรับรองกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงอยู่บ้านอย่างปลอดภัย

ท่านเคยรู้สึกเหมือนกำลังหนีออกจากบ้านไหม? บ่อยครั้งการหนีออกจากบ้านหมายถึงความไว้วางใจหลุดลุ่ยหรือขาดสะบั้นลง—ทั้งต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อพระผู้เป็นเจ้า เมื่อความไว้วางใจถูกท้าทาย เราสงสัยว่าจะไว้วางใจอีกครั้งได้อย่างไร

ข่าวสารข้าพเจ้าวันนี้คือ ไม่ว่าเรากำลังจะมาที่บ้านหรือไปที่บ้าน พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมาพบเรา1 ในพระองค์เราจะพบศรัทธาและความกล้าหาญ ปัญญาและการเล็งเห็น เพื่อไว้วางใจอีกครั้ง นอกจากนั้นพระองค์ทรงขอให้เราเปิดไฟรอกันเสมอ ให้อภัยมากขึ้นและตัดสินน้อยลงกับตัวเราเองและผู้อื่น เพื่อศาสนจักรของพระองค์จะสามารถเป็นสถานที่ที่เรารู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ไม่ว่าเราจะมาเป็นครั้งแรกหรือกลับมาใหม่

ความไว้วางใจเป็นการกระทำด้วยศรัทธา พระผู้เป็นเจ้าทรงมีศรัทธาในเราเสมอ แต่ความไว้วางใจของมนุษย์อาจถูกบั่นทอนหรือถูกทำลายลงเมื่อ:

  • เพื่อน ผู้ร่วมธุรกิจ หรือคนที่เราไว้วางใจไม่ซื่อสัตย์ ทำร้ายเรา หรือเอาเปรียบเรา2

  • คู่สมรสไม่ซื่อสัตย์

  • บางทีคนที่เรารักอาจจะเผชิญความตาย การบาดเจ็บ หรือความเจ็บป่วยอย่างไม่คาดฝัน

  • เราเผชิญคำถามไม่คาดคิดในพระกิตติคุณ อาจจะเกี่ยวกับประวัติศาสนจักรหรือนโยบายศาสนจักร และบางคนพูดว่าศาสนจักรเราปกปิดหรือไม่บอกความจริง

สถานการณ์อื่นอาจเป็นรูปธรรมน้อยกว่าแต่น่าเป็นห่วงพอกัน

บางทีเราอาจไม่เห็นตัวเองในศาสนจักร รู้สึกไม่เข้าพวก รู้สึกถูกคนอื่นตัดสิน

หรือ แม้เราจะทำได้ครบตามความคาดหวัง แต่ผลลัพธ์ก็ยังไม่เป็นอย่างที่คิด ทั้งๆ ที่มีประสบการณ์ส่วนตัวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่อาจจะยังไม่รู้สึกว่าเรารู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์หรือพระกิตติคุณเป็นความจริง

คนมากมายทุกวันนี้รู้สึกว่าต้องรีบฟื้นฟูความไว้วางใจในความสัมพันธ์มนุษย์และสังคมปัจจุบัน3

ขณะใคร่ครวญความไว้วางใจ เรารู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าแห่งความจริงและ “ตรัสเท็จไม่ได้”4 เรารู้ว่าความจริงคือความรู้ถึงสิ่งต่างๆ ดังที่เป็นอยู่ เป็นมา และจะเป็นไป5 เรารู้ว่าการเปิดเผยต่อเนื่องและการดลใจทำให้ความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลง

เรารู้ว่าพันธสัญญาที่ถูกฝ่าฝืนทำให้ใจแตกสลาย “ผมทำเรื่องโง่ๆ ไปแล้ว” เขาพูด “คุณจะให้อภัยผมได้ไหม?” สามีภรรยาอาจจับมือกัน หวังจะไว้วางใจกันอีกครั้ง ในอีกสถานการณ์หนึ่ง นักโทษในคุกใคร่ครวญว่า “ถ้าผมรักษาพระคำแห่งปัญญา วันนี้ผมคงไม่ต้องอยู่ที่นี่”

เรารู้ว่าปีติบนเส้นทางพันธสัญญาของพระเจ้าและการเรียกให้รับใช้ในศาสนจักรเป็นการเชื้อเชิญให้รู้สึกถึงความไว้วางใจและความรักที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมีต่อเราและเรามีต่อกัน สมาชิกศาสนจักร รวมทั้งผู้ใหญ่โสด รับใช้ทั่วศาสนจักรและในชุมชนเป็นประจำ

ฝ่ายอธิการเรียกหนุ่มสาวคู่หนึ่งจากการดลใจให้รับใช้ในชั้นบริบาลวอร์ด ตอนแรกสามีนั่งหลบมุมอยู่คนเดียวห่างๆ เขาเริ่มยิ้มกับเด็กทีละนิด ต่อมาสามีภรรยาคู่นี้แสดงความขอบคุณ ฝ่ายอธิการบอกว่าก่อนหน้านี้ภรรยาอยากมีลูก แต่สามีไม่อยากมี ตอนนี้การรับใช้ได้เปลี่ยนและรวมพวกเขาเป็นหนึ่งเดียว ทั้งยังนำความเบิกบานของเด็กๆ เข้ามาในชีวิตแต่งงานและบ้าน

ในอีกเมืองหนึ่ง คุณแม่วัยสาวกับลูกเล็กๆ และสามีแปลกใจและหนักใจแต่ยอมรับเมื่อเธอได้รับเรียกให้รับใช้เป็นประธานสมาคมสงเคราะห์วอร์ด ไม่นานหลังจากนั้น พายุน้ำแข็งทำให้ไฟฟ้าดับ ชั้นวางของในร้านว่างเปล่า และบ้านเรือนเย็นเหมือนกล่องน้ำแข็ง เพราะครอบครัวนี้มีไฟฟ้าและเครื่องทำความร้อน พวกเขาจึงเอื้อเฟื้อเปิดบ้านให้หลายคนหลายครอบครัวมาหลบพายุ

ความไว้วางใจเกิดขึ้นเมื่อเราทำเรื่องยากด้วยศรัทธา การรับใช้และการเสียสละเพิ่มความสามารถและขัดเกลาจิตใจ ความไว้วางใจในพระผู้เป็นเจ้า ในกันและกัน นำมาซึ่งพรจากสวรรค์

หลังรอดจากมะเร็ง บราเดอร์ผู้ซื่อสัตย์ถูกรถชน แทนที่จะรู้สึกสมเพชตนเอง เขาสวดอ้อนวอนทูลถามว่า “ข้าพระองค์จะเรียนรู้อะไรได้บ้างจากประสบการณ์นี้?” ในหออภิบาลผู้ป่วยหนักเขารู้สึกได้รับการกระตุ้นเตือนให้สังเกตพยาบาลที่เป็นห่วงสามีกับลูกๆ ผู้ป่วยที่กำลังเจ็บปวดพบคำตอบขณะเขาไว้วางใจพระผู้เป็นเจ้าและยื่นมือช่วยเหลือผู้อื่น

เมื่อบราเดอร์ที่มีปัญหาเรื่องสื่อลามกนั่งรออยู่หน้าห้องประธานสเตค ประธานสเตคสวดอ้อนวอนขอให้รู้วิธีช่วย ความรู้สึกชัดเจนเกิดขึ้น: “เปิดประตูให้บราเดอร์คนนี้เข้ามา” ด้วยศรัทธาและความไว้วางใจว่าพระผู้เป็นเจ้าจะช่วย ผู้นำฐานะปุโรหิตคนนี้จึงเปิดประตูและโอบกอดบราเดอร์คนนั้น ต่างฝ่ายต่างรู้สึกถึงความรักและความไว้วางใจที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้าและต่อกัน เมื่อมีกำลังใจ เขาจึงเริ่มกลับใจและเปลี่ยนแปลง

แม้สภาวการณ์เฉพาะคนเป็นเรื่องส่วนตัว แต่หลักธรรมพระกิตติคุณและพระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยให้เรารู้ว่าจะไว้วางใจผู้อื่นอีกครั้งหรือไม่อย่างไรและเมื่อใด เมื่อความไว้วางใจถูกทำลายหรือถูกทรยศ ความผิดหวังและความท้อแท้ย่อมเกิดขึ้น ความสามารถในการเล็งเห็นจึงจำเป็นต่อการรู้ว่าเมื่อใดที่สมควรใช้ศรัทธาและความกล้าหาญเพื่อไว้วางใจในความสัมพันธ์มนุษย์อีกครั้ง

ทว่ากับพระผู้เป็นเจ้าและการเปิดเผยส่วนตัว ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันยืนยันว่า “ท่านไม่ต้องสงสัยว่าจะวางใจใครได้อย่างปลอดภัย”6 เราไว้วางใจพระผู้เป็นเจ้าได้เสมอ พระเจ้าทรงรู้จักและรักเรามากกว่าที่เรารู้จักหรือรักตัวเอง ความรักอันไม่มีขอบเขตและความรู้อันสมบูรณ์ของพระองค์เกี่ยวกับอดีต ปัจจุบัน และอนาคตทำให้พันธสัญญาและสัญญาของพระองค์มั่นคงแน่นอน

จงไว้วางใจสิ่งที่พระคัมภีร์เรียกว่า “ตามวิถีแห่งเวลา”7 ด้วยพรของพระผู้เป็นเจ้า วิถีแห่งเวลา ตลอดจนศรัทธาและการเชื่อฟังอยู่เสมอ เราจะพบทางออกและสันติสุข

พระเจ้าทรงปลอบว่า:

“การร้องไห้อาจจะคงอยู่สักคืนหนึ่ง แต่ความยินดีจะมาเวลาเช้า”8

“จงมาวางภาระที่พระเจ้าและวางใจในพระองค์”9

“โลกไม่มีความโศกใดที่สวรรค์เยียวยาไม่ได้”10

จงไว้วางใจพระผู้เป็นเจ้า11 และปาฏิหาริย์ของพระองค์ เราและความสัมพันธ์ของเราเปลี่ยนแปลงได้ โดยผ่านการชดใช้ของพระคริสต์พระเจ้า เราสามารถทิ้งตัวตนที่เห็นแก่ตัวของเราและมาเป็นลูกของพระผู้เป็นเจ้า อ่อนโยน ถ่อมตน12 เปี่ยมด้วยศรัทธาและความไว้วางใจที่เหมาะสม เมื่อเรากลับใจ เมื่อเราสารภาพและทิ้งบาป พระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะไม่จำมันอีก13 ใช่ว่าพระองค์ทรงลืม แต่ดูเหมือนว่าทรงเลือกที่จะไม่จดจำอย่างน่าทึ่ง เราก็ไม่ต้องจดจำเช่นกัน

จงไว้วางใจการดลใจของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อเล็งเห็นอย่างฉลาด เราสามารถให้อภัยผู้อื่นในเวลาและวิธีที่ถูกต้องดังที่พระเจ้าตรัสว่าเราต้องทำ14 แต่จง “เฉลียวฉลาดเหมือนงู และไม่มีพิษมีภัยเหมือนนกพิราบ”15

บางครั้งเมื่อใจเราชอกช้ำและสำนึกผิดมากที่สุด เราจะเปิดรับการปลอบโยนและการนำทางจากพระวิญญาณบริสุทธิ์มากที่สุด16 ทั้งการกล่าวโทษและการให้อภัยเริ่มจากการรับรู้ความผิด การกล่าวโทษมักจดจ่ออยู่กับอดีต การให้อภัยมองอย่างอิสระไปที่อนาคต “เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น”17

อัครสาวกเปาโลถามว่า “แล้วใครจะให้เราขาดจากความรักของพระคริสต์ได้?” ท่านตอบว่า “แม้ความตาย หรือชีวิต … หรือ​ซึ่ง​สูง หรือ​ซึ่ง​ลึก … จะ​ไม่​สามารถ​ทำ​ให้​เรา​ขาด​จาก​ความ​รัก​ของ​พระ‍เจ้า ซึ่ง​มี​อยู่​ใน​พระ‍เยซู‍คริสต์​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า​ของ​เรา​ได้”18 ทว่ามีคนที่สามารถทำให้เราขาดจากพระผู้เป็นเจ้าและพระเยซูคริสต์ได้—คนนั้นคือเรา ตัวเราเอง ดังอิสยาห์กล่าว “บาปของพวกท่านได้บดบังพระพักตร์พระองค์เสียจากท่าน”19

โดยความรักและกฎของพระองค์ เรารับผิดชอบการเลือกของเราและผลของการเลือกนั้น แต่ความรักในการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอด “ไม่มีขอบเขตและเป็นนิรันดร์”20 เมื่อเราพร้อมกลับบ้าน แม้เมื่อเรา “ยังอยู่แต่ไกล”21 พระผู้เป็นเจ้าทรงพร้อมต้อนรับเราด้วยความเมตตาสงสารยิ่ง ขณะทรงมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้เราด้วยความยินดี22

ประธานเจ. รูเบน คลาร์กกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงต้องการช่วยให้บุตรธิดาทุกคนรอด … ว่าในความยุติธรรมและพระเมตตา พระองค์จะประทานรางวัลสูงสุดสำหรับการกระทำของเรา ประทานทุกอย่างเท่าที่ประทานให้ได้ และในทางกลับกัน ข้าพเจ้าก็เชื่อว่าจะทรงกำหนดโทษให้เราต่ำสุดเท่าที่จะทรงกำหนดได้”23

บนกางเขน แม้แต่คำทูลวิงวอนด้วยเมตตาของพระผู้ช่วยให้รอดต่อพระบิดาก็ยังไม่ใช่ “พระ‍บิดา​เจ้า‍ข้า ขอ​ทรง​ยก​โทษ​พวก‍เขา” แบบปราศจากเงื่อนไข แต่ทรงทูลว่า “พระบิดาเจ้าข้า ขอทรง​ยกโทษพวกเขาเพราะ​เขา​ไม่​รู้​ว่า​กำลัง​ทำ​อะไร”24 สิทธิ์เสรีและเสรีภาพของเรามีความหมายเพราะเราต้องรับผิดชอบต่อพระผู้เป็นเจ้าและตัวเราเองในสิ่งที่เราเป็น ในสิ่งที่เรารู้และทำ น่าดีใจที่เราสามารถไว้วางใจความยุติธรรมและความเมตตาอันไร้ที่ติของพระผู้เป็นเจ้าในการตัดสินเจตนาและการกระทำของเราอย่างไร้ที่ติ

เราสรุปตามที่เริ่มไว้—ด้วยพระเมตตาสงสารของพระผู้เป็นเจ้าขณะเราแต่ละคนกลับบ้านมาหาพระองค์และมาหากัน

ท่านจำอุปมาของพระเยซูเรื่องชายที่มีบุตรสองคนได้ไหม?25 บุตรคนหนึ่งออกจากบ้านไปผลาญมรดกเล่น เมื่อสำนึกตัว บุตรคนนี้ก็หาทางกลับบ้าน ส่วนบุตรอีกคนที่รู้สึกว่าตัวเองรักษาพระบัญญัติ “มาหลายปีแล้ว”26ไม่อยากต้อนรับน้องชายกลับบ้าน

พี่น้องทั้งหลาย โปรดพิจารณาได้ไหมว่าพระเยซูทรงกำลังขอให้เราเปิดใจ ความเข้าใจ ความสงสาร ความถ่อมใจ และมองตัวเราในสองบทบาทนั้น?

เราอาจเป็นเหมือนบุตรชายหรือบุตรสาวคนแรกที่เร่ร่อนไปและต่อมาก็หาทางกลับบ้าน พระผู้เป็นเจ้าทรงรอต้อนรับเรา

และเหมือนบุตรชายหรือบุตรสาวอีกคน พระผู้เป็นเจ้าทรงวิงวอนอย่างอ่อนโยนให้เราชื่นชมยินดีด้วยกันเมื่อเราแต่ละคนกลับบ้านมาหาพระองค์ พระองค์ทรงเชื้อเชิญให้เราทำให้ที่ประชุม โควรัม ชั้นเรียน และกิจกรรมต่างๆ เปิดกว้าง จริงใจ ปลอดภัย—เป็นบ้านให้กัน ด้วยความกรุณา ความเข้าใจ และความเคารพกัน เราต่างแสวงหาพระเจ้าอย่างนอบน้อม สวดอ้อนวอน และต้อนรับพรพระกิตติคุณที่ทรงฟื้นฟูให้กับทุกคน

เราต่างคนต่างเดินทางในชีวิต แต่เรามาหาพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและพระบุตรที่รักของพระองค์ได้อีกครั้งผ่านการไว้วางใจในพระผู้เป็นเจ้า ในกันและกัน และในตัวเราเอง27 พระเยซูตรัสว่า “อย่าวิตกเลย จงเชื่อเท่านั้น”28 ขอให้เราไว้วางใจในความห่วงใยของพระบิดาบนสวรรค์โดยไม่หวั่นกลัว29เช่นเดียวกับศาสดาพยากรณ์โจเซฟ พี่น้องชายหญิงที่รัก มิตรสหายที่รัก โปรดมองหาศรัทธาและความไว้วางใจอีกครั้ง—นี่คือปาฏิหาริย์ที่ทรงสัญญากับท่านวันนี้ ในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์ เอเมน