ดิจิทัลเท่านั้น
ประทานแสงสว่างให้ข้าพระองค์ย่ำเดินไปอย่างปลอดภัยในดินแดนที่ไม่รู้จัก
จากคำปราศรัยให้ข้อคิดทางวิญญาณที่มหาวิทยาลัยบริคัม ยังก์–ฮาวาย วันที่ 8 ธันวาคม 2023 ดูบทความเต็มเป็นภาษาอังกฤษได้ที่ speeches.byu.edu
ก้าวต่อไปของท่านอาจก้าวเข้าไปยังที่ซึ่งไม่รู้จัก แต่ถ้าท่าน “ยื่นมือของท่านเข้าไปในพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า” ข้าพเจ้ารู้ว่าการนําทางของพระองค์ “ย่อมดีกว่าแสงสว่าง และปลอดภัยกว่าทางที่รู้จัก”
เพื่อนที่รักของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายินดีที่ได้อยู่กับท่านที่นี่ในสถานที่สวยงามแห่งนี้และเป็นเกียรติที่ได้พูดกับท่านในวันสําคัญเช่นนี้ในชีวิตท่าน
ขณะเตรียมความคิดที่จะแบ่งปันกับท่าน แน่นอนว่าข้าพเจ้าไม่เคยคิดเลยว่าจะได้แบ่งปันความคิดเหล่านั้นในวันที่ข้าพเจ้าจะได้รับเลือกเป็นสมาชิกคนใหม่ล่าสุดของโควรัมอัครสาวกสิบสอง นี่ถึงกับเป็นเรื่องน่าทึ่งสําหรับข้าพเจ้าที่จะพูดแบบนั้น การเรียกนี้มาเมื่อวาน เมื่อคืนข้าพเจ้านอนน้อยมาก ท่านย่อมสามารถนึกภาพได้อย่างดี เวลานี้ข้าพเจ้าตระหนักในวิธีที่พิเศษที่สุดว่าข้าพเจ้าไม่เคยเตรียมคําพูดให้คนอื่นได้พอดีกับช่วงเวลานั้นในชีวิตข้าพเจ้าเลย พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงอยู่เหนือทุกสิ่ง พระองค์ผู้ซึ่งการเรียกเมื่อวานนี้ไม่ใช่สิ่งน่าประหลาดใจ (ไม่ว่าจะน่าประหลาดใจสําหรับข้าพเจ้ามากเพียงใด และแน่นอนว่าสําหรับทุกคนที่รู้จักข้าพเจ้าดี) ทรงนําข้าพเจ้ามายังข่าวสารเหล่านี้สําหรับท่าน แต่ข้อความเหล่านี้มีความหมายอย่างมากสําหรับข้าพเจ้าในช่วงเวลานี้ และในช่วงสัปดาห์ เดือน และปีต่อๆ ไปข้างหน้า ข้อความเหล่านี้จะจำเป็นต่อข้าพเจ้าอย่างมาก
การเป็นอัครสาวกคือการเป็นพยานพิเศษของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าตระหนักดีว่าข้าพเจ้าจะต้องเติบโตในทุกๆ ด้านที่ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้เพื่อเป็นผู้รับใช้ที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงต้องการให้ข้าพเจ้าเป็น ความไม่ดีพอ ความอ่อนแอ และความขาดแคลนในตัวข้าพเจ้าชัดเจนอย่างเจ็บปวดแก่ข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้ามีศรัทธาในความอดทนของพระบิดา พระคุณของพระเยซูคริสต์ และการสอนของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
ข้าพเจ้าอยากจะแบ่งปันข้อความคําที่เขียนโดยกวีมินนี่ หลุยส์ แฮสกินส์:
“และข้าพเจ้าพูดกับชายผู้ยืนอยู่ที่ประตูแห่งปีว่า ‘มอบแสงสว่างให้ข้าย่ำเดินไปอย่างปลอดภัยในดินแดนที่ไม่รู้จัก’
และเขาตอบว่า: ‘จงออกไปในความมืดและยื่นมือของท่านเข้าไปในพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า สิ่งนั้นย่อมดีกว่าแสงสว่าง และปลอดภัยกว่าทางที่รู้จัก’
ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเดินหน้าต่อไป และเมื่อพบกับพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าก็ย่ำเดินสู่ราตรีด้วยความยินดี
ก้าวต่อไปของท่านอาจก้าวเข้าสู่ดินแดนที่ไม่รู้จัก—และแน่นอนว่าจะมีจุดเปลี่ยนเช่นนี้อีกมากมายในชีวิตของท่าน เมื่อหนทางเบื้องหน้ายังไร้ซึ่งการสำรวจ แต่ถ้าท่าน “ยื่นมือของท่านเข้าไปในพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า” ข้าพเจ้ารู้ว่าตามที่บทกวีสัญญาไว้ การนําทางของพระองค์นั้น “ย่อมดีกว่าแสงสว่าง และปลอดภัยกว่าทางที่รู้จัก”
“ยื่นมือของท่านเข้าไปในพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า”
“ยื่นมือของท่านเข้าไปในพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า”หมายความว่าอย่างไร? บางทีนั่นอาจหมายถึงการใช้ศรัทธาของหญิงม่ายชาวศาเรฟัทผู้ใช้ทรัพยากรอันน้อยนิดสุดท้ายของเธอเพื่อเลี้ยงดูศาสดาพยากรณ์เอลียาห์จนหมด เธอยื่นมือของเธอเข้าไปในพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าด้วยความวางใจจนน่าประหลาดใจ แป้งในหม้อและน้ำมันในไหไม่แห้งแต่จัดหาอาหารประคับประคองเธอและบุตรชายผ่านพ้นความอดอยาก (ดู 1 พงศ์กษัตริย์ 17) หรืออาจจะเห็นได้แวบหนึ่งในการเชื่อฟังที่หยุดชะงักแต่อ่อนน้อมในท้ายที่สุดของนาอามานผู้บัญชาการทหารที่ทุกข์ทรมานด้วยโรคเรื้อนขณะที่เขาเชื่อฟังศาสดาพยากรณ์เอลีชาและอาบน้ำเจ็ดครั้งในแม่น้ำจอร์แดนเพื่อรับการรักษาจนหายดี (ดู 2 พงศ์กษัตริย์ 5) อาจทําให้นึกถึงมารีย์ พระมารดาของพระเยซู ผู้ยอมรับหน้าที่ซึ่งพลิกผันชีวิตของตนอย่างมากด้วยวลีอันทรงพลังสั้นๆ นี้ “นี่แน่ะ ข้าพเจ้าเป็นทาสขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (ลูกา 1:38)
แน่นอนว่า การยื่นมือของท่านไปหาเข้าไปในพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าหมายถึงการแสวงหาอย่างต่อเนื่องเพื่อเข้าใกล้พระบิดาบนสวรรค์และพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระเยซูคริสต์ และสัมผัสปีติจากความรักอันสมบูรณ์แบบของทั้งสองพระองค์ เรื่องนี้หมายถึงการวิงวอนเพื่อให้เข้าใจว่าพระองค์ทรงอยู่กับเราตลอดเวลา รับรู้ถึงการประทับอยู่ของพระองค์ดังที่เป็นพระคุณแก่ชีวิตเรา และการมีประสบการณ์กับปีติและความสํานึกคุณที่ความเป็นเพื่อนเช่นนั้นต้องสร้างแรงบันดาลใจ เรื่องนี้หมายถึง “การคิดแบบซีเลสเชียล” มองไปข้างหน้าถึง “แสงสว่างยามรุ่งอรุณ” ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงนําเราอย่างอดทน แล้วอุทิศตัวเราเองเพื่อเป้าหมายอันสดใสนั้น เพื่อนทั้งหลาย ถ้าเราพากเพียรให้พระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้านําเราด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่ใช่อิทธิพลอื่น เราจะมีพลังเพิ่มขึ้นเพื่อเผชิญสิ่งที่ไม่รู้อนาคตด้วยศรัทธาที่มั่นคงและความไว้วางใจที่แนบแน่น
“การค้นพบพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า“
แล้วเราจะไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร? เราจะค้นพบพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าได้ และดังที่บทกวีบรรยายว่า ย่ำเดิน “สู่ราตรีด้วยความยินดี ” ได้อย่างไร? พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เต็มไปด้วยแสงสว่างที่สามารถและจะช่วยเราใน “การค้นพบพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า”
พระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดที่รักของเรา ทรงเป็นแหล่งกําเนิดอันล้ำเลิศของแสงสว่างในชีวิตเรา พระองค์ทรงรับรองด้วยพระองค์เองว่า “เราเป็นความสว่างของโลก คนที่ตามเรามาจะไม่ต้องเดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต” (ยอห์น 8:12) ความสว่างแห่งชีวิต! พระองค์ทรงเป็นเช่นนั้น นั่นคือสิ่งที่พระองค์ทรงมอบให้เรา เพราะแสงสว่างของพระองค์ เราจึงสามารถเลือกความหวังและปีติได้อย่างแท้จริงท่ามกลางพายุแห่งความสับสนของชีวิต หากท่านค้นพบสิ่งนี้ ท่านจะรู้ถึงปาฏิหาริย์แห่งแสงสว่างของพระองค์ที่สามารถส่องทะลุทะลวงความมืดมัวใดๆ ก็ได้
การใช้ประโยชน์จากประภาคารนั้นในชีวิตเราหมายถึงการค้นพบสิ่งที่ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันอธิบายว่าเป็นปีติของการกลับใจในทุกวัน ท่านบอกเราว่า “การกลับใจเป็นของขวัญอันเจิดจรัส เป็นกระบวนการที่ไม่มีอะไรน่ากลัว เป็นของขวัญให้เรารับด้วยปีติและให้ใช้—แม้น้อมรับไว้—ทุกวันขณะที่เราพยายามเป็นเหมือนพระผู้ช่วยให้รอดมากขึ้น” การหันกลับไปหาพระผู้เป็นเจ้าเป็นเนืองนิตย์ ในแต่ละครั้งที่เราออกนอกเส้นทางทําให้เราเป็นอิสระจากพันธนาการของบาปและความเศร้าหมองที่ปฏิปักษ์ใช้ครอบงำเราไว้ เราสามารถเรียนรู้ที่จะชื่นชมโอกาสสําหรับการกลับใจทุกวัน—แม้อย่างสม่ำเสมอ—และทําเช่นนั้นด้วยการน้อมขอบพระทัยอย่างจริงใจ
พระคัมภีร์เป็นแหล่งแสงสว่างที่มีค่าอีกแหล่งหนึ่งในชีวิตเรา ฟินเซนต์ ฟัน โคค (วินเซนต์ แวน โก๊ะ) จิตรกรชาวดัตช์เคยเขียนในจดหมายถึงน้องชายของเขาว่า “นายไม่รู้หรอกว่าพระคัมภีร์ไบเบิลดึงดูดใจฉันอย่างไร ฉันอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน แต่ฉันควรรู้ด้วยใจและมองชีวิตตามถ้อยคําที่ว่า ‘พระวจนะของพระองค์เป็นตะเกียงแก่เท้าของข้าพระองค์ และเป็นความสว่างแก่ทางของข้าพระองค์’” เมื่อข้าพเจ้ามองดูความงามที่ซับซ้อนของภาพวาดของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพรรณนาแสงที่หมุนวนของเขา ข้าพเจ้าจินตนาการว่าในงานศิลปะของเขา เขาวาดภาพโลกผ่านเลนส์ของความปรารถนาที่จะมองชีวิตผ่านแสงสว่างแห่งพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า
ถ้อยคําในพระคัมภีร์ให้ความกระจ่างและหล่อหลอมวิธีที่ท่านมองโลกหรือไม่? บางทีท่านอาจจะเคยพัฒนาความใกล้ชิดกับพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าในระดับนั้นมาแล้ว—บางทีอาจจะไม่ ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหนกับการศึกษาพระคัมภีร์เป็นส่วนตัว ข้าพเจ้าขอให้ท่านแสวงหาและเรียนรู้ต่อไป ไม่มีวันสายเกินไปที่เราจะเปิดใจรับพระคัมภีร์และรับการนําทางจากแสงสว่างในนั้น ประธานดัลลิน เอช.โอ๊คส์ ที่ปรึกษาที่หนึ่งในฝ่ายประธานสูงสุดสอนว่า “เราพูดว่าพระคัมภีร์มีคําตอบให้ทุกคําถามเพราะพระคัมภีร์สามารถนําเราไปพบทุกคําตอบ พระคัมภีร์จะวางเราไว้ในจุดที่เราจะได้รับการดลใจให้ตอบคําถามส่วนตัวหรือหลักคําสอน ไม่ว่าคําถามนั้นจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับหัวข้อที่เรากําลังศึกษาในพระคัมภีร์หรือไม่ก็ตาม นั่นคือความจริงอันยิ่งใหญ่ที่หลายคนไม่เข้าใจ”
พระวิหารเป็นเหมือนประภาคารท่ามกลางพายุ เป็นแหล่งกําเนิดแสงที่ไม่เปลี่ยนแปลงและเป็นสัญลักษณ์ของความปลอดภัย หลักคําสอนที่ไม่เปลี่ยนแปลงของการนมัสการในพระวิหารให้ความมั่นคงต่อเนื่องในโลกของความวุ่นวายและความไม่แน่นอน พันธสัญญาที่เราทําในพระวิหารประสาทพรเราด้วยพลังอํานาจ เดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า และเติมเต็มเราด้วยแสงสว่างของพระเจ้า เราออกจากพระวิหารโดยรับพระนามของพระองค์ไว้กับตนเอง รัศมีภาพของพระองค์อยู่รอบตัวเรา และเหล่าเทพของพระองค์ดูแลเรา
ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันสอนเราว่า “การทำพันธสัญญากับพระผู้เป็นเจ้า เปลี่ยนความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์ตลอดกาล ซึ่งเป็นพรแก่เราด้วยความรักความเมตตาที่เกินจะวัดได้ อีกทั้งส่งผลต่อการที่เราจะเป็นใครและวิธีที่พระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วยให้เราเป็นสิ่งที่เราสามารถเป็นได้ด้วย” โดยแท้แล้ว การทําและรักษาพันธสัญญาเช่นนั้นคือการ “ยื่นมือของท่านเข้าไปในพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า” ถ้าพระวิหารยังไม่เติมแสงสว่างและสันติสุขให้ท่าน ข้าพเจ้าขอส่งเสริมให้ท่านไปบ่อยขึ้น แสวงหาพระผู้เป็นเจ้าในพระนิเวศน์ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ เพราะ “สิ่งซึ่งมาจากพระผู้เป็นเจ้าเป็นความสว่าง; และคนที่รับความสว่าง, และดำเนินอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าต่อไป, รับความสว่างมากขึ้น; และความสว่างนั้นเจิดจ้ายิ่งขึ้นๆ จนถึงวันที่สมบูรณ์” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 50:24)
พระคัมภีร์ล้ำค่าข้อนี้เป็นความจริงเหนือแสงสว่างของพระกิตติคุณทั้งหมด เมื่อท่าน “ยื่นมือของท่านเข้าไปในพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า” ขณะที่ท่านแสวงหาพระคริสต์ ศึกษาพระคัมภีร์อย่างมีความหมาย และทําพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ในพระวิหาร ความสว่างของ “แสงสว่างยามรุ่งอรุณ” ของ “วันที่สมบูรณ์” นั้นจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น แท้จริงแล้ว ท่านจะเป็นส่วนหนึ่งของแสงสว่างนั้นด้วยตัวท่านเอง
ชั่วชีวิตของการรับใช้
บทกวีที่ข้าพเจ้าอ้างอิงวันนี้โด่งดังจากข่าวสารคริสต์มาสของกษัตริย์จอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร ในเดือนธันวาคม ปี 1939 ยุโรปจมอยู่ในความขัดแย้ง และเสียงสะท้อนของสงครามดังก้องไปทั่วหัวใจของผู้คนหลายล้านคน ประชาชนคาดการณ์ถึงปีใหม่ที่เต็มไปด้วยการปันส่วน ไฟฟ้าดับ และการโจมตีทางอากาศ หลายคนโศกเศร้ากับการสูญเสีย และอนาคตดูเหมือนจะไม่เหลืออะไรนอกจากความมืดมน
ในบริบทนี้เองที่พระเจ้าจอร์จที่ 6 ตรัสกับประชาชนของพระองค์และแบ่งปันคําพูดของมินนี่ หลุยส์ แฮสกินส์ว่า: “ออกไปในความมืดและยื่นมือของท่านเข้าไปในพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า สิ่งนั้นย่อมดีกว่าแสงสว่าง และปลอดภัยกว่าทางที่รู้จัก” พระดํารัสของกษัตริย์ให้การปลอบโยน ความกล้าหาญ และความสามัคคีของชาติ โดยตั้งค่าระดับของวิญญาณแห่งช่วงสงครามที่จะกําหนดไว้ในหลายปีข้างหน้า อนาคตมีความยากลําบากและความไม่แน่นอนอย่างร้ายแรงสําหรับชาวยุโรปในปี 1939 และไม่ต้องสงสัยเลยว่าอนาคตมีความท้าทายและโอกาสในการเติบโตสําหรับเราเช่นกัน สิ่งที่พระกิตติคุณสัญญากับเราคือถ้าพระผู้เป็นเจ้าทรงนำเราโดยมีมือของเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ เราจะได้รับการนําทางผ่านการทดสอบและการต่อสู้ดิ้นรนของชีวิตและเข้าสู่ความสว่างที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ของพระองค์
พระเจ้าจอร์จที่ 6 ทรงนําประชาชนของพระองค์ฝ่าความขัดแย้งที่ร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ การรับใช้ประเทศชาติของพระองค์ต้องแลกกับการเสียสละส่วนตัวครั้งสำคัญ—พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์อย่างไม่เต็มพระทัยหลังจากพระเชษฐาสละราชสมบัติ ความเป็นผู้นําและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการพูดในที่สาธารณะไม่ได้เกิดขึ้นกับพระองค์โดยธรรมชาติ ความพยายามอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน รวมถึงการเอาชนะอุปสรรคในการพูดติดอ่างเท่านั้น ที่ทำให้พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถในการรับใช้ผู้คนของพระองค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การนําผู้อื่นในวิธีที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงนํา ในวิธีที่พระองค์ทรงประสงค์ให้เรานํา คือการรับใช้พวกเขา บ่อยครั้งการรับใช้เรียกร้องการเสียสละและการเติบโตจากเรา การรับใช้เช่นนั้นช่วยขัดเกลาและชําระเราให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ เปลี่ยนใจเราและหล่อหลอมอุปนิสัยของเราให้เป็นเหมือนพระผู้เป็นแบบอย่างของเรา พระเยซูคริสต์ ผู้รับใช้ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาผู้รับใช้ทั้งปวง
ประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์ ที่ปรึกษาที่สองในฝ่ายประธานสูงสุดสอนว่า:
“กุญแจของท่านและของข้าพเจ้าในการบรรลุศักยภาพของเราในฐานะผู้รับใช้คือการรู้จักพระอาจารย์ของเรา ทําเพื่อพระองค์ในสิ่งที่เราทําได้ และพอใจที่จะทิ้งส่วนที่เหลือไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่างหนึ่งซึ่งท่านจะต้องเผชิญในวันข้างหน้า ท่านจะสับสนระหว่าง ความจำเป็นในการหาอาหารยังชีพและมีที่พักพิง ดูแลสิ่งจำเป็นของครอบครัว ตอบรับเสียงร้องของหญิงม่ายหรือเด็กกําพร้ารอบตัวท่าน และขณะเดียวกันก็ทําตามข้อกําหนดของการเรียกที่ท่านยอมรับในศาสนจักรด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านอาจอดไม่ได้ที่จะอิดออด หรือบางทีถึงกับบ่นออกมาด้วยซ้ำ
“แต่จงจําไว้ว่าท่านรับใช้พระอาจารย์ผู้ทรงรักท่าน ผู้ทรงรู้จักท่าน และผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งมวล พระองค์มิได้ทรงสร้างข้อเรียกร้องสําหรับการรับใช้ของท่านแต่ทรงสร้างโอกาสเพื่อการเติบโตของท่าน ท่านสามารถสวดอ้อนวอนพระองค์ด้วยความมั่นใจและทูลถามว่า ‘พระองค์ทรงประสงค์ให้ข้าพระองค์ทําอะไรต่อไป?’ หากท่านฟังอย่างนอบน้อมถ่อมตนและด้วยศรัทธา ท่านจะรู้สึกถึงคําตอบ และหากท่านฉลาดและเป็นคนดี ท่านจะเริ่มทําสิ่งซึ่งพระอาจารย์ทรงบัญชา และเจ้าจะทิ้งส่วนที่เหลือไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์”
เมื่อท่านออกไป “ในที่ซึ่งไม่รู้จัก” จงยึดมั่นในแหล่งบริสุทธิ์ของความจริงและแสงสว่าง ให้ท่านท่องคาถาไว้ว่า “ฉันจะรับใช้ใครได้บ้าง?” พึงระลึกว่า พระคริสต์ทรงแนะนำว่า: “คนที่เป็นใหญ่ในพวกท่านย่อมต้องปรนนิบัติท่าน” (มัทธิว 23:11) ในสายพระเนตรของพระเจ้า ความยิ่งใหญ่ไม่ได้วัดจากความสําเร็จส่วนตัวของเราแต่วัดจากจิตกุศลซึ่งเราปฏิบัติต่อบุตรธิดาของพระองค์
พระบิดาในสวรรค์ทรงเชื่อในตัวท่าน
ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงการดํารงอยู่จริงของพระบิดาในสวรรค์ผู้ทรงรักเรา ผู้ทรงได้ยินทุกคําสวดอ้อนวอนของท่าน ของพระบุตรผู้ทรงพระชนม์ของพระองค์ พระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระเยซูคริสต์ และของประทานแห่งการชดใช้อันไม่มีขอบเขตจากพระผู้ไถ่ของเราทุกคน มีการฟื้นฟูความรู้และความจริงนิรันดร์ แต่ยังดําเนินต่อไปจนถึงวันอันรุ่งโรจน์นั้นเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา แต่ละท่านเป็นที่รักในแบบที่ท่านไม่สามารถเข้าใจได้
ข้าพเจ้าสํานึกคุณอย่างยิ่งที่รู้ว่าอนาคตจะเป็นรูปเป็นร่างโดยผู้นําผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์เช่นตัวท่าน ท่านจะ “ยกมือที่อ่อนแรง” (หลักคําสอนและพันธสัญญา 81:5) ด้วยวิธีที่นับไม่ถ้วนได้กี่วิธี? ข้าพเจ้าเชื่อในความสามารถของท่านในการรับใช้มนุษยชาติ สําคัญกว่านั้นคือพระบิดาในสวรรค์ของท่านทรงเชื่อในตัวท่าน พระองค์ทรงรู้จักท่านแต่ละคนโดยเฉพาะ และทรงเอื้อมพระหัตถ์มานําท่านสู่ “แสงสว่างยามรุ่งอรุณ” จงออกไปเถิดเพื่อนทั้งหลาย ด้วยปีติ “ยื่นมือของท่านเข้าไปในพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า” และให้พระองค์ทรงนําทางท่าน “อย่างปลอดภัยไปยังดินแดนที่ไม่รู้จัก”