ดิจิทัลเท่านั้น
เพื่อพาเราอยู่ในยุคสุดท้าย
จากการให้ข้อคิดทางวิญญาณที่บีวายยู–ฮาวายเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020
การทําตามศาสดาพยากรณ์จะนําไปสู่พรที่สัญญาไว้และการเติบโตส่วนตัวเสมอ
ขณะก้าวผ่านความท้าทายของชีวิต การนําทางจากศาสดาพยากรณ์จะมีค่าต่อเรา
เราเห็นพรยิ่งใหญ่มากมายเมื่อเราทําตามคําแนะนําจากศาสดาพยากรณ์ ข้าพเจ้าจําตัวอย่างสําคัญมากได้ที่เกิดขึ้นไม่ถึงสามสัปดาห์หลังจากข้าพเจ้ากับจิลล์ภรรยาแต่งงานกัน เราเข้าร่วมการให้ข้อคิดทางวิญญาณที่ประธานศาสนจักรเวลานั้นคือสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์พูดเรื่องการแต่งงาน1 ดูเหมือนท่านกําลังพูดกับเราโดยตรง คำพูดนั้นช่วยเรากําหนดรูปแบบบางอย่างเมื่อเราเริ่มชีวิตแต่งงานและครอบครัว และนั่นช่วยเราหลีกเลี่ยงหลุมพรางที่พระเจ้าทรงดลใจให้ท่านเตือน ข้าพเจ้าใคร่ครวญมาตลอดหลายปีว่าเราได้รับพรมากเหลือเกินที่เราได้รับการนําทางนั้นในช่วงเวลาสําคัญยิ่ง 47 ปีให้หลัง เรายังคงได้รับพรเพราะคําแนะนํานั้นที่เราได้รับตอนเป็นคู่แต่งงานหนุ่มสาว
เมื่อเราทำตามศาสดาพยากรณ์ เราได้รับพร
ข้าพเจ้าแน่ใจว่าแต่ละท่านสามารถเล่าประสบการณ์เมื่อท่านได้รับพรจากการทําตามศาสดาพยากรณ์
การทําตามสิ่งที่ศาสดาพยากรณ์ได้รับการดลใจให้สอนไม่รับประกันว่าเราจะไม่ถูกเย้ยหยันหรือถูกข่มเหง หรือเราจะไม่เผชิญความยากลําบากอื่นๆ เพราะการเชื่อฟังของเรา แต่การเต็มใจเชื่อฟังของเราสุดท้ายแล้วจะนำ “สันติสุขในโลกนี้ และชีวิตนิรันดร์ในโลกที่จะมาถึง” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 59:23)
นีไฟและส่วนหนึ่งของครอบครัวลีไฮกับอิชมาเอลผู้ทําตามคําสอนของลีไฮต่างประสบความท้าทายอย่างมาก แต่ลงเอยด้วยการมีชีวิตอยู่ “ตามทางแห่งความสุข” (2 นีไฟ 5:27) ในแผ่นดินที่สัญญาไว้ การรอคอยและเชื่อในพรที่สัญญาไว้ในอนาคตจะเป็นความท้าทายในวันที่เราหงุดหงิดถ้าการค้นหาในคอมพิวเตอร์ใช้เวลานานกว่า .62 วินาที
เมื่อสังคมเริ่มเปลี่ยนไป หลายคนปฏิเสธคําแนะนําของศาสดาพยากรณ์
เมื่ออายุยังน้อย ข้าพเจ้าสงสัยว่าทําไมผู้คนในพระคัมภีร์มอรมอนจึงปฏิเสธศาสดาพยากรณ์ ข้าพเจ้าว่านั่นบ้ามาก พวกเขาไม่เห็นหรือว่าผลจะเป็นอย่างไร? ผู้คนไปถึงจุดที่พวกเขาจะปฏิเสธข่าวสารของศาสดาพยากรณ์แม้กระทั่งปฏิเสธและเกลียดชังตัวศาสดาพยากรณ์ได้อย่างไร?
หลายปีก่อน ข้าพเจ้าตัดสินใจศึกษาปฏิกิริยาต่อข่าวสารจากศาสดาพยากรณ์ บางครั้งผู้คนปฏิเสธศาสดาพยากรณ์เพราะอิจฉาพวกท่านและพลังอํานาจของพวกท่าน
ในหนังสือสามนีไฟเมื่อนีไฟกําลังปฏิบัติศาสนกิจด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ “คนทั้งหลายโกรธท่าน, แม้เพราะท่านมีพลังยิ่งกว่าพวกเขา” (3 นีไฟ 7:18) ผู้คนเห็นแม้กระทั่งนีไฟทําให้น้องชายลุกขึ้นจากบรรดาคนตาย “และผู้คนเห็นการนี้, และเป็นพยานถึงเรื่องนี้, และโกรธท่านเพราะพลังความสามารถของท่าน” (3 นีไฟ 7:20)
เมื่อโธมัส มาร์ชกลับมาศาสนจักรหลังจากเกิดความไม่พอใจ เขาอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น:
“ข้าพเจ้าต้องสูญเสียพระวิญญาณของพระเจ้าออกจากใจข้าพเจ้า …
“ข้าพเจ้าอิจฉาท่านศาสดาพยากรณ์ … และมองข้ามทุกสิ่งที่ถูกต้อง และใช้เวลาทั้งหมดของข้าพเจ้าไปกับการมองหาความชั่ว … ข้าพเจ้าคิดว่าตนเห็นท่อนไม้ในดวงตาของบราเดอร์โจเซฟ แต่ไม่มีอะไรเลยนอกจากผงธุลี และดวงตาข้าพเจ้าเองเต็มไปด้วยท่อนไม้ … ข้าพเจ้าโกรธและต้องการให้ทุกคนโกรธด้วย ข้าพเจ้าพูดคุยกับบราเดอร์บริคัม ยังก์และบราเดอร์ฮีเบอร์ ซี. คิมบัลล์ และข้าพเจ้าต้องการให้พวกเขาโกรธเหมือนตัวข้าพเจ้า และข้าพเจ้าเห็นพวกเขาไม่โกรธ และข้าพเจ้าโกรธยิ่งกว่าเดิมเพราะพวกเขาไม่โกรธ บราเดอร์บริคัม ยังก์พูดด้วยความระมัดระวังว่า ‘คุณเป็นผู้นําของศาสนจักรหรือเปล่าบราเดอร์โธมัส’ ข้าพเจ้าตอบว่า ‘เปล่า’ ‘ถ้าอย่างนั้น’ เขาพูด ‘ทําไมคุณไม่ปล่อยเรื่องนั้นไปล่ะ?’”2
มีเหตุผลอื่นที่ผู้คนไม่ทําตามคําแนะนําของศาสดาพยากรณ์ หนึ่งในเหตุผลที่พบบ่อยที่สุดคือศาสดาพยากรณ์เป็นพยานถึงบาปของผู้คนและสั่งสอนการกลับใจ นี่ทำให้หลายคนนั่งไม่ติด ก่อนข้อแรกในพระคัมภีร์มอรมอน ในคํานําสั้นๆ ที่นีไฟให้กับหนังสือหนึ่งนีไฟ เราเห็นสาระสําคัญนี้เกิดขึ้น นีไฟเขียนว่า “พระเจ้าทรงเตือนลีไฮให้ออกไปจากแผ่นดินแห่งเยรูซาเล็ม, เพราะท่านพยากรณ์แก่ผู้คนเกี่ยวกับความชั่วช้าสามานย์ของพวกเขาและพวกเขาหมายมั่นจะทําลายชีวิตท่าน” รูปแบบนี้กล่าวซ้ำในพระคัมภีร์ (ดูตัวอย่างใน 1 นีไฟ 16:2; โมไซยาห์ 13:4; แอลมา 35:15; ฮีลามัน 8:4; 13:26–28)
พวกเราส่วนใหญ่ไม่อยากได้ยินว่าเรากําลังทําผิด เราไม่ชอบให้ใครตำหนิ นี่เป็นความท้าทายมากขึ้นเมื่อสังคมตีตนออกห่างคําสอนและพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ในสังคมที่ชอบธรรม คนที่หลงทำบาปกลายเป็นคนนอก แต่ในสังคมที่เพิกเฉยหรือปฏิเสธคําสอนของพระเจ้า คนที่ปฏิบัติตามพระบัญญัติกลายเป็นคนนอกและพวกเขาถูกกดดันอย่างหนัก
ในพระคัมภีร์มอรมอน สังคมเหล่านั้นที่จมลึกในปรัชญาเท็จและบาปมากที่สุด—เช่น ผู้คนของกษัตริย์โนอาห์ ผู้คนของแอมันไนฮาห์ หรือชาวโซรัม—มีแนวโน้มจะตอบสนองในทางลบต่อข่าวสารของศาสดาพยากรณ์มากที่สุด ขณะที่สังคมหลงทาง อาคารใหญ่และกว้างมีอิทธิพลต่อแต่ละบุคคลแรงกล้ามากขึ้น ดูเหมือนจะเข้าใกล้และใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนการเยาะเย้ยจะรุนแรงขึ้นและชี้นํามากขึ้น ดูเหมือนจะมีการชี้นิ้วมากขึ้น—และนี่เป็นเพราะมีการทำเช่นนั้น แรงกดดันที่มีต่อเราไม่เพียงทำให้เราหันหลังให้เส้นทางและผลของต้นไม้เท่านั้น แต่ร่วมล้อเลียนและโจมตีคนที่พยายามอยู่บนเส้นทางด้วย
สังคมเหล่านั้นทำอะไรจึงไปถึงจุดที่พวกเขายอมปฏิเสธศาสดาพยากรณ์และถึงกับกระหายเลือดของพวกท่าน? ปรัชญาและหลักคําสอนเท็จฝังอยู่ในใจผู้คนได้อย่างไร? ปัจจัยใดทำให้พวกเขาเปลี่ยนจากความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นความหยิ่งจองหองและจากการเชื่อฟังเป็นความกระหายสงคราม? นี่อาจจะเป็นหัวข้อสำหรับครั้งหน้า
ขณะที่เรามองดูสังคมและบุคคลเหล่านี้หันหลังให้ศาสดาพยากรณ์และพระเจ้า เราจะเห็นผลลัพธ์ได้เมื่อมองย้อนกลับไป เมืองแห่งแอมันไนฮาห์ถูกทําลายในวันเดียว ผู้คนของโนอาห์ถูกจับเป็นเชลย และหลายคนถูกสังหาร ชาวโซรัมไม่พอใจที่คนยากจนบางคนในบรรดาพวกเขาที่ยอมรับพระกิตติคุณได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นในแผ่นดินแห่งเจอร์ชอน นี่ชักนำให้พวกเขาร่วมทําสงครามสู้กับประชาชาตินีไฟ
เราเลือกเองว่าจะทําตามศาสดาพยากรณ์หรือไม่
เราแต่ละคนมีทางเลือกให้ทําตามศาสดาพยากรณ์ ไม่ว่าสภาพของสังคมที่เราอยู่จะเป็นเช่นไร เราอาจรู้สึกถูกกดดันจากสังคมให้เพิกเฉยหรือแม้กระทั่งปฏิเสธข่าวสารของศาสดาพยากรณ์ แต่เรายังสามารถเลือกได้ ถ้าเรารักษาพันธสัญญาของเราและอยู่ใกล้ชิดพระเจ้า เราจะทําตามศาสดาพยากรณ์ได้ง่ายขึ้นมาก เราจะมีพระวิญญาณนําทางเราและเพิ่มพลังความตั้งใจของเราที่จะยอมให้ความประสงค์ของเราเป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า และเป็นผู้รับพรของพระเจ้าหลังจากนั้น
ข้าพเจ้าอยู่ในการสนทนาเมื่อไม่กี่ปีก่อนเกี่ยวกับหัวข้อหนึ่งซึ่งมีความแตกแยกทางการเมืองอยู่บ้างแต่ศาสนจักรหรือศาสดาพยากรณ์ไม่เคยพูดถึงหัวข้อนี้เลย คนนั้นแสดงความเห็นว่าถ้าศาสดาพยากรณ์ขอให้เราทําสิ่งที่เรากําลังสนทนากันอยู่ เขาจะไม่ทํา และสำหรับเขาจะหมายความว่าศาสดาพยากรณ์ไม่ได้เป็นศาสดาพยากรณ์ที่แท้จริงอีกต่อไป ข้าพเจ้าผงะและคิดว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่หุนหันพลันแล่นมาก แต่หลังจากการสนทนา ข้าพเจ้าสงสัยว่ามีบางอย่างที่ข้าพเจ้ารู้สึกแรงกล้ามากพอหรือกระแสสังคมปัจจุบันต่อต้านอย่างรุนแรงจนทําให้ข้าพเจ้าปฏิเสธศาสดาพยากรณ์หรือไม่?
เมื่อคําแนะนําของศาสดาพยากรณ์ปะทะกับความรู้สึก ความปรารถนา หรือความเชื่อมั่นส่วนตัวของเรา หรือเมื่อคําแนะนํานั้นต่อต้านทัศนะของสังคมอย่างกว้างขวาง ปฏิกิริยาของเราคืออะไร? โจเซฟ สมิธกล่าวว่า “ข้าพเจ้าพยายามมาหลายปีเพื่อเตรียมจิตใจของวิสุทธิชนให้พร้อมรับเรื่องของพระผู้เป็นเจ้า หลังจากที่ต้องทนทุกข์กับงานของพระผู้เป็นเจ้าเรามักจะเห็นพวกเขาบางคนแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหมือนแก้วทันทีที่มีเรื่องบางอย่างขัดกับประเพณีพวกเขา พวกเขาทนไฟไม่ได้อีก”3
ประธานเฮนรีย์ บี.อายริงก์ ที่ปรึกษาที่สองในฝ่ายประธานสูงสุดพูดเกี่ยวกับการตอบรับคําแนะนําจากศาสดาพยากรณ์ดังนี้:
“เมื่อดูเหมือนศาสดาพยากรณ์จะพูดคำซ้ำๆ นั่นควรตอกย้ำความสนใจของเราและทำให้ใจเราเปี่ยมด้วยความสำนึกคุณต่อการได้อยู่ในยุคอันเป็นพรเช่นนี้
“การมองหาเส้นทางสู่ความปลอดภัยในคำแนะนำของศาสดาพยากรณ์มีความหมายต่อผู้มีศรัทธาแรงกล้า เมื่อศาสดาพยากรณ์พูด คนที่มีศรัทธาน้อยนิดอาจคิดว่าพวกเขาแค่ได้ยินคนฉลาดให้คำแนะนำที่ดี จากนั้นหากคําแนะนําของท่านดูสบายๆ และมีเหตุผล ตรงกับที่พวกเขาอยากทํา พวกเขาจะรับ หากไม่ใช่เช่นนั้น พวกเขาจะถือว่าเป็นคําแนะนําที่มีข้อผิดพลาดหรือมองว่าสภาวการณ์ของพวกเขาสมควรให้ไม่ต้องทำคําแนะนํานั้น ผู้ไม่มีศรัทธาอาจคิดว่าพวกเขาได้ยินแค่คนกำลังหาทางใช้อิทธิพลเพราะความเห็นแก่ตัวบางอย่าง …
“… การไม่รับคำแนะนำของศาสดาพยากรณ์จะทำให้เรามีพลังรับคำแนะนำด้วยการดลใจในอนาคตได้น้อยลง …
“ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าได้ฟังคำแนะนำของศาสดาพยากรณ์ รู้สึกได้รับการยืนยันในการสวดอ้อนวอน แล้วทำตาม ข้าพเจ้าพบว่าตนกำลังเดินหน้าสู่ความปลอดภัย …
“บางครั้งเราจะได้รับคำแนะนำที่เราไม่เข้าใจหรือดูเหมือนจะใช้กับเราไม่ได้แม้จะสวดอ้อนวอนและคิดถี่ถ้วนแล้วก็ตาม อย่าทิ้งคำแนะนำนั้น แต่ยึดไว้ให้มั่น หากคนที่ท่านไว้ใจยื่นสิ่งที่ดูเหมือนไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าทรายพร้อมคำสัญญาว่ามีทองคำอยู่ในนั้น ท่านอาจจะถือไว้ในมือสักพักอย่างชาญฉลาดแล้วเขย่าเบาๆ ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าทําเช่นนั้นกับคําแนะนําจากศาสดาพยากรณ์ สักพักจะเริ่มเห็นเกร็ดทองคําและข้าพเจ้าสํานึกคุณ”4
คนนําทางที่มืดบอดพยายามแยกเราออกจากพระเยซูคริสต์
หลังจากแซมิวเอลชาวเลมันอธิบายให้ผู้คนฟังว่าพวกเขาเคยปฏิเสธศาสดาพยากรณ์และฟังคนอื่นที่สอนพวกเขาให้ “เดินไปตามความถือดีของสายตา [พวกเขา] และทําสิ่งใดก็ตามที่ใจ [พวกเขา] ปรารถนา” (ฮีลามัน 13:27) เขาถามสองคําถามที่เสียดแทงใจว่า “ท่านจะปล่อยตนให้คนนําทางที่เขลาและมืดบอดนําท่านไปนานเท่าใดหรือ?” และ “ท่านจะเลือกความมืดแทนความสว่างไปนานเท่าใดหรือ?” (ฮีลามัน 13:29)
ไม่มีใครยอมรับว่าตนอยากให้คนนําทางที่มืดบอดนํา คนที่ถูกชักนำให้หลงผิดจะไม่ตีตราคนที่สอนปรัชญาเท็จว่าเป็น “คนนําทางที่มืดบอด” อันที่จริงมีแนวโน้มว่าคนที่ชักนำให้หลงผิดมักถูกมองว่าเป็นคนจุดประกายความคิด มองการณ์ไกล ฉลาดหลักแหลม และมีความรอบรู้ทางสังคม
ข้าพเจ้าสงสัยว่าคนนำทางที่มืดบอดบางคนจากพระคัมภีร์มอรมอนจะเข้ากับคนยุคปัจจุบันได้อย่างไร ลองนึกถึงเชเร็มผู้มีการศึกษาและมีความรู้อันสมบูรณ์เกี่ยวกับภาษาของผู้คนเพื่อเขาจะใช้คําป้อยอได้มาก ด้วยความสามารถด้านภาษาของเขา เขาจะครองโลกทวิตเตอร์ได้อย่างรวดเร็วแน่นอน เขาจะมีทวีตที่ฉลาดติดหูมากมายซึ่งจะถูกรีทวีตเพราะเขารู้วิธีขุดบ่อล่อปลา
ด้วยความที่นีฮอร์มีพละกำลังมาก สวมเสื้อผ้าราคาแพง และดึงดูดใจคน เขาจึงรวบรวมผู้ติดตามบนอินสตาแกรมได้มหาศาล—จําลอง “ชีวิตที่ดี” โดยไม่มีข้อจํากัดของพระบัญญัติและใช้แบบแผนของเขาจู่โจมศาสนจักรและคําสอนของศาสนจักร
และคอริฮอร์คงจะมีผู้ติดตามหลายล้านคนในช่องยูทูปของเขาที่เขาจะมีอิสรภาพในการล้อเลียนผู้เชื่อและสอนสิ่งเป็นที่ “พอใจของจิตที่ฝักใฝ่ทางโลก” (แอลมา 30:53) เขาจะ “ทวีความรุนแรงในคำพูด … และ … จ้วงจาบ” (แอลมา 30:31) ศาสดาพยากรณ์และผู้นําของศาสนจักร เขาจะรวบรวมผู้ติดตามได้มากขึ้นเมื่อข่าวสารของเขาออกมาว่า “อะไรก็ตามที่มนุษย์ทําไปย่อมไม่เป็นความผิด” (แอลมา 30:17)
แน่นอนว่ากระแสใต้การสื่อสารทั้งหมดนั้นคือไม่มีพระคริสต์ คําสอนเหล่านั้นไม่ทันสมัยหรือไม่ใช่ต้นฉบับ แต่ขโมยความคิดมาจากนักเขียนเรื่องโกหก แม้แต่คอริฮอร์ก็ยอมรับในที่สุดว่ามารสอนสิ่งที่เขาพูด (ดู แอลมา 30:53)
เมื่อบุคคลหรือสังคมแยกตนเองจากคําสอนของพระเจ้าซึ่งผ่านมาทางศาสดาพยากรณ์ พวกเขามองหาคําสอนอื่นที่ยอมให้พวกเขาดําเนินชีวิตตามที่พวกเขาต้องการ—ปราศจากความรู้สึกผิดอันน่ารําคาญนั้น
เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์ แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองอธิบายว่า “น่าเศร้าทีเดียว เพื่อนรุ่นเยาว์ของข้าพเจ้า ที่ลักษณะเด่นของคนยุคเราคือหากใครต้องการพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาก็ต้องการพระผู้เป็นเจ้าที่ไม่เรียกร้องมาก พระผู้เป็นเจ้าที่สบายๆ พระผู้เป็นเจ้าที่ราบรื่นผู้ซึ่งมือไม่พายแต่เอาเท้าราน้ำ พระผู้เป็นเจ้าที่ลูบศีรษะเรา คอยทำให้เราหัวเราะคิกคัก แล้วบอกให้เราวิ่งไปเก็บดอกดาวเรือง”5
คนนำทางที่มืดบอดและโง่เขลาจะไม่มีวันนําเราไปสู่ปีติและพรที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราได้รับ เมื่อเราทําตามศาสดาพยากรณ์ เราต้องเต็มใจยืนหยัดทำสิ่งที่ถูกต้องขณะเผชิญการเยาะเย้ยและการข่มเหง แม้ไม่มีใครนิยมชมชอบก็ตาม
ศาสดาพยากรณ์เรียกเรามาหาพระผู้ช่วยให้รอด
แม้คนนําทางที่มืดบอดและคนเยาะเย้ยของโลกพยายามนําเราออกห่างจากพระผู้เป็นเจ้าและพรของพระองค์ แต่ศาสดาพยากรณ์เรียกเราให้มาหาพระผู้ช่วยให้รอด ศาสดาพยากรณ์ไม่พยายามโน้มน้าวเราให้นมัสการท่านแต่เรียกเราให้นมัสการและเข้าใกล้พระบิดาบนสวรรค์ของเราและพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์ยิ่งขึ้น (ดูตัวอย่าง ลีไฮใน 1 นีไฟ 8:12)
ไม่กี่ปีก่อน จิลล์กับข้าพเจ้ากําลังพูดกับประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน ท่านถามว่าเราเต็มใจยอมรับงานมอบหมายอื่นหรือไม่ ประธานเนลสันใจดีกับเราเสมอและปฏิบัติต่อจิลล์ด้วยความรักและความเคารพอย่างมาก หลังจากท่านถามคําถามเกี่ยวกับความเต็มใจของเรา จิลล์พูดว่า “เราจะทําทุกอย่างเพื่อคุณ ประธานเนลสัน” ท่านตอบทันทีว่า “ทําเพื่อพระองค์” นี่ทําให้ข้าพเจ้ากับจิลล์ประทับใจมาก ท่านสอนบทเรียนสำคัญแก่เรา ประธานเนลสันต้องการให้เรามีแรงจูงใจที่ถูกต้องและมองจุดที่แรงจูงใจนั้นนำเราไปโดยไม่ให้คลาดสายตา
เมื่อศาสดาพยากรณ์นำทางเรา เราจึงทําตามคําแนะนําเพราะพระองค์—พระผู้ช่วยให้รอด พระคุณของพระองค์เพียงพอสําหรับเราแต่ละคน
สรุป
เรารู้ว่าประธานเนลสันเต็มใจทําตามศาสดาพยากรณ์ตลอดชีวิตท่าน ท่านทิ้งโอกาสด้านอาชีพอันทรงเกียรติอันเนื่องด้วยคําแนะนําจากศาสดาพยากรณ์ ขณะเป็นศัลยแพทย์ที่งานยุ่งมากและมีครอบครัวใหญ่ ท่านศึกษาภาษาจีนเพราะศาสดาพยากรณ์แสดงความเห็นว่าศาสนจักรต้องการสมาชิกที่พูดภาษาจีนได้ เรารู้ว่าเมื่อประธานโธมัส เอส. มอนสันขอให้สมาชิกศาสนจักรศึกษาพระคัมภีร์มอรมอน ประธานเนลสันทำทันที ศาสนจักรหรือโลกจะเป็นอย่างไรถ้าเราแต่ละคนเต็มใจทําตามศาสดาพยากรณ์ดังที่ประธานเนลสันทำ?
ข้าพเจ้ารู้ว่ามีพรมากมายเมื่อเราทําตามคำแนะนำที่พระเจ้าประทานผ่านศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ ถ้าสิ่งที่พวกท่านพูดขัดกับกระแสปัจจุบันในสังคม ขอให้เรากล้าทําตาม สนับสนุน และปกป้อง การเดินเรือแบบนั้นไม่ราบรื่นเสมอไป แต่จะนําไปสู่พรที่สัญญาไว้และการเติบโตส่วนตัวเสมอ