2010–2019
ฤดูร้อนกับคุณยายโรส
ตุลาคม 2015


21:4

ฤดูร้อนกับคุณยายโรส

ขณะที่ท่านเดินตามเส้นทางอันสดใสแห่งการเป็นสานุศิษย์ ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนว่าศรัทธาจะเสริมกำลังทุกย่างก้าวของท่านตลอดทาง

พี่น้องและเพื่อนๆ สตรีที่รัก ข้าพเจ้ายินดีที่ได้อยู่กับท่านวันนี้ และซาบซึ้งใจที่ได้อยู่ต่อหน้าศาสดาพยากรณ์ที่รักของเรา ประธานโธมัส เอส. มอนสัน ประธานครับ เรารักท่าน เราเสียใจที่ได้สูญเสียเพื่อนล้ำค่าและอัครสาวกที่แท้จริงของพระเจ้าไปสามคน เราคิดถึงประธานแพคเกอร์ เอ็ลเดอร์เพอร์รีย์ และเอ็ลเดอร์สก็อตต์ เรารักพวกท่าน เราสวดอ้อนวอนให้ครอบครัวและเพื่อนๆ ของพวกท่าน

ข้าพเจ้าตั้งใจรอคอยการประชุมใหญ่ภาคนี้เสมอ—ดนตรีที่ไพเราะและคำแนะนำจากบรรดาสตรีที่ได้รับการดลใจนำมาซึ่งพระวิญญาณเปี่ยมล้น ข้าพเจ้าเป็นคนดีขึ้นหลังจากได้อยู่กับพวกท่าน

ขณะกำลังไตร่ตรองว่าจะพูดอะไรกับท่านวันนี้ ความคิดข้าพเจ้าหันไปหาวิธีที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอน เป็นเรื่องน่าสนใจที่พระองค์ทรงสามารถสอนความจริงที่สูงส่งที่สุดโดยใช้เรื่องราวเรียบง่าย อุปมาของพระองค์เชื้อเชิญสานุศิษย์ของพระองค์ให้น้อมรับความจริงไม่เพียงความคิดของพวกเขาเท่านั้นแต่ด้วยใจของพวกเขาด้วย และเพื่อเชื่อมโยงหลักธรรมนิรันดร์กับชีวิตประจำวัน1 ประธานมอนสันที่รักของเราเป็นผู้เชี่ยวชาญการสอนด้วยประสบการณ์ส่วนตัวซึ่งสัมผัสใจเช่นกัน2

วันนี้ ข้าพเจ้าจะให้ข่าวสารของข้าพเจ้าโดยการแสดงความคิดและความรู้สึกในรูปแบบของเรื่องราว ขอให้ท่านฟังด้วยพระวิญญาณ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยให้ท่านพบข่าวสาร ที่มีความหมายต่อท่าน ในอุปมาเรื่องนี้

คุณยายโรส

เรื่องราวนี้เกี่ยวกับเด็กหญิงคนหนึ่งชื่อเอวา มีสิ่งสำคัญสองอย่างที่ท่านควรรู้เกี่ยวกับเอวา อย่างหนึ่งคือเธออายุ 11 ขวบในเรื่องนี้ และอีกอย่างหนึ่งคือเธอตั้งใจเด็ดเดี่ยวว่าเธอ ไม่ ต้องการไปอยู่กับคุณยายโรสของเธอ ไม่เลย ไม่มีทาง

แต่แม่ของเอวาจะรับการผ่าตัดที่ต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัว ดังนั้นพ่อแม่ของเอวาจึงส่งเธอไปใช้เวลาช่วงฤดูร้อนกับคุณยายโรส

ในความคิดของเอวา มีเหตุผลนับพันว่าทำไมสิ่งนี้จึงเป็นความคิดที่ไม่ดี อย่างหนึ่งคือ นั่นหมายความว่าต้องอยู่ห่างจากแม่ของเธอ และยังหมายความว่าต้องทิ้งครอบครัวและเพื่อนๆ ของเธอด้วย นอกจากนั้น เธอไม่เคยแม้แต่จะรู้จักคุณยายโรสเลย ไม่ค่ะขอบคุณมาก เธอสะดวกสบายทีเดียวในที่ซึ่งเธออยู่ตอนนี้

แต่ไม่ว่าจะเถียงหรือกลอกตามากแค่ไหนก็ไม่สามารถเปลี่ยนการตัดสินใจนี้ได้ เอวาจึงจัดกระเป๋าและนั่งรถยาวนานกับพ่อของเธอไปยังบ้านคุณยายโรส

นับจากวินาทีที่เอวาก้าวเข้าไปในบ้านหลังนั้น เธอเกลียดมัน

ทุกอย่างโบราณไปหมด! ทุกตารางนิ้วมีแต่หนังสือเก่าๆ ขวดสีแปลกๆ และถังขยะพลาสติกที่มีลูกปัด โบว์ และกระดุมล้นออกมา

คุณยายโรสอาศัยอยู่ที่นั่นคนเดียว เธอไม่เคยแต่งงาน มีผู้อยู่อาศัยอีกตัวหนึ่งคือแมวสีเทาที่ชอบหาจุดที่สูงที่สุดของห้องทุกห้องและนอนเกาะอยู่บนนั้น จ้องมองทุกสิ่งข้างล่างราวกับเสือผู้หิวโหย

แม้แต่ตัวบ้านเองก็ดูเดียวดาย ตั้งอยู่ในชนบท ซึ่งบ้านแต่ละหลังอยู่ห่างไกลกันมาก ไม่มีคนรุ่นราวคราวเดียวกันกับเอวาอาศัยอยู่ภายในครึ่งไมล์ นั่นทำให้เอวารู้สึกเหงาเช่นกัน

ทีแรกเธอไม่ค่อยสนใจคุณยายโรสเท่าไรนัก ส่วนใหญ่เธอคิดถึงแม่ บางครั้งเธอนอนไม่หลับตอนกลางคืน เธอสวดอ้อนวอนด้วยสุดจิตวิญญาณขอให้แม่ของเธอหายดี และเอวาเริ่มรู้สึกว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเฝ้าดูแม่ของเธออยู่ แม้ความรู้สึกนี้จะไม่ได้เกิดขึ้นทันที

ในที่สุดเธอก็ได้ข่าวว่าการผ่าตัดประสบความสำเร็จ และสิ่งที่เหลือให้เอวาทำเวลานี้คืออดทนจนกว่าฤดูร้อนจะสิ้นสุด แต่โอ้ เธอช่างเกลียดการอดทน!

เมื่อเธอสบายใจกับเรื่องแม่ของเธอแล้ว เอวาเริ่มสังเกตคุณยายโรสมากขึ้นนิดหน่อย เธอเป็นหญิงร่างใหญ่—ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเธอใหญ่หมด ไม่ว่าจะเป็นเสียงของเธอ รอยยิ้มของเธอ บุคลิกของเธอ เธอเดินเหินไม่คล่องนัก แต่เธอร้องเพลงและหัวเราะเสมอขณะทำงาน เสียงหัวเราะของเธอดังทั่วบ้าน ทุกๆ คืนเธอนั่งลงบนโซฟาที่เต็มไปด้วยสิ่งของ หยิบพระคัมภีร์ออกมาอ่านออกเสียง ขณะที่เธออ่าน บางครั้งเธอก็ให้ความเห็นเช่น “โอ้ เขาไม่ควรทำอย่างนั้น!” หรือ “ฉันอยากจะไปอยู่ที่นั่นจัง!” หรือ “นี่เป็นสิ่งที่ไพเราะที่สุดที่เธอเคยได้ยินใช่ไหม!” และทุกค่ำคืนเมื่อเธอทั้งสองคุกเข่าสวดอ้อนวอนข้างเตียงของเอวา คุณยายโรสจะกล่าวคำสวดอ้อนวอนที่ไพเราะที่สุด ขอบพระทัยพระบิดาบนสวรรค์สำหรับนกตะขาบทุ่งกับต้นสนสปรูซ ตะวันลับฟ้ากับหมู่ดาว และ “ความอัศจรรย์ของการมีชีวิตอยู่” เอวาฟังดูเหมือนว่าคุณยายโรสรู้จักพระผู้เป็นเจ้าราวกับเป็นเพื่อน

เมื่อเวลาผ่านไป เอวาค้นพบบางสิ่งที่น่าประหลาดใจ คุณยายโรสน่าจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุดเท่าที่เธอเคยรู้จักมา!

แต่นั่นเป็นไปได้อย่างไร

อะไรที่ทำให้เธอต้องมีความสุข

เธอไม่เคยแต่งงาน เธอไม่มีลูก เธอไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อนนอกจากแมวน่ากลัวตัวนั้น และเป็นเรื่องยากสำหรับเธอในการทำสิ่งเรียบง่ายเช่นผูกเชือกรองเท้าและเดินขึ้นบันได

เมื่อเธอเข้าไปในเมือง เธอสวมหมวกสีสันสดใสใบใหญ่น่าเคอะเขิน แต่ผู้คนไม่หัวเราะเธอ พวกเขากลับเข้าไปห้อมล้อมเธอ อยากจะคุยกับเธอ โรสเคยเป็นครู และเป็นเรื่องปกติที่อดีตนักเรียน—ซึ่งตอนนี้โตแล้วและมีลูกเป็นของตนเองแล้ว—จะหยุดทักทายและพูดคุย พวกเขาขอบคุณเธอสำหรับการเป็นอิทธิพลที่ดีในชีวิตพวกเขา บ่อยครั้งพวกเขาหัวเราะ บางครั้งถึงกับร้องไห้

เมื่อฤดูร้อนดำเนินต่อไป เอวาใช้เวลากับโรสมากขึ้น พวกเธอออกไปเดินเล่นไกลๆ เอวาเรียนรู้ความแตกต่างระหว่างนกกระจิบกับนกกระจอก เธอเก็บผลเอ็ลเดอร์เบอร์รี่ป่าและทำแยมจากส้ม เธอเรียนรู้เกี่ยวกับคุณยายทวดของเธอผู้ที่จากบ้านเกิดอันเป็นที่รัก นั่งเรือข้ามมหาสมุทร และเดินข้ามทุ่งราบเพื่อจะได้อยู่กับวิสุทธิชน

ไม่นานเอวาค้นพบอีกสิ่งหนึ่งที่น่าตกใจ คุณยายโรสไม่เพียงเป็นคนที่มีความสุขที่สุดที่เธอรู้จักเท่านั้น แต่เอวาเองก็มีความสุขมากขึ้นทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้เธอ

คราวนี้วันเวลาของฤดูร้อนผ่านไปอย่างรวดเร็วขึ้น ก่อนเอวาจะรู้ตัวอีกที คุณยายโรสบอกว่าอีกไม่นานจะถึงเวลาที่เอวาต้องกลับบ้านแล้ว แม้ว่าเอวาจะเฝ้ารอคอยวันนั้นตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอมาถึง แต่ตอนนี้เธอชักไม่แน่ใจแล้วว่าเธอรู้สึกอย่างไร เธอตระหนักว่าเธอจะคิดถึงบ้านเก่าๆ แปลกๆ หลังนี้กับแมวที่คอยจับจ้องและคุณยายโรสผู้เป็นที่รักของเธอจริงๆ

วันก่อนที่พ่อของเธอจะมารับ เอวาถามคำถามที่เธอสงสัยมานานหลายสัปดาห์ “คุณยายโรสคะ ทำไมคุณยายมีความสุขจัง”

คุณยายโรสมองเธออย่างพินิจพิจารณาแล้วพาเธอไปที่ภาพวาดซึ่งแขวนอยู่ในห้องรับแขก ภาพดังกล่าวเป็นของขวัญจากเพื่อนรักผู้มีพรสวรรค์

“หลานมองเห็นอะไร” เธอถาม

เด็กหญิงผู้บุกเบิกกำลังก้าวกระโดด

เอวาเคยสังเกตภาพวาดมาก่อนแล้ว แต่ไม่เคยตั้งใจเข้าไปมองใกล้ๆ เด็กผู้หญิงในชุดผู้บุกเบิกกำลังก้าวกระโดดตามเส้นทางสีฟ้าสดใส ต้นหญ้าและต้นไม้มีสีเขียวเจิดจ้า เอวากล่าวว่า “เป็นภาพวาดของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ดูเหมือนเธอกำลังก้าวกระโดด”

“ใช่แล้ว นี่คือเด็กหญิง ผู้บุกเบิก ที่กำลังก้าวกระโดดอย่างมีความสุข” คุณยายโรสกล่าว “ยายนึกภาพว่ามีวันเวลาที่มืดมนและเศร้าซึมมากมายสำหรับผู้บุกเบิก ชีวิตพวกเขายากลำบากมาก—เราไม่อาจรู้ได้ แต่ในภาพนี้ ทุกอย่างสว่างสดใสและเปี่ยมด้วยความหวัง เด็กหญิงคนนี้ก้าวเดินอย่างสนุกสนาน เธอกำลังเคลื่อนไปข้างหน้าและข้างบน”

เอวาเงียบ คุณยายโรสจึงพูดต่อ “ในชีวิตมีสิ่งที่ไม่ได้อย่างใจมากพอแล้ว ดังนั้นใครก็ตามอาจนำตนเองไปสู่หล่มของการมองโลกในแง่ร้ายและความเศร้าหมอง แต่ยายรู้จักผู้คนซึ่งมุ่งเน้นที่สิ่งอัศจรรย์และปาฏิหาริย์ของชีวิตแม้เมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปอย่างที่ใจต้องการ คนเหล่านี้เป็นคนที่มีความสุขที่สุดที่ยายรู้จัก”

เอวากล่าว “แต่เราไม่สามารถเปิดปิดความเศร้าความสุขได้ในพริบตา”

“ใช่ อาจจะไม่ได้” คุณยายโรสยิ้มอย่างอ่อนโยน “แต่พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงออกแบบให้เราเป็นคนโศกเศร้า พระองค์ทรงสร้างเราเพื่อให้เรามีปีติ!3 ดังนั้น ถ้าเราวางใจพระองค์ พระองค์จะทรงช่วยให้เราสังเกตเห็นสิ่งต่างๆ ของชีวิตที่ดีงาม สดใส และปี่ยมด้วยความหวัง แน่นอนว่า โลกจะสดใสยิ่งขึ้น แต่ไม่ได้เกิดขึ้นในทันที พูดกันตามตรงก็คือ มีสิ่งดีๆ อะไรบ้างที่เกิดขึ้นในทันที สำหรับยายดูเหมือนว่าสิ่งดีที่สุด อย่างเช่นขนมปังโฮมเมดหรือแยมรสส้ม ต้องใช้ความอดทนและการทำงาน”

เอวาหยุดคิดเรื่องนี้ชั่วครู่และบอกว่า “บางทีอาจไม่เรียบง่ายสำหรับคนที่ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์แบบในชีวิต”

“เอวาหลานรัก หลานคิดว่าชีวิตยายสมบูรณ์แบบหรือ” คุณยายโรสนั่งลงกับเอวาบนโซฟาที่เต็มไปด้วยสิ่งของ “มีบางเวลาที่ยายรู้สึกท้อแท้จนไม่อยากดำเนินชีวิตต่อไป”

“คุณยายน่ะหรือ” เอวาถาม

คุณยายโรสพยักหน้า “มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยายปรารถนาในชีวิต” ขณะที่เธอพูด น้ำเสียงของเธอเจือด้วยความเศร้าซึ่งเอวาไม่เคยได้ยินมาก่อน “แต่ส่วนใหญ่ไม่เคยเกิดขึ้นเลย หัวใจแตกสลายครั้งแล้วครั้งเล่า วันหนึ่งยายตระหนักว่าชีวิตยายจะไม่มีวันเป็นอย่างที่ยายหวังไว้ นั่นเป็นวันที่หดหู่มาก ยายพร้อมจะยอมแพ้และทุกข์ระทม”

“แล้วคุณยายทำอย่างไรคะ”

“ยายไม่ได้ทำอะไรไปพักหนึ่ง ยายแค่โกรธ ไม่มีใครอยากมาคุยด้วยเลย” จากนั้นเธอหัวเราะเบาๆ ไม่ใช่เสียงหัวเราะคับบ้านเหมือนที่เธอทำเป็นปกติ “‘มันไม่ยุติธรรม’ เป็นเพลงที่ยายร้องซ้ำๆ อยู่ในสมอง แต่ในที่สุดยายก็ค้นพบบางสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตทั้งหมดของยาย”

“อะไรหรือคะ”

“ศรัทธา” คุณยายโรสยิ้ม “ยายค้นพบศรัทธา และศรัทธานำไปสู่ความหวัง และศรัทธากับความหวังให้ความมั่นใจกับยายว่าวันหนึ่งทุกอย่างจะสมเหตุสมผล เพราะพระผู้ช่วยให้รอด สิ่งผิดทั้งปวงจะได้รับการทำให้ถูกต้อง หลังจากนั้น ยายเห็นหนทางข้างหน้าซึ่งไม่มืดมนและฝุ่นเขรอะดังที่ยายเคยคิด ยายเริ่มสังเกตเห็นสีฟ้าสดใส สีเขียวขจี สีแดงเร่าร้อน และยายตัดสินใจว่ายายมีทางเลือก—ยายอาจจะคอตกและเดินลากเท้าบนถนนฝุ่นเขรอะของความสมเพชตัวเอง หรือยายอาจจะมีศรัทธาสักหน่อย สวมชุดสดใส สวมรองเท้าเต้นรำ และก้าวกระโดดไปตามเส้นทางของชีวิต พร้อมกับร้องเพลงไปด้วย” ขณะนี้เสียงของเธอร่าเริงมีความสุขเหมือนเด็กหญิงก้าวกระโดดในภาพวาด

คุณยายโรสเอื้อมไปที่โต๊ะข้างๆ และหยิบพระคัมภีร์เล่มเก่าคร่ำคร่ามาวางบนตักเธอ “ยายไม่คิดว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า—ยายไม่แน่ใจว่าเราจะบอกตัวเองให้หยุดซึมเศร้าได้ แต่แน่นอนว่ายายเคยบอกตัวเองให้ทุกข์ระทม! ใช่แล้ว ยายเคยมีวันที่มืดมน อาการครุ่นคิดวิตกกังวลของยายจะไม่เปลี่ยนแปลงสิ่งนั้น—มีแต่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลง ศรัทธาในพระผู้ช่วยให้รอดสอนยายว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอดีต เรื่องราวของยายสามารถจบอย่างมีความสุขได้”

“คุณยายทราบได้อย่างไรคะ” เอวาถาม

คุณยายโรสเปิดพระคัมภีร์ไบเบิลและบอกว่า “พระคัมภีร์กล่าวไว้ตรงนี้

“‘พระเจ้า…จะประทับกับเขาทั้งหลาย พวกเขาจะเป็นชนชาติของพระองค์ พระเจ้าเองจะสถิตกับเขา และจะทรงเป็นพระเจ้าของเขา

“‘พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกๆ หยดจากตาของเขาทั้งหลาย และความตายจะไม่มีอีกต่อไป ความโศกเศร้า การร้องไห้ และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป เพราะยุคเดิมนั้นผ่านไปแล้ว’”4

คุณยายโรสมองไปที่เอวา เธอยิ้มกว้างขณะกระซิบด้วยเสียงสั่นเครือเบาๆ ว่า “นั่นเป็นสิ่งที่ไพเราะที่สุดที่เธอเคยได้ยินใช่ไหม”

เอวาคิดว่าเป็นถ้อยคำที่ไพเราะจริงๆ

คุณยายโรสเปิดไปอีกสองสามหน้าและชี้ไปที่ข้อหนึ่งให้เอวาอ่าน “สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และสิ่งที่ใจมนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนทั้งหลายที่รักพระองค์”5

“ด้วยอนาคตที่เรืองโรจน์เช่นนั้น” คุณยายโรสกล่าว “ทำไมจึงหมกมุ่นอยู่กับเรื่องในอดีตหรือในปัจจุบันที่ไม่ได้เป็นอย่างที่เราวางแผนไว้”

เอวาขมวดคิ้ว “แต่เดี๋ยวก่อน” เธอบอก “คุณยายกำลังบอกว่าการมีความสุขหมายความว่าแค่ตั้งใจเฝ้ารอความสุขในอนาคต ความสุขของเราทั้งหมดมีอยู่ในนิรันดรเท่านั้นหรือ ความสุขบางอย่างเกิดขึ้นตอนนี้ได้ไหมคะ”

“โอ้ แน่นอนเกิดขึ้นได้!” คุณยายโรสร้องอุทาน “เด็กเอ๋ย ตอนนี้เป็น ส่วนหนึ่ง ของนิรันดร ความสุขไม่ได้แค่เริ่มต้นหลังจากเราตาย! ศรัทธาและความหวังจะเปิดตาเปิดใจเราเพื่อรับความสุขที่อยู่เบื้องหน้าเรา

“ยายรู้จักบทกวีบทหนึ่งที่บอกว่า ‘ชั่วนิรันดร์ประกอบด้วยตอนนี้หลายๆ ตอน’6 ยายไม่อยากให้ชั่วนิรันดร์ของยายประกอบด้วย ‘ตอนนี้’ ที่มืดมนและน่าหวาดกลัว ยายไม่อยากใช้ชีวิตในหลุมกำบังที่หม่นมัว กัดฟันทน ปิดหูปิดตา และอดทนอย่างขุ่นเคืองใจจนถึงที่สุดแห่งความขมขื่น ศรัทธา ให้ความหวัง ที่ยายต้องการในการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขในตอนนี้!”

“แล้วตอนนั้นคุณยายทำอย่างไรคะ” เอวาถาม

“ยายใช้ศรัทธาในคำสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าโดยการเติมเต็มชีวิตด้วยสิ่งต่างๆ ที่มีความหมาย ยายไปโรงเรียน ศึกษาหาความรู้ซึ่งนำไปสู่งานอาชีพที่ยายรักมาก”

เอวาครุ่นคิดเรื่องนี้ครู่หนึ่งและบอกว่า “แต่แน่นอนว่าการมีงานรัดตัวทำให้คุณยายมีความสุข มีผู้คนมากมายที่ทำงานจนไม่มีเวลาว่างแต่ไม่มีความสุข”

“ทำไมหลานถึงฉลาดจังสำหรับเด็กอายุเพียงเท่านี้” คุณยายโรสถาม “หลานพูดถูกจริงๆ และคนส่วนใหญ่ที่วุ่นอยู่กับงานและไม่มีความสุขได้หลงลืมสิ่งหนึ่งซึ่งสำคัญที่สุดในโลก—สิ่งที่พระเยซูตรัสว่าเป็นหัวใจของพระกิตติคุณของพระองค์”

“อะไรหรือคะ” เอวาถาม

“สิ่งนั้นคือความรัก—ความรักอันบริสุทธิ์ของพระคริสต์” คุณยายโรสตอบ “หลานเห็นไหมว่าทุกสิ่งในพระกิตติคุณ—ทุกสิ่งที่ ควร ทุกสิ่งที่ ต้อง และทุกสิ่งที่บอกว่า เจ้าจง —ล้วนนำไปสู่ความรัก เมื่อเรารักพระผู้เป็นเจ้า เราต้องการรับใช้พระองค์ เราต้องการเป็นเหมือนพระองค์ เมื่อเรารักเพื่อนบ้าน เราหยุดนึกถึงปัญหาของเรามากเกินไปและช่วยพวกเขาแก้ปัญหา”7

“และสิ่งนั้นทำให้คุณยายมีความสุขหรือคะ” เอวาถาม

คุณยายโรสพยักหน้าและยิ้ม น้ำตาคลอหน่วย “ใช่แล้วหลานรัก สิ่งนั้น ทำให้เรามีความสุข”

ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

วันรุ่งขึ้นเอวากอดคุณยายโรสของเธอและขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่เธอทำ เธอกลับบ้านไปหาครอบครัวและเพื่อนของเธอ บ้านและเพื่อนบ้านของเธอ

แต่เธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เมื่อเอวาเติบโตขึ้น เธอมักจะนึกถึงถ้อยคำของคุณยายโรส ในที่สุดเอวาก็แต่งงาน เลี้ยงลูก และดำเนินชีวิตที่ยืนยาวและยอดเยี่ยม

วันหนึ่ง ขณะที่เธอยืนอยู่ในบ้านของเธอ ชื่นชมกับภาพวาดของเด็กหญิงในชุดผู้บุกเบิกที่กำลังก้าวกระโดดไปตามเส้นทางสีฟ้าสดใส เธอตระหนักได้ว่าเธอมีอายุเท่ากับคุณยายโรสของเธอในช่วงฤดูร้อนอันแสนพิเศษนั้น

เด็กหญิงผู้บุกเบิกกำลังก้าวกระโดด

เมื่อเธอตระหนักเช่นนี้ เธอรู้สึกถึงคำสวดอ้อนวอนพิเศษที่เต็มตื้นอยู่ในใจเธอ และเอวารู้สึกขอบพระทัยสำหรับชีวิตของเธอ ครอบครัวของเธอ สำหรับพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเยซูคริสต์ และฤดูร้อนเมื่อนานมาแล้วนั้นที่คุณยายโรส8 สอนเธอเรื่อง ศรัทธา ความหวัง และความรัก9

พร

พี่น้องสตรีที่รัก มิตรสหายในพระคริสต์ที่รักของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าหวังและสวดอ้อนวอนว่าบางสิ่งบางอย่างในเรื่องนี้ได้สัมผัสใจท่านและสร้างแรงบันดาลใจแก่จิตวิญญาณท่าน ข้าพเจ้ารู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่และทรงรักท่านทุกคน

ขณะที่ท่านเดินตามเส้นทางอันสดใสแห่งการเป็นสานุศิษย์ ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนว่าศรัทธาจะเสริมกำลังทุกย่างก้าวของท่านตลอดทาง ว่าความหวังจะเปิดตาเปิดใจท่านต่อความเรืองโรจน์ที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงเตรียมไว้ให้ท่าน และใจท่านจะเปี่ยมด้วยความรักพระผู้เป็นเจ้าและบุตรธิดาทุกคนของพระองค์ ในฐานะอัครสาวกของพระเจ้า ข้าพเจ้าฝากประจักษ์พยานและพรนี้ไว้ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. ดู ตัวอย่างเช่น, Matthew 13:24–30; 18:23–35; 20:1–16; 22:1–14; 25; ลูกา 10:25–37; 15:11–32.

  2. ดู ตัวอย่างเช่น,โธมัส เอส. มอนสัน, “นำทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย,”เลียโฮนา, พ.ย. 2014, 67–69; “ความรัก—แก่นแท้ของพระกิตติคุณ,”เลียโฮนา, พ.ค. 2014, 91–94; “เราไม่มีวันเดินตามลำพัง,”เลียโฮนา, พ.ย. 2013, 121–124; “การเชื่อฟังนำมาซึ่งพร,”เลียโฮนา, พ.ค. 2013, 89–92.

  3. ดู 2 นีไฟ 2:25.

  4. วิวรณ์ 21:3–4.

  5. 1 โครินธ์ 2:9.

  6. “Forever—is composed of Nows,” ใน Final Harvest: Emily Dickinson’s Poems, sel. Thomas H. Johnson (1961), 158; ดู poetryfoundation.org/poem/182912 ด้วย.

  7. ดู ลูกา 9:24.

  8. “Often the prickly thorn produces tender roses” (Ovid, Epistulae ex ponto, เล่ม 2, หมวด 2, บรรทัดที่ 34; “Saepe creat molles aspera spina rosas”).

  9. ดู โมโรไน 7:42.