พระผู้เป็นเจ้าทรงกุมหางเสือ
พระบัญญัติและพันธสัญญาคือความจริงและหลักคำสอนอันประมาณค่ามิได้ที่พบในเรือเดินสมุทรไซอัน ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงกุมหางเสือ
ในการประชุมใหญ่สามัญเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ข้าพเจ้าเชื้อเชิญผู้ฟังให้ทำตามคำแนะนำของบริคัม ยังก์ที่จะอยู่ในเรือเดินสมุทรไซอัน ซึ่งคือศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย และจับให้แน่นทั้งสองมือ1 นับแต่นั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้ามีความสุขที่ทราบว่าสมาชิกครอบครัวข้าพเจ้าบางคนและคนอื่นๆ ได้ฟังและถามคำถามนี้กับข้าพเจ้าว่า “มีอะไรในเรือเดินสมุทรไซอันที่เราควรยึดจับให้แน่น” ข้าพเจ้าเตือนพวกเขาถึงสิ่งที่ประธานบริคัม ยังก์กล่าว “เราอยู่บนเรือเดินสมุทรไซอัน … [พระผู้เป็นเจ้า] ทรงกุมหางเสือ และจะประทับที่นั่น … พระองค์ทรงสั่งการ ทรงนำทางและกำกับดูแล ถ้าผู้คนจะเชื่อมั่นในพระผู้เป็นเจ้า ไม่ทิ้งพันธสัญญาทั้งไม่ทิ้งพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา พระองค์จะทรงนำทางเราอย่างราบรื่น”2
เห็นได้ชัดว่าพระบิดาบนสวรรค์และพระเจ้าพระเยซูคริสต์ทรงจัดเตรียมความจริงนิรันดร์อันชัดเจนและเรียบง่ายไว้บนเรือเดินสมุทรไซอันซึ่งจะช่วยให้เราอยู่ในเส้นทางตลอดน่านน้ำอันตราย ของชีวิตมรรตัย ความจริงดังกล่าวจะนำมาพูดเพียงสองสามเรื่องดังนี้
ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ได้รับการนำโดยศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกที่มีชีวิตอยู่ตลอดมา แม้พวกท่านจะเป็นมรรตัยและมีความบกพร่องของมนุษย์ แต่ผู้รับใช้ของพระเจ้าได้รับการดลใจให้ช่วยเราหลีกเลี่ยงอุปสรรคที่เป็นภัยต่อชีวิตทางวิญญาณและช่วยให้เราผ่านพ้นความเป็นมรรตัยไปสู่จุดหมายสูงสุดแห่งสุดท้ายบนสวรรค์ได้อย่างปลอดภัย
ในช่วงเกือบ 40 ปีที่ข้าพเจ้าอยู่ใกล้ชิดท่านเหล่านั้น ข้าพเจ้าเป็นพยานส่วนตัวเมื่อศาสดาพยากรณ์และอัครสาวก เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ท่านอื่นๆ และผู้นำองค์การช่วยนำทั้งการดลใจเงียบๆ และการเปิดเผยที่ลึกซึ้งมาปฏิบัติ แม้จะไม่ดีพร้อมหรือมีผิดพลาดบ้าง แต่ชายและหญิงที่ดีงามเหล่านี้ได้อุทิศตนอย่างสมบูรณ์ที่จะนำงานของพระเจ้าไปข้างหน้าดังที่พระองค์ทรงกำกับดูแล
ขอให้เชื่อเถิดว่าพระเจ้าทรงกำกับดูแลศาสนจักรของพระองค์ผ่านศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกที่มีชีวิต นี่เป็นวิธีที่พระองค์ทรงทำงานของพระองค์เสมอ โดยแท้แล้ว พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนว่า “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ใครรับคนที่เราใช้ไป คนนั้นก็รับเราด้วย”3 เราไม่สามารถแยกพระคริสต์ออกจากผู้รับใช้ของพระองค์ได้ หากไม่มีอัครสาวกกลุ่มแรก เราก็จะไม่มีเรื่องราวจากประจักษ์พยานถึงคำสอนและการปฏิบัติศาสนกิจของพระองค์ การทนทุกข์ในสวนเกทเสมนีและการสิ้นพระชนม์บนกางเขนของพระองค์ หากไม่มีประจักษ์พยานของท่านเหล่านั้น เราก็จะไม่มีพยานอัครสาวกถึงอุโมงค์ที่ว่างเปล่าและการฟื้นคืนพระชนม์
พระองค์ทรงบัญชาอัครสาวกกลุ่มแรกเหล่านั้นว่า
“เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา จงบัพติศมาพวกเขาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์
“สอนพวกเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดที่เราสั่งพวกท่านไว้”4
หน้าที่สำคัญนี้ดำเนินต่อไปใหม่ในสมัยของเราเมื่อพระเจ้าทรงเรียกโจเซฟ สมิธให้ฟื้นฟูศาสนจักร พร้อมกับอัครสาวกที่ได้รับแต่งตั้งให้ประกาศพระกิตติคุณของพระองค์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนพระองค์จะเสด็จมาอีกครั้ง
เป็นความท้าทายสำหรับโลกเสมอที่จะยอมรับศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกที่มีชีวิตอยู่ แต่จำเป็นต้องทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างสมบูรณ์ถึงการชดใช้และคำสอนของพระเยซูคริสต์และเพื่อรับความสมบูรณ์แห่งพรของฐานะปุโรหิตที่ให้ไว้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงเรียก
มีคนมากมายที่คิดว่าผู้นำและสมาชิกศาสนจักรควรดีพร้อมหรือเกือบจะดีพร้อม พวกเขาลืมไปว่าพระคุณของพระเจ้านั้นเพียงพอที่จะทำให้งานของพระองค์สำเร็จได้โดยผ่านมนุษย์ ผู้นำของเรามีเจตนาดีที่สุด แต่บางครั้งเราก็ทำผิดพลาด สภาพการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับความสัมพันธ์ในศาสนจักรเท่านั้น เพราะสิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างเรากับมิตรสหาย เพื่อนบ้าน ตลอดจนผู้ร่วมงาน และแม้ระหว่างคู่ครองกับคนในครอบครัว
การมองหาความอ่อนแอแบบมนุษย์ในตัวผู้อื่นเป็นเรื่องค่อนข้างง่าย อย่างไรก็ตาม เราทำผิดพลาดอย่างยิ่งโดยการสังเกตเห็นแค่ธรรมชาติของมนุษย์และไม่เห็นพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าที่ทำงานผ่านผู้ที่พระองค์ทรงเรียก
การมุ่งเน้นวิธีที่พระเจ้าทรงดลใจผู้นำที่ได้รับเลือกของพระองค์ วิธีที่พระองค์ทรงกระตุ้นให้วิสุทธิชนทำสิ่งที่น่าทึ่งและไม่ธรรมดาแม้ในความเป็นมนุษย์ของพวกเขาคือวิธีหนึ่งที่เรายึดพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ไว้แน่นและอยู่บนเรือเดินสมุทรไซอันอย่างปลอดภัย
ความจริงเรื่องที่สองคือหลักคำสอนของแผนแห่งความรอด โดยผ่านศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ พระผู้เป็นเจ้าประทานพระคัมภีร์มอรมอน หลักคำสอนและพันธสัญญา และคำสอนเพิ่มเติมอีกมากมายแก่ศาสนจักร สิ่งเหล่านี้รวมถึงความรู้เรื่องแผนแห่งความรอด ซึ่งเป็นแผนที่ที่บอกว่าเรามาจากไหน จุดประสงค์ของเราที่นี่บนแผ่นดินโลก และเราจะไปไหนเมื่อเราตาย แผนดังกล่าวยังให้ทัศนคตินิรันดร์ที่พิเศษสุดแก่เราว่าเราเป็นบุตรธิดาทางวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า โดยความเข้าใจว่าพระบิดาบนสวรรค์เป็นใครและความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์และพระบุตรที่รักของพระองค์ พระเยซูคริสต์ เราจะยอมรับพระบัญญัติของพระองค์และทำพันธสัญญากับพระองค์ซึ่งจะนำเรากลับไปสู่ที่ประทับนิรันดร์ของพระองค์
ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าอุ้มทารกแรกเกิด ข้าพเจ้ารู้สึกพิศวงว่า “เด็กน้อยเอ๋ย เจ้าเป็นใคร เจ้าจะเป็นอะไรผ่านการชดใช้ของพระคริสต์”
เราถามคำถามชวนคิดแบบเดียวกันนี้เมื่อคนที่เรารักบางคนตายจากไป “พวกเขาไปไหน พวกเขากำลังเห็นอะไรและประสบอะไร ชีวิตดำเนินต่อไปไหม สภาวะของความสัมพันธ์ที่เราทะนุถนอมที่สุดจะเป็นอย่างไรในโลกแห่งวิญญาณของคนตาย”
ในโลกนั้น ครอบครัวเรามีหลานสาวสองคน ซารากับเอมิลี และนาธาน หลานชาย ทุกครั้งที่หลานเราล่วงลับไป ครอบครัวเรายึดความจริงแห่งพระกิตติคุณไว้แน่นทั้งสองมือ คำถามของเราได้รับคำตอบด้วยการปลอบโยนและความเชื่อมั่นผ่านการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอด แม้เราจะคิดถึงหลานของเรา แต่เรารู้ว่าพวกเขายังอยู่ และเรารู้ว่าเราจะพบกับพวกเขาอีก เราสำนึกคุณต่อความเข้าใจทางวิญญาณนี้ ในช่วงเวลาที่เกิดความปั่นป่วนของชีวิตส่วนตัวและครอบครัว
ความจริงสำคัญอีกเรื่องหนึ่งในศาสนจักรคือพระบิดาบนสวรรค์ทรงสร้างอาดัมกับเอวาด้วยจุดประสงค์อันสูงส่ง เป็นหน้าที่ของพวกเขา—และหน้าที่ลูกหลานของพวกเขา—ที่จะสร้างร่างกายมรรตัยสำหรับบุตรธิดาทางวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อพวกเขาเหล่านั้นจะได้มีประสบการณ์ในความเป็นมรรตัย โดยกระบวนการนี้ พระบิดาบนสวรรค์ทรงส่งบุตรธิดาทางวิญญาณของพระองค์มายังแผ่นดินโลกเพื่อเรียนรู้และเติบโตผ่านประสบการณ์ชีวิตบนแผ่นดินโลก เพราะพระองค์ทรงรักบุตรธิดาของพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์และอัครสาวกมาสอนพวกเขาเหล่านั้นเกี่ยวกับบทบาทสำคัญของพระเยซูคริสต์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดของเรา
ตลอดหลายศตวรรษ ศาสดาพยากรณ์มีสัมฤทธิผลในหน้าที่ของพวกท่านเมื่อได้เตือนผู้คนถึงอันตรายที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขา อัครสาวกของพระเจ้ามีหน้าที่ต้องเฝ้าดู เตือน และเอื้อมออกไปช่วยผู้ที่แสวงหาคำตอบให้คำถามของชีวิต
ยี่สิบปีมาแล้ว ฝ่ายประธานสูงสุดและโควรัมอัครสาวกสิบสองได้จัดพิมพ์ “ครอบครัว: ถ้อยแถลงต่อโลก” ในบทความที่ได้รับการดลใจนั้น เราสรุปได้ดังนี้ “เราขอเตือนว่าผู้ใดก็ตามที่ฝ่าฝืนพันธสัญญาแห่งความบริสุทธิ์ทางเพศ ผู้ที่ทำร้ายคู่ครองหรือบุตรธิดา หรือผู้ที่ล้มเหลวต่อสัมฤทธิผลของความรับผิดชอบในครอบครัว วันหนึ่งเขาจะยืนชี้แจงต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า นอกจากนี้ เราเตือนว่าการแตกสลายของครอบครัวจะนำภัยพิบัติมาสู่ตัวบุคคล ประชาคม และประชาชาติดังที่ศาสดาพยากรณ์ในสมัยโบราณและปัจจุบันพยากรณ์ไว้”5
ในฐานะอัครสาวก เรายืนยันคำเตือนอย่างเป็นทางการนี้อีกครั้งในวันนี้ โปรดจำไว้ว่าพระบัญญัติและพันธสัญญาคือความจริงและหลักคำสอนอันประมาณค่ามิได้ที่พบในเรือเดินสมุทรไซอัน ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงกุมหางเสือ
หลักคำสอนสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่เรายึดมั่นได้คือการถือรักษาวันสะบาโต สิ่งนี้ช่วยให้เราสะอาดหมดจดจากโลก ให้เราพักผ่อนทางร่างกาย และให้เราแต่ละคนได้รับความสดชื่นทางวิญญาณของการนมัสการพระบิดาและพระบุตรทุกวันอาทิตย์6 เมื่อเราปีติยินดีในวันสะบาโต นั่นเป็นเครื่องหมายถึงความรักที่เรามีต่อพระองค์7
ในฐานะส่วนหนึ่งของความพยายามที่เราจะทำให้สะบาโตเป็นวันปีติยินดี เราขอให้ผู้นำท้องที่และสมาชิกศาสนจักรพึงระลึกว่าการประชุมศีลระลึกเป็นของพระเจ้า การประชุมนี้ควรมีรากฐานและตั้งอยู่บนคำสอนของพระองค์ การนำเสนอของศาสนพิธีศีลระลึกคือเมื่อเราต่อพันธสัญญาและยืนยันความรักที่เรามีต่อพระผู้ช่วยให้รอดอีกครั้ง และระลึกถึงการพลีพระชนม์ชีพและการชดใช้ของพระองค์
วิญญาณแห่งการนมัสการเดียวกันนี้ควรซึมซาบอยู่ในการประชุมอดอาหารและแสดงประจักษ์พยานของเราทุกเดือน การประชุมศีลระลึกนี้มีไว้เพื่อให้สมาชิกกล่าวสั้นๆ แสดงความขอบพระทัย ความรัก และความซาบซึ้งใจต่อพระบิดาบนสวรรค์ พระเยซูคริสต์ และพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูและเพื่อกล่าวคำพยานส่วนตัวถึงเรื่องเหล่านี้ การประชุมอดอาหารและแสดงประจักษ์พยานคือเวลาที่แบ่งปันความนึกคิดที่ได้รับการดลใจและแสดงประจักษ์พยานอย่างเป็นทางการพอสังเขป ไม่ใช่เวลาสำหรับกล่าวคำปราศรัย
เด็กเล็กๆ ควรฝึกฝนการแบ่งปันประจักษ์พยานของพวกเขาในชั้นเรียนปฐมวัย และกับพ่อแม่ในการสังสรรค์ครอบครัวจนกว่าพวกเขาจะเข้าใจถึงความหมายสำคัญของประจักษ์พยาน
การเน้นเมื่อไม่นานมานี้เรื่องการทำให้สะบาโตเป็นวันปีติยินดีเป็นผลโดยตรงอันเนื่องด้วยการดลใจจากพระเจ้าผ่านผู้นำของศาสนจักร สมาชิกสภาวอร์ดควรช่วยฝ่ายอธิการเป็นเวลาหลายสัปดาห์ล่วงหน้าโดยการทบทวนชื่อเพลงและหัวข้อที่ได้รับคำแนะนำให้ใช้สำหรับการประชุมศีลระลึกแต่ละครั้ง
เราทุกคนได้รับพรเมื่อวันสะบาโตเต็มไปด้วยความรักพระเจ้าที่บ้านและที่โบสถ์ เมื่อลูกๆ ของเราได้รับการสอนในวิธีของพระเจ้า พวกเขาเรียนรู้ที่จะสัมผัสและตอบสนองพระวิญญาณของพระองค์ เราทุกคนจะปรารถนา เข้าร่วมรับส่วนศีลระลึกทุกวันอาทิตย์เมื่อเราสัมผัสถึงพระวิญญาณของพระเจ้า และทุกคนไม่ว่าคนหนุ่มสาวหรือสูงวัย ผู้ที่แบกรับภาระหนักจะรู้สึกถึงการยกระดับทางวิญญาณและการปลอบโยนซึ่งมาจากวันสะบาโตแห่งการใคร่ครวญด้วยความภักดีถึงพระบิดาบนสวรรค์และพระเจ้าพระเยซูคริสต์
ขอบพระทัยที่พระคริสต์ทรงอยู่ใกล้เสมอ ทรงเฝ้ารอและเต็มพระทัยจะช่วยเราเมื่อเราสวดอ้อนวอนขอความช่วยเหลือและยินดีกลับใจและมาหาพระองค์
บัดนี้ ขณะที่เราไตร่ตรองความจริงเพียงสองสามเรื่องนี้ ที่มีอยู่บนเรือเดินสมุทรไซอัน ขอให้เราอยู่บนเรือและจำไว้ว่า ตามคำนิยาม เรือเป็นยานพาหนะ และจุดประสงค์ของยานพาหนะคือเพื่อพาเราไปสู่จุดหมายปลายทาง
จุดหมายปลายทางของเรือเราคือพรอันบริบูรณ์ของพระกิตติคุณ อาณาจักรแห่งสวรรค์ รัศมีภาพซีเลสเชียล และที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้า!
แผนของพระผู้เป็นเจ้าทรงสถาปนาไว้แล้ว พระองค์ทรงกุมหางเสือ เรือลำใหญ่และทรงพลังของพระองค์ล่องไปข้างหน้าสู่ความรอดและความสูงส่ง จงจำไว้ว่าเราไม่สามารถกระโดดออกจากเรือและพยายามว่ายไปที่นั่นด้วยตนเอง
ความสูงส่งเป็นเป้าหมายของการเดินทางในความเป็นมรรตัยนี้ และไม่มีใครไปถึงที่นั่นได้โดยไม่มีเครื่องมือในพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์: การชดใช้ของพระองค์ ศาสนพิธี และหลักคำสอนและหลักธรรมนำทางที่พบได้ในศาสนจักร
นี่คือศาสนจักรที่เราเรียนรู้เรื่องงานของพระผู้เป็นเจ้าและยอมรับพระคุณของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ที่ช่วยชีวิตเรา ภายในศาสนจักรนี้ที่เราให้คำมั่นสัญญาและทำพันธสัญญาแห่งครอบครัวนิรันดร์ซึ่งกลายเป็นหนังสือเดินทางของเราไปสู่ความสูงส่ง นี่คือศาสนจักรที่ได้รับพลังอำนาจโดยฐานะปุโรหิตในการขับเคลื่อนเราผ่าน น่านน้ำที่ไม่แน่นอนของความเป็นมรรตัย
ขอให้เราสำนึกคุณสำหรับเรือเดินสมุทรไซอันที่สวยงาม ซึ่งหากไม่มีเรือลำนี้เราจะล่องลอยไป เดียวดายและไร้พลัง ลอยไปตามเกลียวคลื่นโดยไม่มีหางเสือหรือไม้พาย หมุนวนไปตามกระแสน้ำเชี่ยวแห่งลมและคลื่นของปฏิปักษ์
พี่น้องทั้งหลาย จงยึดไว้ให้แน่นและ แล่นต่อไปภายในเรืออันเรืองโรจน์ ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย และเราจะไปถึงจุดหมายปลายทางนิรันดร์ นี่คือประจักษ์พยานและคำสวดอ้อนวอนของข้าพเจ้าสำหรับเราทุกคนในพระนามของพระองค์ผู้ที่เราขานนามเรือเดินสมุทรไซอัน แม้พระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระเยซูคริสต์ เอเมน